คู่แข่งของเราไม่ใช่ “Nike หรือ Adidas” นี่คือคำพูดของ "ยอร์น กัลเดน" ประธานบริหารของ Puma หลังจากแบรนด์เปิด Flagship store สาขาแรกในสหรัฐฯ ที่ย่าน Fifth Avenue เป้าหมายของ Puma คืออะไร และถ้าไม่ใช่ 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ คู่แข่งของ Puma ที่จริงแล้ว คือใคร ?
หลังจากที่ Puma แบรนด์สินค้ากีฬาสัญชาติเยอรมันเปิดตัว Flagship store สาขาแรกในอเมริกาเหนือ เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมาก็มีคำถามตามมากมายว่านี่เป็นการส่งสัญญาณถึงการท้าชนกับเจ้าตลาดทั้ง Nike และ Adidas หรือไม่
หากมาดูที่ขนาดบริษัทและรายได้ Puma ย่อมตามหลัง 2 แบรนด์ยักษ์ใหญ่แบบเทียบไม่ติด โดยรั้งอันดับ 3 ในตัวเลขยอดขายในปี 2018 ที่ $5.2 พันล้านฯ มากกว่าอันดับ 4 อย่าง Under Armour ประมาณ 200 ล้านดอลลาร์
นอกจากตัวเลขรายได้ที่ห่างมากเกินจะเทียบกับเจ้าตลาด แต่หากเราดูเฉพาะรายได้ปีต่อปี Puma ยังเป็นแบรนด์ที่เติบโตได้ดี หลังทำรายได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 อยู่ที่ 1,226 ล้านยูโร จาก 1,049 ล้านยูโร ในช่วงเดียวกันของปี 2018 หรือคิดเป็นสัดส่วน 15.7%
และจากรายได้ที่ดูเหมือนกับ Puma จะต้องเบียดแย่งอันดับ 3 กับ Under Armour แต่จากคำให้สัมภาษณ์กับ Business Insider ของ ยอร์น กัลเดน เจ้าตัวบอกว่า ”ผมไม่คิดว่างานของผมในฐานะ CEO คือการนำสินค้าของตัวเองไปแข่งกับเจ้าอื่น แต่เป้าหมายของผมคือทำให้ Puma เป็นแบรนด์สินค้าที่ดีของลูกค้า และหากคุณอยากสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ต้องย่อมมีฐานในสหรัฐฯ ให้แข็งแกร่งซะก่อน”
และที่สำคัญคือ การที่กัลเดนยอมรับว่าแบรนด์ของเขาวิ่งอยู่คนละ "เลน" กับแบรนด์ยักษ์ เพื่อให้ไม่แบรนด์ของตัวเองมีภาพลักษณ์ที่สูงเกินไป ซึ่งอาจจะต่างกับ Adidas หรือ Nike ที่เรามองเป็นแบรนด์พรีเมียมมากกว่า และทำให้มีช่องว่างของมูลค่าเกิดขึ้น
เพราะสำหรับ Puma พวกเขาไม่ได้มุ่งไปที่ Sports เป็นหลัก แต่ให้ความสำคัญกับ “Blend sport and lifestyle apparel” (การผสมผสานกีฬาเข้ากับไลฟ์สไตล์) ซึ่งทำให้ Puma เลือกนักร้องสาว “เซลีนา โกเมซ” มาเป็น Global Ambassador
ภาพโปรโมต The Selena Gomez Collection จาก puma.com
Flagship ทั้งทีมีอะไรเจ๋ง
สำหรับร้านสาขาใหญ่ของ Puma ก็มีพื้นที่รวม 2 ชั้น ขนาดรวม 18,000 ตารางฟุต พร้อมจำหน่ายสินค้า Puma ครบวงจร ทั้งของผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก โดยเมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาก็จะเจอกับรองเท้ายักษ์ Puma Suede สีแดงคาดขาวอันเป็นเอกลักษณ์วางรอต้อนรับลูกค้า
ภาพ bdcnetwork.com
โดยที่ชั้น 1 สินค้าที่วางจำหน่ายจะเป็นสินค้าทั่วไปและสินค้าสำหรับเด็ก ส่วนของผู้ใหญ่จะอยู่ชั้น 2
และไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ชั้น 2 จะมี “ระบบจำลองการขับรถ Formula 1” ระบบเดียวกับที่ใช้ฝึกนักแข่งจริงให้ทดสอบฝีมือของตัวเองได้
และอีกหนึ่งอย่างที่น่าทดลองคือ “Skill Cube” ซึ่งเป็นโซนที่ล้อมรอบด้วยจอ LCD รอบตัว 270 องศา พร้อมด้วยเครื่องฉายกราฟิก เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวและระบบเสียงเซอร์ราวด์ ซึ่งทาง Puma ก็ได้นำสนามซาน ซีโร่ มาเป็นบรรยากาศจำลองเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสความรู้สึกเสมือนจริง
พร้อมกับนักเตะชื่อดังอย่าง “อองตวน กรีซมันน์” มาเป็นผู้ให้คำแนะนำและนอกจาก กรีซมันน์ ก็ยังได้ “ลูอิส แฮมิลตัน” นักขับ F1 เข้ามาให้คำแนะนำในการเทรนนิ่งอีกด้วย
ภาพ bdcnetwork.com
"ชอบ" กด Like
"อยากพูดคุย" พิมพ์ Comment
"อยากติดตาม" ก็กด Follow ไว้เลย
- 2
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
