24 ก.ย. 2019 เวลา 14:35 • บันเทิง
The Disaster Artist (2017) "กำเนิดหนังแย่...ที่ยอดเยี่ยม"
เรื่องราวการเดินทางตามความฝันของคนห่วยๆ ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคุณ
จากเรื่องจริงของสองหนุ่ม ที่มีความฝันอยากจะเป็นนักแสดงในวงการฮอลลีวูด แต่กลับไม่มีใครเลยสักคนที่หยิบยื่นโอกาสให้ ทำให้พวกเขาตัดสินใจลงมือทำหนังกันขึ้นมาเองซ่ะเลย
จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการให้กำเนิดหนังที่แย่ที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยมีมา แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีคนที่ชื่นชอบและรักมันเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะผ่านมานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม ยังคงมีคนดูเเละพูดถึงหนังเรื่องนี้อยู่เสมอ
แถมยังมักจะมีคนเอาคำพูดในหนัง มาทำเป็นมีมล้อเลียนอยู่บ่อยๆด้วย เช่น 'I Did Not Hit Her. I Did Not. Oh Hi Mark' และ 'You're Tearing Me Apart, Lisa!' 🤣 (น่าจะมีคนรู้แล้วล่ะ ว่าคือหนังเรื่องอะไร 555)
ซึ่งในภาพยนตร์เรื่อง The Disaster Artist จะเผยให้เห็นถึงจุดกำเนิดของการสร้างหนังเรื่อง The Room (2003) ว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้ออกมาแย่จนเป็นตำนาน และกลายเป็นหนังคัลท์ที่มีกลุ่มแฟนคลับมากมายจนถึงทุกวันนี้ได้
อัฉริยะคนไหนกันที่อยู่เบื้องหลังหนังเรื่องนี้?
เค้าต้องการอะไรกันแน่ถึงได้ทำหนังเเบบนี้ออกมาได้
----- (หลังจากนี้จะมีการสปอยล์เนื้อหาในเรื่องนะครับ) -----
จุดกำเนิดของหนังเรื่อง The Room เริ่มมาจาก
ทอมมี ไวซาว (รับบทโดย เจมส์ ฟรังโก) และ เกรก เซสเตโร (รับบทโดย เดฟ ฟรังโก) ได้พบกันในคลาสเรียนแอคติ้ง ซึ่งเกรกประทับใจในความกล้าแสดงออกของทอมมีมาก
เนื่องจากเกรกเป็นคนที่ขี้อายและไม่ค่อยกล้าแสดงต่อหน้าคนเยอะๆ
แต่เมื่อได้มารู้จักกับทอมมี ทำให้เขาได้ปลดล็อคตัวเองจากความกลัวในการที่ต้องแสดงต่อหน้าผู้คน เขาจึงมีความมั่นใจและกล้าแสดงออกมากขึ้น
Cr. imdb
เมื่อได้พูดคุยทำความรู้จักกัน จึงพบว่าทั้งคู่มีความฝันที่คล้ายกันคือ ต้องการที่จะเป็นนักแสดงในวงการฮอลลีวูด ทั้งคู่จึงได้สัญญากันว่า "ต่อให้ยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ละทิ้งความฝันนี้เด็ดขาด"
ทอมมีจึงชวนเกรกไปแอลเอด้วยกันทันที หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปที่เเอลเอ เพื่อไปทำตามความฝันในการเป็นนักแสดงที่นั้น
พวกเขาได้ไปแคสติ้งอยู่หลายที่ด้วยกัน ซึ่งเกรกได้เซนสัญญาในสังกัดแห่งนึง แต่ทอมมีไม่ผ่านเลยแม้แต่ที่เดียว
แต่สุดท้ายแม้แต่เกรกเองก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆจากต้นสังกัด ให้รับบทในหนังเรื่องไหนเลยเช่นเดียวกัน
Cr. imdb
อีกทั้งทอมมียังโดนโปรดิวเซอร์คนนึง พูดสบประมาทเขาอีกว่า "ต่อให้อีกเป็นล้านปี คนอย่างนายก็ไม่มีโอกาสหรอก" ทำให้เขาเสียใจมาก และเกือบจะล้มเลิกความฝันนี้ไปแล้ว แต่เกรกได้พูดเตือนสติเขาเอาไว้ ถึงสัญญาที่ให้ไว้ด้วยกัน ที่ว่าจะไม่มีวันล้มเลิกความฝันนี้เด็ดขาด
และพูดออกมาขำๆว่า "ถ้าไม่มีคนให้โอกาสพวกเรา เราก็คงอาจจะต้องทำหนังขึ้นมาเองแล้วแหละ"
เมื่อทอมมีได้ยินเช่นนั้น เขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องขำๆเลยสักนิด แต่เขาคิดจะทำหนังขึ้นมาเองจริงๆ และนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดหนังเรื่อง The Room ขึ้นมา
โดย ทอมมี เป็นคนที่ลงมือเขียนบท, กำกับ และนำแสดง รวมทั้งออกทุนสร้างเองเลยด้วย เรียกได้ว่าทำเองเแทบจะทุกอย่างเลยที่เดียว (ซึ่งเกรกได้รับบทเป็นตัวละครชื่อ มาร์ก ภายในเรื่อง)
Cr. imdb
หลังจากที่ทอมมีเขียนบทเสร็จ พวกเขาก็เริ่มแคสติ้งนักแสดงและจ้างทีมงานฝ่ายต่างๆ เพื่อเริ่มการถ่ายทำ The Room ทันที
ถึงแม้ว่าตลอดการถ่ายทำจะมีอุปสรรคมากมาย อย่างเช่น ทอมมีที่มักจะลืมบทพูดของตัวเองทำให้ต้องถ่ายซ้ำหลายเทค และปัญหากระทบกระทั้งกันในกองถ่าย เนื่องจากทีมงานไม่ค่อยพอใจกับการทำงานของทอมมี
แต่สุดท้ายหนังเรื่องนี้ก็ออกมาเสร็จสมบูรณ์จนได้
โปสเตอร์ของหนังเรื่อง The Room (2003)
แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะออกมาห่วยแตก แต่ก็เป็นหนังห่วยที่ยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยมีมาเลยก็ว่าได้ เพราะหนังของพวกเขาทำให้ผู้ชมมีความสุขและเสียงหัวเราะหลังจากที่ได้รับชม
จึงถือได้ว่าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในฐานะของการเป็นหนังเรื่องนึง ได้อย่างน่าภูมิใจเลยทีเดียว
หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราว ของการกำเนิดของหนังเรื่อง The Room ทำให้ผมนับถือในตัว ทอมมี ไวซาว มากๆในแง่ที่เขาเป็นคนที่พูดแล้วทำจริงและเป็นคนที่รักษาสัญญา แถมเขายังซื่อตรงกับความฝันของตัวเองสุดๆอีกด้วย
จึงทำให้ผมได้รับมุมมองดีๆในการดำเนินชีวิต จากเรื่องราวของเขา ว่า
"ในการพยายามทำตามความฝัน ถึงแม้ว่าในระหว่างทางจะยากลำบาก และมีอุปสรรคมากมายคอยบั่นทอนกำลังใจของเราสักเพียงไหน แต่ถ้าเราไม่ย้อท้อและพยายามต่อไป ความสำเร็จจะหาหนทางมาเจอเราจนได้ในที่สุด"
Cr. imdb
ถ้าหากใครที่กำลังเหนื่อยหรือท้อแท้กับการตามหาความฝันอยู่ล่ะก็ ผมคิดว่าเรื่องราวของพวกเขา จะทำให้คุณมีกำลังใจเพิ่มขึ้นเป็นกองเลยล่ะ ครับ 😊
"ถ้าไม่มีใครมอบโอกาสให้กับคุณ คุณก็แค่ต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวคุณเอง"
by หมาน้อย
โฆษณา