15 ก.ย. 2019 เวลา 08:37 • ธุรกิจ
ความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนระยะยาว vs การวิ่ง endurance
1
“สิ่งที่ผมค้นพบด้วยตัวเอง จากการถูกฝึกให้วิ่งระยะยาว”
ว่ากันว่ากีฬาประเภท Endurance ที่ใช้ความอดทน นานๆ เช่น มาราธอน ไตรกีฬา ไอรอนแมน ล้วนแต่เป็นกีฬาที่ใช้ “พลังใจ” และ “วินัย” ในการฝึกซ้อมสูงมาก ผมสนใจจิตวิทยาภายใต้กิจกรรมเหล่านี้ และผมคิดมันมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Longterm Investment แน่ๆ
Eliud Kipchoge และ Ray Dalio สองไอดอลที่คนพูดถึงมากที่สุดในปี 2019
เพื่อที่จะเขียนบทความนี้ได้อย่างลึกซึ้ง
ผมได้ตั้งเป้าหมายเปลี่ยนตัวเองจากคนที่วิ่งเหยาะๆ 5-6 kmก็เหนื่อยหอบจะตายอยู่แล้ว ให้กลายเป็นคนที่วิ่งระยะไกลกว่า 10km ขึ้นไป ด้วย pace 5:XX
ผมเลยเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในตารางการซ้อมวิ่ง สัปดาห์ละ 3วัน โดยมีเพื่อนรักของผมเป็นโค้ชวิ่งส่วนตัว
ช่วงแรกๆที่ซ้อม ผมยังไม่รู้จะเขียนอะไรเกี่ยวกับบทความนี้เลย ก็ได้แต่ซ้อมวิ่งไปเรื่อยๆๆ แล้วผมก็พบว่า ตัวเองวิ่งได้ยาวขึ้น และความเร็วมันก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเอง
จนท้ายที่สุดจบตารางซ้อม ผมบรรลุเป้าหมายการลงสนาม ทำลายกำแพงหลายๆอย่างที่ตัวเองไม่เคยทำได้
ผมเริ่มมองเห็นความสัมพันธ์บางอย่างที่สอดคล้องกันของสองสิ่งนี้
จึงขอเล่าความสัมพันธ์นี้ด้วยมุมมองของผมเอง เอาล่ะมาเริ่มกันเลย
ถ้าผมเปรียบเทียบว่า
- Pace เฉลี่ยของนักวิ่ง คือ ผลตอบแทนเฉลี่ยของนักลงทุน
- ความยาวนาน และ ระยะทางเป้าหมายในการวิ่ง คือ ระยะเวลาที่เราลงทุน และ เป้าหมายขนาดพอร์ตของเรา
การที่จะวิ่งได้เป็น 100km คนวิ่งpace เร็วหน่อยก็ถึงเส้นชัยก่อน คนวิ่งpace ช้าหน่อยก็ใช้เวลามากหน่อย แต่ถึงเส้นชัยเหมือนกัน
1
เช่นเดียวกันกับ การสร้างพอร์ตปลายทางได้เป็น 100ล้าน คนที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงหน่อยก็ไปถึงก่อน คนที่ทำได้น้อยก็ไปถึงช้าหน่อย แต่ถึงเหมือนกัน
นักวิ่งอยากจะวิ่งให้ไว อยากถึงเส้นชัยให้เร็ว แต่เราไม่จำเป็นที่จะต้องมี pace ที่เร็วมาก แบบ over ขอแค่เป็น pace ที่เราคุมมันได้ไปตลอดถึงเส้นชัย ไม่ต้องสนใจ อิจฉาคนอื่นที่เขาวิ่งเร็วกว่าเรามากๆ โฟกัสแค่ตัวเราเองก็พอ
นักลงทุนทุกคนก็อยากทำผลตอบแทนให้ได้เยอะๆ ไปถึงเป้าหมายขนาดพอร์ตที่เราฝันไว้เร็วๆ เช่นเดียวกัน ไม่ต้องทำผลตอบแทนให้ได้สูงเว่อร์ ขอแค่ผลตอบแทนในระดับเหมาะสมกับเรา เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับการไปถึงเส้นชัย ไม่ต้องแคร์อิจฉาคนอื่นที่เขาทำกำไรได้เยอะมากๆ โฟกัสที่ตัวเราเองก็พอ
สิ่งที่นักลงทุนที่ดีพึงมี และสิ่งที่นักวิ่งที่ดีพึงมี มันคือ “วินัย”
การวิ่งเหมือนเป็นกีฬาที่โง่ๆ ง่ายๆ ใครก็วิ่งได้ แต่คนที่จะสามารถวิ่งได้ไกลมากๆ เกินคนปกติทั่วไปต้องมีการฝึกบางอย่าง
จะขอพูดวินัยอย่างแรกคือ
- วินัยในการพัฒนาตัวเอง
จากที่ทำไม่ได้กลายมาเป็นทำได้
เค้าต้องฝึกฝนอะไรบ้าง และมีวิธีฝึกยังไง ?
นักวิ่งที่ทำตามตารางซ้อม รักษาวินัยซ้อมมักจะทำได้สำเร็จเสมอ
ตารางซ้อมของนักวิ่ง มีสิ่งให้ทำไม่เหมือนกันเพื่อฝึกฝนskillที่แตกต่างกันไป
เราจะวนซ้อมให้ครบ loop แล้วจึงปรับให้ยากขึ้นสัปดาห์ละนิดสำหรับผมก็จะมีการซ้อม 3 วัน / week แต่ละวันจะมี assignment ต่างกันเพื่อเสริมสร้างคนละ skill
ไม่ต้องใจร้อน ให้เวลากล้ามเนื้อได้พัฒนาความอึดทนนานจากวัน LongRun
รอบขา(Cadence) ได้พัฒนาความเร็วจากวัน Speed Workout
ประสิทธิภาพการใช้ Oxygen ได้พัฒนาจากวัน Easy Run
ท่าทาง posture วิ่ง , การฝึกหายใจ พัฒนาจาก base ของทุกวัน
รู้ตัวอีกทีเราจะวิ่งได้เร็ว อึด ทน ชิล ขึ้นเรื่อยๆ
แล้วคิดว่าตารางซ้อม ของนักลงทุนคืออะไร ?
- ฝึกวิเคราะห์ business model / อ่าน financial report
- ฝึกฝนจิตวิทยาการลงทุน , PortFolio Management
- อ่านหนังสือการลงทุนดีดี
- อื่นๆอีกมาก
เราควรฝึกฝนหลายๆ skill และวน loop ไปจนครบ แล้วปรับให้ level สูงขึ้นเรื่อยๆทีละนิด
และไม่ต้องใจร้อน ให้เวลาตัวเราได้พัฒนาไปทีละนิดๆ เมื่อเวียนฝึกครบทุกกิจกรรมรอบนึง เราก็กลับมาฝึกใหม่อีกครั้ง ด้วยระดับความยากที่มากขึ้นเรื่อยๆ เป็น loopไป รู้ตัวอีกที เรากลายเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นกว่าเดิมไปแล้ว
2.2 วินัยในการประคองตัวเองให้ยืนระยะได้นานๆ
เมื่อรู้เรากลายเป็นนักลงทุนที่พัฒนาไปได้เยอะแล้ว ก็ยังมีโอกาสพลาดพลั้งอยู่ดี
ความยาวนานในการวิ่งทางไกล เปรียบได้กับ จำนวนปีที่ยาวนานของการลงทุน
"พอร์ตการลงทุนไม่ควรระเบิดกลางทาง เช่นเดียวกันกับการ DNF ในสนามวิ่ง”
การเร่ง speed ให้เร็วเกินกว่าที่ซ้อมไปอีกนิด อาจทำให้ล้มเหลวไปไม่ถึงเป้าหมาย หลายคนเป็นตะคริว บาดเจ็บ ต้องออกจากแข่งขัน เมื่อวิ่งใน pace ที่เร็วเกินว่าตัวเองซ้อมมา
เช่นกัน นักลงทุนเก่งๆที่สุดท้ายช่วงชีวิตหนึ่ง ต้องหายหน้าไปเพราะ "พอร์ตระเบิด" จากการเร่งผลตอบแทนมากเกินไป
"เหนียวไว้ก่อน"
การที่จะยืนระยะให้ ได้อย่างสบายๆจนจบต้องประคองตัวเองไม่ให้นอกลู่นอกทาง
เช่น อยู่ดีดีก็ฮึกเหิม เร่งสปีดตามคนข้างๆ มันจะส่งผลให้เราหมดแรงในตอนปลาย กลายเป็นถึงช้ากว่าเดิม หรือแย่สุดคือบาดเจ็บ ต้องหยุดการวิ่งกลางทาง
ใจร้อน รีบ กลับกลายเป็น ยิ่งรีบ ยิ่งพัง
เราได้พบเห็นผลเสียของการเร่งทำผลตอบแทนมากเกินไป คนที่หมดแรงไปก่อนระหว่างทางมีเยอะแยะมากมาย
กรณีที่หนักคือ ขาดทุนหนัก ยับเยิน จนถึงขั้นรับไม่ได้ ต้องจบชีวิตนักลงทุนออกจากตลาดหุ้นไป
คนที่สามารถ “ยืนระยะ” ได้ไปจนถึงเส้นชัย ล้วนเป็นผู้ชนะทุกคน ไม่จำเป็นเลยว่าเราต้องเข้าเส้นชัยที่เท่าไหร่
เปรียบเทียบกับในชีวิตนักลงทุน สมมติว่าผมตั้งเป้าจะปั้นพอร์ตจาก 1ล้านไปให้ถึง 100ล้าน ภายใน 33ปี ซึ่งจะใช้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 14.98% (1ล้าน x 1.1498^30 = 100ล้าน)
ผมต้องยืนระยะนาน 33ปี ให้ได้ โดยหวังผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 14.98%
เมื่อใดก็ตามที่ผมหลุดไปจากวินัย เห็นคนอื่นได้กำไรปีละ 50-80% แล้วพยายามทำตาม ความร้อนแรง พวกนั้นเหมือนนั่งวิ่งข้างๆที่แซงเราไป เราต้องปล่อยเขาไป เพราะ Return 14.98% ต่อปี มันคือ Marathon Pace ในการลงทุนของเรา
2.3 วินัยในชีวิต
Eliud Kipchoge กล่าวว่า
“Only the disciplinced ones in life are free. If you are undisciplined , you are a slave to your moods and your passions”
“คนที่มีวินัยในชีวิตเท่านั้นถึงจะได้รับอิสรภาพ ถ้าคุณไม่มีวินัย คุณจะตกเป็นทาสของอารมณ์และความหลงไหล” (Disciplined ones = คนที่มีวินัย)
Eliud Kipchoge คือ นักวิ่งMarathonที่สุดของโลกในตอนนี้ และเขาเป็นดั่ง Life coach ที่น่ายกย่อง
เมื่อเรามีวินัยในการใช้ชีวิตมากขึ้น และมันจะลามไปถึงหลายๆเรื่องในชีวิตเอง
เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราจะเห็นความสำคัญของสุขภาพมากกว่าเดิม การวิ่งเช้า มันบังคับให้เราต้อง "นอนเร็ว" เพื่อสุขภาพที่ดี และตื่นเช้ามาพบกับอากาศที่ดี หลังการวิ่ง มันช่วยพัฒนา EQ อารมณ์ของเราให้ stable
มันไม่ควรเลยที่จะนอนดึกดูหุ้นตอนกลางคืน (โดยเฉพาะหุ้นUS )
VI แท้จริงต้องรักษาสุขภาพภายและสุขภาพจิตได้ทั้งคู่ และควรต้องฝึกสมาธิด้วย
ในยุคสมัยที่คนสมาธิสั้นลง การซ้อมวิ่ง คือ ช่วงเวลาที่เราอยู่ห่างจากมือถือ เราจะมีโฟกัสอยู่กับลมหายใจและการก้าวเท้า จะช่วยให้เราได้ฝึกสมาธิ
คนที่มีสมาธิดีเขาจะตกใจน้อยกว่าคนทั่วไป เวลาได้ยินเสียงปืน
มันช่วยตอนที่เกิดเหตุการณ์ Panic ในตลาดหุ้นนั่นแหละ เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนในตลาดจะ Panic ตามๆกัน แต่นักลงทุนที่มีสมาธิจะลงมือตัดสินใจในภาวะคับขัน ด้วยความนิ่งมากกว่าคนอื่น
คนที่ชอบเปิดดูราคาหุ้นในพอร์ตตัวเองบ่อยๆ เหมือนกับนักวิ่งที่ชอบดูนาฬิกาวิ่งบ่อยๆ
การนาฬิกาวิ่งบ่อยเกินไป สิ่งที่ตามมาคือ สมาธิผมไม่จดจ่อกับท่าวิ่ง การหายใจเริ่มไม่สัมพันธ์กับรอบขา
เราจะเริ่ม “หลุด” ยิ่งทำให้เหนื่อยกว่าเดิม ยิ่งช้าลงกว่าเดิม ประสิทธิภาพไปหมด
ผลของการดูราคาหุ้นบ่อยๆ ของนักลงทุนก็เช่นกัน คือ
- สมาธิสั้นลงแน่ๆ
- มันจะทำให้เรา “หลุด” จากหลักการลงทุนระยะยาวของตัวเอง มันจะชักจูงให้เราคิดตัดสินอะไร / action อะไรแปลกๆ ที่มันไม่ควรทำ
กระบวนท่าเราจะแตกเวลาตลาดหุ้น panic และเราไปเฝ้าดูราคามันบ่อย
ถ้าอยากดึง performace การวิ่งที่ดีที่สุดออกมา การตั้งใจวิ่งสับๆเร็วๆ ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง มันจะเหนื่อยเปล่า
กลับกันคือ “การมีสติ” อยู่กับลมหายใจ และรักษากระบวนท่าให้อยู่ใน posture ที่เหมาะสม เมื่อทุกอย่างสัมพันธ์กัน เราจะเหนื่อยน้อยลงมากๆ จะได้ Performance เฉลี่ยออกมาดีเอง
ผมว่าสภาวะเนี้ยแหละ ใช่เลย
การลงทุนแบบให้ได้ performance ที่ดีที่สุด หาใช่ว่าสักแต่จะทำให้ได้เยอะๆ แต่มันคือการมีสติอยู่กับตัวเอง ให้เราอยู่กระบวนท่า ในวิธีที่เหมาะสมอยุ่ตลอดเวลา เมื่อทุกอย่างมันสัมพันธ์กัน มันจะไม่เหนื่อยเลย และผลลัพธ์มันจะออกมาดีเอง
หากคุณชอบและคิดว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ ผมขอขอบคุณมากคับ
ขอบคุณที่ติดตาม GMH Blockdit
GMH Charity Fund สร้างขึ้นมาเพื่อนำผลตอบแทนไปช่วยเหลือการศึกษาของเด็ก/ผู้ป่วย/ผู้พิการยากไร้
โฆษณา