13 ก.ย. 2019 เวลา 14:54
"คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต"
ดูเหมือนความพยายามของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเริ่มไร้ความหมาย สงครามการค้าที่เขาก่อขึ้นมาเพื่อจะสกัดดาวรุ่งจีน ไม่ให้ขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลกใกล้ที่จะหมดมุกเต็มที
สินค้านำเข้าที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีกับจีน ปัจจุบันคิดเป็นมูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ฯ แทบจะทั้งหมดของสินค้าที่สหรัฐฯนำเข้าจากจีนแล้วเช่นกัน
ถึงตรงนี้เองผมยังคิดไม่ออกว่าสหรัฐฯจะใช้เครื่องมืออะไรมาจัดการกับจีนต่อ เพราะที่ผ่านมาการขาดดุลการค้าก็ไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ขณะที่เศรษฐกิจจีนก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าเริ่มชะลอลงจากผลของสงครามครั้งนี้เหมือนกัน แต่..!!!
ถ้าเรามาดูอาวุธของจีนที่มีอยู่ตอนนี้ ต้องบอกว่าสามารถยืนชกได้จนถึงยกสุดท้าย ไม่โดนน็อคไปง่ายๆอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะครึ่งปีหลังนี้ จีนได้รัวกระสุนนโยบายแบบไม่ยั้ง จนทรัมป์ต้องแก้เก้อด้วยการหันมาโทษ เจอโรม พาวเวล ที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ยลงให้มากกว่านี้แทน
ที่มา : Bloomberg
ล่าสุดธนาคารกลางจีนได้ประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน (RRR) อีก 0.50% ซึ่งการปรับลด RRR ในครั้งนี้ ส่งผลให้มีสภาพคล่องไหลเข้าสู่ตลาดถึง 9 แสนล้านหยวน (1.26 แสนล้านดอลลาร์) ถือเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ และเป็นครั้งที่ 7 นับตั้งแต่ต้นปี 2561
ที่มา : Bloomberg
ตามมาด้วยการปรับโครงสร้างดอกเบี้ย LPR (Loan Prime Rate) เพื่อพยุงเศรษฐกิจ โดยเป้าหมายเดิม LPR มีวัตถุประสงค์ปล่อยกู้ให้ลูกค้าชั้นดีด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ ถูกอ้างอิงจากธนาคารใหญ่ 10 แห่ง อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.31-4.35%
แต่โครงสร้างใหม่อิงจากธนาคาร 18 แห่ง และอิงกับอัตราดอกเบี้ย MLF ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารพาณิชย์ใช้กู้ยืมจากธนาคารกลางจีน ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.30%
จะเห็นว่าการใช้นโยบายการเงินของจีนที่ผ่านมา ยังไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเลย ต่างจากสหรัฐฯและประเทศอื่นๆ ที่เลือกใช้การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือแรกในการพยุงเศรษฐกิจ
เท่ากับว่ากระสุนในการลดดอกเบี้ยของจีนยังมีอยู่เต็มแม๊ก เพื่อรอใช้หากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงไปมากกว่านี้
ที่มา : Bloomberg
ขณะที่นโยบายการเงินเดินหน้า การแทรกแซงให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่า เพื่อลดผลกระทบการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ทรัมป์หัวเสียไม่ใช่น้อย
แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือ หนี้ภาคครัวเรือนและการผิดนัดชำระหนี้ของจีนกำลังเร่งตัวขึ้น ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศของจีนลดลงต่อเนื่องในไตรมาส 2
ที่มา : Kresearch
มองไปข้างหน้าการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยอาศัยการบริโภคภายในประเทศแทนการพึ่งพิงการส่งออกเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้าอาจเริ่มมีประสิทธิภาพน้อยลง
ที่มา : Kresearch
สร้้างความท้าทายให้กับธนาคารกลางจีน เพราะการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ มักจะตามมาด้วยหนี้เสียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สี จิ้น ผิง น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด และอาจจะเป็นคนที่ฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว ในฐานะผู้ที่ถูกเลือกให้นำพาจีนแผ่นดินใหญ่ก้าวข้ามสหรัฐฯขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกในยุคที่จีนยังมีเขาเป็นผู้นำอยู่
ซึ่งสิ่งที่เขาทำไม่ใช่การต่อสู้เพราะเห็นทรัมป์หรือสหรัฐฯเป็นศัตรู...แต่เขากำลังต่อสู้เพราะเขารักสิ่งที่อยู่ข้างหลังเขาต่างหาก
ถ้าชอบ กด like & share  และอย่าลืม กดติดตามเพื่อไม่ให้พลาดสถานการณ์ลงทุน ตามแบบฉบับมืออาชีพครับ : )
โฆษณา