16 ก.ย. 2019 เวลา 08:21 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Crack the RNA Code :: Part 4
ดังได้กล่าวไปแล้วว่า RNA จะปฏิบัติการถ่ายแบบ-ถอดรหัสจาก DNA เมื่อได้รับการสั้นสะเทือน(Vibration) จากคลื่นElectro-Magnetic ซึ่งจะเกิดได้ทั้งจากภายในร่างกายและภายนอกร่างกาย
Kuru Rin Po Chae
โลกจัดว่าเป็นแหล่งของสนามพลังแม่เหล็กที่ใหญ่ที่สุด และส่งผลต่อRNA ของมนุษย์มากที่สุด ยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อเราไปในสถานที่แตกต่างกัน เราจะเกืด "อารมณ์ และ ความรู้สึก" ที่แตกต่างกัน ซึ่งแน่ละ "เรา" จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่นั้นๆ ไปโดยปริยาย(โดยปกติ)
คำถามคือ มันเกิด "อารมณ์และความรูัสึกร่วม" ขึ้นมาได้อย่างไร ?
1
Kuru Rin Po Chae
อารมณ์และความรู้สึก ไม่ว่า จะเป็นการเห็น รับรู้ สัมผัส ฯลฯ เกิดจาการกระบวนการทำงานสังเคราะห์โปรตีน-ฮอร์โมนของ RNA ซึ่งได้รับกระแสจากคลื่นสนามแม่เหล็กโลก ที่ก่อให้เกิดความสั่นสะเทือน(Vibration) ที่แตกต่างกันไปตามย่านความถี่(Frequencies) และความต่างศักย์ ซึ่งจะมีความเข้มแตกต่างกันไปตามพื้นที่ หรือสถานที่
กระแสคลื่นนี้แหละที่เป็นตัวกระตุ้นให้ RNA เริ่มกระบวนการผลิตโปรตีน-ฮอร์โมนออกมา เรียกว่า "อารมณ์ - ความรู้สึก" ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติทั่วไป ของมนุษย์ เมื่อต้องการเปลี่ยนอารมณ์ ก็จะเปลี่ยนสถานที่ เข่นการพักผ่อนหย่อนใจ ชายทะเล หรือ สถานบันเทิง เข้าวัดปฏิบัติธรรม เป็นต้น
Kuru Rin Po Chae
คำถามก็ตามมาอีกว่า "ทำไม อารมณ์ของเราจึงเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อมนั้นๆ ได้ ? "
ตามภาพด้านบน(ดูภาพประกอบ) จะเห็นได้ว่า ภายในร่างกายมนุษย์ก็มีสนามไฟฟ้าแม่เหล็กเหมือนกัน แต่เล็กจิ๊ดเดียวเมื่อเทียบกับโลก(ที่พึงสังเกตุคือ พลังกระแสคลื่นไฟฟ้า-แม่เหล็กโลก จะพุ่งออกมาจากขั้วใต้ไปสู่เหนือ ไม่ต่างจากขั้วใต้ของแม่เหล็กขีวภาคในตัวมนุษย์ ซึ่งอยู่ที่จุดกระดูกข้อสุดท้ายปลายกระดูกสันหลัง)
ดังนั้นเมื่อเข้าไปอยู่ในย่านความถี่ของสนามแม่เหล็กโลกที่มีความเข้มกว่า สนามแม่เหล็กชีวภาคในตัวมนุษย์ผู้ นั้นจึงเปลี่ยนไปตาม เนื่องจาก RNA ได้เข้าสู่กระบวนการ ส่งสัญญาณไฟฟ้า ถอดรหัส ให้เกิดการจัดเรียง "โมเลกุล" ใหม่ให้เป็นหนึ่งเดียวกับย่านความถี่ ของสนาม แม่เหล็ก (Electro - magnetric Field) นั้น และตรงนี้แหละที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชัดเจน สำหรับโยคาวจร(ผู้ปฏิบัติ) และสัตปบุรุษว่า " ที่ใดไม่ควรเข้าไป = อโคจร" ก็ด้วยเหตุดังที่กล่าวข้างต้นนั้น
มีอยู่ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถใข้เป็นคำตอบในเชิงวิทยาศาสตร์(แม่เหล็ก-ไฟฟ้า) ได้เป็นอย่างดี และสามารถทำความเข้าใจได้อย่างกระจ่างในพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้ใน "มงคลสูตร" ข้อแรกว่า "อย่าคบคนชั่วเป็นมิตร" ที่ทรงตรัสเช่นนั้นก็เพราะว่า "ความเข้มในสนามแม่เหล็กชีวภาคของคนเลว จะมีความเข้ม(ลบ) สูง" ส่งผลให้คนประเภทนั้นมี "อารมณ์ร้าย" หฤโหด เป็นต้น เมื่อเข้าใกล้หรือคบหา กระแสคลื่นแม่เหล็กของคนชั่ว ก็จะถูกนำเข้าไปในRNA ทำกระบวนการปรับแต่งโมเลกุล ให้ละม้ายกับคนเลวนั้น เราจึงได้เห็นอยู่เสมอว่า "คนดีๆ ไปคบคนชั่วไม่นาน สันดานเปลี่ยน" ก็เพราะเหตุนี้
"อารมณ์" จัดว่า เป็น "อาหาร" ของชีวิต และสรรพสัตว์
หากจะถามว่า "ชีวิต เกิดมาทำไม ?" คำตอบคือ เกิดมาเพื่อแสวงหาอารมณ์ สนองความรู้สึกในการดำรงชีวิต"อย่าลืมไปอย่างหนึ่งว่า "อารมณ์" คือ "สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาค (Bio-Electromagnetricity) ที่ส่งผ่านระหว่างโมเลุลที่รับรู้ไปยังสมอง เพื่อถอดรหัส หรือ เทียบเคียงกับสิ่งกระทบจากภายนอกนั้น กับ ข้อมูลที่ถูกเก็บบันทึกไว้ว่า สิ่งนั้นๆ ที่เข้ามากระทบ มีอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่ เป็นบวก หรือ ลบ ถ้าหากเป็นบวก สมองก็จะสั่งการให้ตอบรับเราเรียกว่า "พอใจ หรือ สุข" และ หากว่า เป็นทางลบ ก็จะสั่งการให้ต่อต้านเราก็เรียกว่า "ทุกข์ หรือ ไม่พอใจ" นี้คือปฏิกริยาทางสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาคของมนุษย์
ที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งคือ พระพุทธองค์บรมศาสดาของพระพุทธศาสนา ได้ทรงตรัสรู้ และถ่ายทอดเรื่องของ "สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาค(Bio-Electro magnetricity) แก่พุทธบริษัทมาเกือบ3000ปีแล้ว ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์การแพทย์จะค้นพบกว่า2000ปี ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังทรงถ่ายทอดวิทยาการอันล้ำลึก ให้สามารถ สร้าง ควบคุม Bio-Electro Magnatricity รวมทั้ง Plasma สร้างปฏิภาค รวม(สัมปยุติ) หยุด การปฏิภาค(นิโรธ) และ เปลี่ยนสภาวะกลับไปมาจากPlasma เป็นMass = Tranformation ได้ตามปรารถนาของผู้ปฏิบัติตามพุทธวิถี ได้อีกด้วย ดังปรากฏตามจารึกของพระสารีบุตรอรหันตเถรเจ้า ในพระสุตันตปิฏก สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค
เพื่อขจัดข้อสงสัย และป้องกันการเลยเถิดในความคิดของท่านผู้อ่านทั้งหลายว่า... ผู้เขียน "ดูออกจะ เว่อร์...ไปรึเปล่า ?" ในการที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าสอนวิธีควบคุม คลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาค(Bio-Electro Magnetricity) และ แปรเปลี่ยนคลื่นนั้นตามปรารถนา เพราะเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ระดับ Quantum Physic เชียวนะ
ก็จะว่ากันซะให้ Clear ตรงนี้เลย... นอกจากจะเป็นการไขข้อข้องใจแล้ว ยังเพิ่มเติม เสริมเต็ม สร้างความภาคภูมิใจ แก่พุทธบริษัท ที่ได้เข้ามาศึกษาประพฤติปฏิบัติในแนวทางพุทธวิถี สืบไป
พระพุทธองค์ทรงตรัสบัญญัติไว้ ปรากฏชัดว่า ".... หนทางปฏิบัติไปสู่การพ้นทุกข์ คือ ไปสู่พระนิพพาน มีหนึ่งเดียว ไม่มีทางสายอื่น(เอก มคฺโค...) นั่นคือ สติปัฏฐาน...."
ถามว่า "สติ" คือ อะไร ? .... สติ คือ ธรรมชาติระลึกรู้อารมณ์....ย้ำ " อารมณ์" คืออะไรในทางPhysic "อารมณ์" คือ สัญญาณไฟฟ้าชีวภาค(Bio-Elecro Magnetric) ที่ใช้ในการสื่อสาร-สั่งการในระดับโมเลกุลคำว่า "สัญญาณ" เป็นภาษาบาลี ในการเขียนภาษาไทย นำมาทับศัพท์ "สัญญาณ" ประกอบด้วยคำสองคำ คือ สัญญา = เก็บไว้, บันทึกไว้ และ"วิญญาณ" = การรับรู้เมื่อตัดส่วนหลังของคำว่า "สัญญา"ออก เหลือใช้แต่คำว่า "สัญ"พร้อมนั้นตัดส่วนหน้าของคำว่า "วิญญาณ" ออก เหลือ ญาณ มาต่อท้ายคำว่าสัญ ก็จะสำเร็จเป็นคำใหม่คือ "สัญญาณ" เป็นศัพท์ใหม่ในความหมายใหม่ว่า "สัญญาณ" คือ การรับรู้สิ่งที่ได้ถูกบันทึกไว้แล้ว
เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า วิทยาการของพระพุทธศาสนานั้นลึกล้ำมาก สามารถระบุถึง การบันทึกข้อมูลของสมอง และการสื่อสารระหว่างโมเลกุล ทั้งนี้ก็เพราะว่า พระพุทธองค์ทรงต้องการให้พุทธบริษัทนั้นเห็นว่า สิ่งทั้งหลายนั้นเป็นสมมุติ เปลี่ยนแปลงรูปแบบ แปรปรวน และเป็นไป ตามแรงแห่งกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาค ส่งกลับออกมาเป็นพฤติกรรมซึ่งเราเรียกว่า "อารมณ์" การควบคุมคลื่นนี้จึงต้องใช้การปฏิบัติพิเศษตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" อันเป็นหนทางเดียวที่จะสลายปฏิภาคของPlasma ได้อย่างถาวร ไม่สามารถที่จะ Tranform กลับมาได้อีก ซึ่งเรียกในทางปฏิบัติว่า "นิพพาน" อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา นั่นเอง
แต่โดยปกติสามัญวิสัย ของมนุษย์ทั่วไป ย่อมไม่สามารถที่จะควบคุม บังคับคลื่นสัญญาณไฟฟ้าชีวภาค อันก่อให้เกิดอารมณ์ "สุข" และ "ทุกข์" ได้ จึงแสวงหาคลื่นความถี่ของBio-Electro Magnatric ที่ถูกบันทึกไว้ใน DNA ของตนเท่านั้น และกำหนดเอาว่านี่คือ "สุข" นี่คือ "ทุกข์" แตกต่างกันไป ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว มันไม่มีอยู่จริง แต่มนุษย์ก็ยังแสวงหา เพราะไม่สามารถควบคุมคลื่นได้
Kuru Rin Po Chae
ในทางพระพุทธศาสนา อารมณ์ที่เรารับเข้ามาจากภายนอก จะมี 5 ทิศทาง เรียกว่า "ปัญจทวารวิถี"(อายตนะภายนอก)
การรับรู้สัมผัส จากภายนอก ต่าง ๆ จริงแล้วไม่มีอยู่จริง ดังได้อธิบายไปข้างต้น มันเป็นเพียง "สัญญานไฟฟ้า(Bio-ElectroMagnetric) ตรงนี้แหละที่ทำให้เกิด RNA ซึ่งส่งไป เทียบเคียงกับสัญญา(ข้อมูลเดิมที่เก็บบันทึกไว้)" ทำให้เกิดปฏิกริยาทางเคมี ว่า "ชอบ หรือไม่ชอบ" แล้วแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ก่อให้เกิดการกระทำ อันเป็นต้นกำเนิดของ "การกระทำ ดี-ชั่ว และ บุญ-บาป" ล้วนมาจากต้นกำเนิดคือ "อารมณ์" อันเปรียบเสมือนเมล็ดพร้อมที่จะงอก ส่วนจะเป็นแบบไหน ขึ้นอยู่กับเมล็ดอะไร ? :::: ดังนั้น เรา...จึงสามารถเลือกเมล็ดที่เราต้องการได้ หมายถึง เราสามารถสร้าง RNA เพื่อเปลี่ยนค่าใน Base ของ DNA ได้ด้วย :::
ในทางพระพุทธศาสนา "อารมณ์เกิดจาก การกระตุ้นของมหาภูรูป 4 " จำไว้ให้ดี ตรง 4 นี่แหละ(ไม่ใช่ให้หวยตัวเต็งนะ)
1
Kuru Rin Po Chae
การกระตุ้นมหาภูตรูป4 ทำให้เกิดดกระแส ความรู้สึก ให้ไปดึงเอาข้อมูลใน "สัญญาเดิม" ออกมาเทียบ ว่า "ชอบ=นิฏฐารมย์ หรือ ไม่ชอบ =อนิฏฐารมย์" ซึ่งมีอยู่แล้วในสัญญา เอามาเทียบเคียง ถ้าไม่มีข้อมูลอยู่ ก็ไม่สนใจ กลายเป็น อุเบกขา
1
ถ้าเขียนเป็นรหัส ก็จะได้ว่า ชอบ=1 ไม่ขอบ=0 อ่านแล้วคุ้น ๆ เหมือนรหัสภาษาComputer ไม๊ล่ะ !!
ในทางพันธุกรรม ชอบหรือไม่ชอบ "อารมย์" ต่าง ๆ จะถูกเก็บไว้ในDNA เมื่อมีกระแสมากระทบ RNA จะไปค้นข้อมูล Copy ออกมาสั่งการ ซึ่ง จะเก็บไว้ใน 4 ส่วน เรียกว่า Base
แต่ละส่วนBaseของ DNA จะเก็บรหัสพันธุกรรม ข้อมูลแต่ละอย่าง และผันแปรได้ไร้ขีดจำกัด มหาภูตรูป4 ก็มีสภาพเช่นเดียวกัน
Kuru Rin Po Chae
นี่คือ ความล้ำยุคของวิทยาการที่พระพุทธองค์ทรงถ่ายทอดให้ไว้กว่า 2562 ปีมาแล้ว ฝรั่งเพิ่งรู้ไม่นานมานี้(....จริงแล้ว Copyของพุทธไปรึเปล่าไม่รู้นะเนี่ยะ)
ในพระพุทธศาสนามีจารึกไว้ชัดเจนว่า "ชีวิต เกิดจากธาตุทั้ง4 ประชุมกันเป็นหนึ่งเดียว แยกไม่ได้(เอกสมังคี)”
Kuru Rin Po Chae
ซึ่งก็คือการประชุมกันโดยสายใยของDNA ที่เก็บรหัส พร้อมแปลให้เราเป็นอะไร หรือไม่เป็นอะไร นี่แหละจึงเรียกว่า สมมุติ
ทีนี้คงถึง "บางอ้อ" กันบ้างแล้ว ในเรื่องการทำงานของRNA กับ หน้าที่ของ DNA
ในตอนต่อไป เราจะมาศึกษาว่าจะสร้างคลื่น(Wave) ของสนามแม่เหล็กชีวภาค(Bio-Electromanetic) เกิดระดับความถี่(Frequencies) ที่สามารถมีแรงสั่นสะเทือน(Vibration) ให้ RNA ทำงานตามประสงค์ได้อย่างไร
ค้นคว้า ศึกษาข้อมูล Crack the RNA Code ตอนที่ 1 https://www.blockdit.com/articles/5d733e7b2de3e80cbec04267
โฆษณา