12 ก.ย. 2019 เวลา 04:23 • กีฬา
5 ปาฏิหาริย์ 90 นาทีสุดท้ายพลิกโฉมแชมป์ ...
ไม่มีความแน่นอนเกิดขึ้นในโลกของฟุตบอลฉันท์ใด ก็จะไม่มีความแน่นอนเกิดขึ้นในการลุ้นแชมป์ฉันท์นั้น
และเพื่อเป็นการยืนยันความไม่แน่นอนนั้น เราจึงมี 5 ตัวอย่างของการพลิกโฉมหน้าแชมป์ฟุตบอลลีก ใน 90 นาทีสุดท้าย หรือ ในเกมอำลาฤดูกาล มาเป็นหลักฐานด้วย
ว่า “ความไม่แน่นอน มีอยู่จริง” โดยเฉพาะกับกีฬาที่เรียกว่า “ฟุตบอล”
“เรือใบ” พลิกนรกคว้าแชมป์ฤดูกาล 1967/68
อาจจะไม่ใช่เรื่องราวที่โด่งดัง หรือ มีคนจดจำได้มากมาย และอาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่ผ่านไปนานเกิดครึ่งศตวรรษ ทำให้คนหลงลืมการคว้าแชมป์แบบเหลือเชื่อ ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำแสบใส่เพื่อนร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาในฤดูกาล 1967/68 ไปกันหมด
ในวันสุดท้ายของฤดูกาลนั้น มือข้างหนึ่งของ ยูไนเต็ด ชูถ้วยไปแล้ว เพราะพวกเขานำ ซิตี้ อยู่ 1 คะแนน ที่ 56 ต่อ 55 คะแนน “ปีศาจแดง” ต้องการเพียงชัยชนะเหนือ ซันเดอร์แลนด์ ในบ้านตัวเองก็เพียงพอที่จะคว้าแชมป์ไปนอนกอดได้ ขณะที่ “เรือใบสีฟ้า” แค่เพียงชนะในเกมที่ตัวเองเล่นไม่พอ ต้องลุ้นให้ฟ้าผ่าที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วย
แต่ ปาฏิหาริย์มีจริง เพราะเมื่อทีมสีฟ้าแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ชนะเกมของพวกเขาได้ ก็พบว่า ที่ “แมวดำ” บุกไปเชือด “ผีแดง” ถึงถิ่น และเป็นการแซงคว้าแชมป์ที่น่าเหลือเชื่อครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
“ปืนใหญ่” สร้างปาฏิหาริย์ที่แอนฟิลด์ คว้าแชมป์ ฤดูกาล 1988/89
ฤดูกาล 1988/89 เป็นฤดูกาลที่ถ้า อาร์เซน่อล ไม่ได้แชมป์ก็ควรเขกกะโหลกตัวเองแรง ๆ เพราะพวกเขา รั้งจ่าฝูงในตารางพรีเมียร์ลีกมา 19 สัปดาห์ซ้อน ก่อนโดน ลิเวอร์พูล แซงนำจ่าฝูงพร้อมทิ้งห่าง ในขณะที่เหลือการแข่งขันอีกแค่เกมเดียวเท่านั้น ในสัปดาห์สุดท้าย ในลีกสูงสุดอังกฤษ
ในตอนนั้นสถานการณ์ของ อาร์เซน่อล เรียกว่าเข้าขั้น วิกฤต เพราะพวกเขา ไม่ใช่ตามแค่คะแนนเท่านั้น ยังตามหลังประตูได้เสียอีก 4 ลูกด้วย นั่นทำให้พวกเขาจำเป็นต้องชนะในนัด และยิงให้มากที่สุด แต่บังเอิญเหลือเกิน ที่เกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล ในวันที่ 26 พฤษภาคม 1989 เป็นเกมที่ “ปืนใหญ่” ต้องไปเยือน “หงส์แดง” ที่ แอนฟิลด์
จริง ๆ แล้ว เงื่อนไขของลิเวอร์พูล ไม่จำเป็นต้องชนะด้วยซ้ำ ถ้าพวกเขาแพ้แค่ 1 ประตู ยังจะได้แชมป์ไปครองจากผลต่างประตูได้เสียที่ดีกว่า และเกมดูเหมือนจะจบลงด้วยสกอร์นั้น ถ้า ไมเคิ่ล โธมัส ไม่มายิงประตูที่ 2 ให้อาร์เซน่อล ในนาทีที่ 90+1 นั่นหมายความว่า คะแนนของทั้งคู่จะเท่ากัน ที่ 76 แต้ม แถมประตูได้เสียของทั้งคู่จะมาเท่ากันที่ +37 ด้วย แต่ แชมป์ตกเป็นของทีม “ปืนใหญ่” เพราะว่า มีประตูได้มากกว่า ที่ 73 ต่อ 65 ประตู ซึ่งสามารถพูดได้ว่า นี่เป็นการ “ปล้นแชมป์” ถึงบ้าน แอนฟิลด์ ก็คงไม่ผิดนัก
ชัยชนะของ “เรนเจอร์ส” ที่ต้องทำให้ ฮ. ต้องกลับมาส่งถ้วยให้ ในฤดูกาล 2004/05
ชัยชนะใน โอลด์ เฟิร์ม ดาร์บี้ ของ กลาสโกว์ เซลติก เหนือ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในช่วงปลายเดือนเมษายน 2005 ที่ “ม้าลายเขียวขาว” บุกไปเชือดเจ้าบ้าน 2-1 ทำให้ เซลติก พลิกโมเมนตัมกลับมาไล่ล่าแชมป์อย่างเต็มตัวในฤดูกาลดังกล่าว และเหมือนพวกเขาจะทำสำเร็จไม่ยาก เมื่อนำ เรนเจอร์ส 2 คะแนนก่อนลงสนามนัดสุดท้ายของฤดูกาล
โดยในวันนั้น ถ้วยแชมป์ ของสก็อตติช พรีเมียร์ลีก ถูกนำไปเตรียมการไว้ที่ เฟียร์ปาร์ค ในมาเธอร์เวลล์ เรียบร้อยแล้ว เพื่อมอบให้กับ เซลติก ในกรณีที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์กัน
แต่มนุษย์คิดหรือจะสู้ฟ้าลิขิต เพราะสุดท้ายแล้ว เซลติก พ่ายต่อ มาเธอร์เวลล์ อย่างเหลือเชื่อที่เฟียร์ปาร์ค ขณะที่ เรนเจอร์ส เอาชนะเกมกับ ฮิเบอร์เนียน 1-0 ซึ่งทำให้ ฮอลิคอปเตอร์ ที่เตรียมไว้ ต้องบินนำถ้วยจากมาเธอร์เวลล์ มามอบให้กับ เรนเจอร์ส ที่ ฮิเบอร์เนียนทันที และต่อมาความทรงจำในวันนี้ ถูกเล่าขานกันในนาม “ฮอลิคอปเตอร์ ซันเดย์”
“พีเอสวี” ปาดหน้า “อาแย็กซ์” และ “เอแซด” คว้าแชมป์สุดเหลือเชื่อ ฤดูกาล 2006/07
การลุ้นแชมป์ในฤดูกาล 2006/07 ของเอเรดิวิซี่ ลีก ฮอลแลนด์ ถือว่าดุเดือดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อยักษ์ใหญ่สามทีมของลีก ทำคะแนนได้เท่ากันที่ 72 คะแนน ก่อนเกมนัดสุดท้าย ทั้ง เอแซด อัลค์มาร์, พีเอสวี ไอด์โฮเฟ่น และ อาแย็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
โดยในบรรดาทั้ง 3 ทีม เอแซด ดูได้เปรียบที่สุด จากการที่มีประตูได้เสียดีที่สุดที่ +53 ขณะที่ อาแย็กซ์ +47 และ พีเอสวี ดูเสียเปรียบทุกทีม เพราะประตูได้เสียต่ำที่สุด แค่ +46 เท่านั้น
90 นาทีสุดท้าของฤดูกาล ขอเพียง เอแซด เอาชนะเกมของพวกเขาได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะคว้าแชมป์ แต่ชัยชนะไม่ได้เกิดขึ้นกับทีมลุ้นแชมป์ เพราะพวกเขาโดน เอ็กเซลซิเออร์ ร็อตเทอร์ดัม ทีมหนีตกชั้น เอาชนะไปได้ 3-2 ส่วน อาแย็กซ์ เอานะ วิลเล่ม ทเว 2-0 ขยับประตูได้เสียเป็น +49 แต่ พีเอสวี ทำหน้าที่ของพวกเขาได้ดีที่สุด ด้วยการถล่ม วิเทสส์ อาร์เน่ม 5-1 เพิ่มประตูได้เสียเป็น +50 และทำให้คว้าแชมป์ลีกไปครอง โดยมีคะแนนเท่าคู่แค้นอย่าง อาแย็กซ์ แต่ประตูได้เสียเฉือนไปเพียง 1 ประตูเท่านั้น
ปาฏิหาริย์นาทีสุดท้ายของ เซร์คิโอ ‘กุน’ อเกวโร่ ส่ง “เรือใบ” ได้แชมป์ ฤดูกาล 2011/12
หลายคนคงยำจำเหตุการณ์ที่เดขึ้นในวันนั้นได้อยู่ โดยเฉพาะ “แฟนผี” ที่น่าจะเป็นผู้ที่เจ็บปวดที่สุดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 90 นาทีเศษของเกมนัดสุดท้ายในฤดูกาลนี้
ทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และ แมนฯ ซิตี้ มีคะแนนเท่ากันก่อนลงสนามในเกมชี้ชะตาแชมป์ของฤดูกาล แน่นอนว่า ก่อนลงเล่น ซิตี้ ได้เปรียบกว่า จากการที่มีประตูได้เสีย เหนือกว่าก่อนลงสนามอยู่
ยูไนเต็ด ทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างยอดเยี่ยม ด้วยการออกนำ ซันเดอร์แลนด์ อย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 20 และเมื่อจบ 90 นาที แชมป์สมควรเป็นของพวกเขา เพราะเวลาแบบเรียลไทม์ ในตอนนั้น ซิตี้ ตามหลัง ควินส์ ปาร์ค เรนเจอร์ส อยู่ 1-2
แต่เหตุการณ์ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ ก็เกิดขึ้นได้ในโลกของฟุตบอล เพราะประตูของ เอดิน เซโก้ ในนาทีที่ 90+2 ปลุกพลพรรค “เรือใบสีฟ้า” ให้กลับมามีลุ้นอีกครั้ง และอีก 2 นาทีต่อมาในนาทีที่ 90+4 เซร์คิโอ ‘กุน’ อเกวโร่ ก็มายิงประตูชัยให้ ซิตี้ ชนะเกมนั้นไป 3-2
ชัยชนะเหนือ คิวพีอาร์ ทำให้ คะแนนของ ซิตี้ กลับมาเท่ากันกับ ยูไนเต็ด อีกครั้ง และนั่นหมายความว่า แชมป์ตกเป็นของำวกเขา เพราะมีประตูได้เสียที่ดีกว่าอยู่ 8 ประตู ซึ่งนี่เป็นเหตุการณ์คล้ายจะเดจาวูของเหตุการณ์ในฤดูกาล 1967/68 และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่คราวนั้นด้วย ที่แชมป์ต้องตัดสินกันที่ประตูได้เสีย.
โฆษณา