17 ก.ย. 2019 เวลา 07:41 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Crack the RNA Code :: Part 5
สิ่งมีชีวิต มีคุณสมบัติที่แตกต่างกับสิ่งไม่มีชีวิตอยู่4 ประการ คือ
1. การจัดระบบ(Orgarization) หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างร่างกายภายในที่ซับซ้อนประกอบขึ้นด้วยเซลล์จำนวนมากและเซลล์เองก็มีโครงสร้างภายในที่แยกย่อยลงไปอีก
2. กระบวนการสร้างและย่อยสลาย(Metabolism) หมายถึง สิ่งมีชีวิตบริโภคอาหาร เพื่อการเจริญเติบโต และทำกิจกรรมต่าง ๆ
3. การขยายพันธุ์(Reproduction) หมายถึง การมีลูกหลานสืบสายพันธุ์ต่อไป
4. การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเร้า(Irritability) หมายถึง ปฏิกิริยา (อารมณ์) ที่รับจากภายนอก(ปัญจทวารวิถี)ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านพฤติกรรม ไปจนถึงการตอบสนองของพืช(Tropisms) ด้วยแต่ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นทั้ง 4 ข้อนั้น เกิดจากกลไกในระดับที่เล็กมาก ๆ เรียกว่า "โมเลกุล" ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดการ Copyตัวเอง จากคำสั่งของ "อารมณ์"สั่งตรงไปให้สร้าง "เซลล์"เซลล์จึงเปรียบเสมือนโรงงานอุตสาหกรรม ที่คัดลอกผลิต โดยมีพิมพ์เขียวต้นแบบ เซลล์ที่ทำหน้าที่สำคัญนี้เรียกว่า ไรโบโซม(Ribosomes) ที่สำคัญที่สุดก็คือมันจะCopy ตัวของมันเองเป็นล้านๆ จากคำสั่งเพียงคำสั่งเดียวที่ออกมาจากการถอดรหัสพิมพ์เขียวเรียกว่าเรพลิโซม (Replisomes)
ปฏิสัมพันธ์การถอด-สื่อสารข้อมูลระหว่าง RNA กับ DNA
จากขั้นตอนดังกล่าวนั้น ก็จะรวมตัวจับกลุ่มเป็นก้อนเป็นชุดตามต้นแบบ นั่นคือ "โครโมโซม(Chromosomes)" หรือ "รหัสพันธุกรรม" ที่เกิดจากคำสั่ง "อารมณ์" หรือ กระแสแรงกระตุ้นของแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาค(Bio-Electromagnetic) ที่ทำให้RNA ถอดรหัสจากกรดอมิโนที่เรียงตัวกันอยู่ในDNA ออกมานี่คือความมหัศจรรย์ในการทำงานที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของ "โมเลกุล"
ฺBio-Electro Magneticity = อารมณ์
ดังได้กล่าวไปในตอนที่แล้วว่า "ชีวิตเกิดมาทำไม คำตอบคือชีวิต เกิดมาเพื่อแสวงหาอารมณ์ อารมณ์คือเครื่องหล่อเลี้ยง ชีวิต" "อารมณ์" เป็นความหมายรวม เพราะความจริงก็คือปฏิกิริยาที่ถูกกระตุ้นด้วยElectromagnetic ส่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าให้เซลล์ต่างๆ ทำงานตามที่กล่าวข้างต้น อารมณ์เกิดได้ทั้งภายนอกภายใน
โดยจะรับมาจากภายนอกแล้วนำเข้าไปสู่ภายใน เทียบเคียงข้อมูลในDNA(สัญญาเดิม)จากนั้นRNA จะทำการถ่ายแบบ ถอดรหัส ส่งสัญญาณไฟฟ้าไปผลิตฮอร์โมน-โปรตีนกลายเป็น การกระทำ หรือ พฤติกรรม อารมณ์จัดเป็นภาษาสากลที่สามารถรับรู้ได้ แม้ไม่ต้องสัมผัส หรือ ใช้สัญญาณใดๆ เช่นความเมตตาความรัก ก็สามารถสื่อสารกันได้แม้อยู่คนละซีกโลกโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือสื่อสารใดๆ
ดังนั้นอารมณ์จึงจัดเป็นภาษาสากลแห่งจักรวาลที่ทุกสรรพสิ่งย่อมสามารถสื่อสารรับรู้กันได้เป็นสากล"อารมณ์ ภายนอก" ที่เข้ามากระทบที่เห็นตัวอย่างได้ง่ายที่สุดก็คือ "เสียง" ที่เรารับรู้ได้ทาง "หู" ในคัมภีร์พระอภิธรรมปิฏกเรียกว่า "โสตะประสาท" ซึ่งสามารถเทียบเคียงกับทาง Physic ได้ว่า.....
Kuru Rin Po Chae
"...... โดยสภาวะความเป็นจริงแล้ว "เสียง" นั้น ไม่มีอยู่จริง สิ่งที่เราว่าได้ยินเสียง ความจริงคือการเคลื่อนที่ของ "โมเลกุล" ในอากา การเคลื่อนที่ของโมเลกุลในอากาศ ยังส่งความสั่นสะเทือนที่แตกต่างกันตามระดับความถี่ของคลื่นเสียงซึ่งทำให้เสียงทั้งหลายแตกต่างกันไปตามคลื่นความถี่นั้น ๆ การที่เราได้ยินก็เกิดจากโมเลกุลในอากาศที่เคลื่อนไหวกระทบกับโมเลกุลภายในส่วนที่ทำหน้าที่สัมผัสของอวัยวะส่วนหู
"คลื่นความถี่ของเสียง" ไม่เพียงแต่เป็นพลังซึ่่งผลักโมเลกุลในอากาศ เท่านั้นให้เคลื่อนเคลื่อนที่ไปได้ แต่เมื่อทดสอบคลื่นเสียงกับวัตถุ(Mass) เช่น ดิน ทราย น้ำ ไฟก็เคลื่อนที่ไปได้เช่นกัน แม้ว่า คลื่นเสียงจะไม่อาจจะมองเห็นได้แต่กลับมีพลังผลักดัน หรือทำลายวัตถุธาตุMass ได้อย่างปราศจากข้อโต้แย้งทางฟิสิกส์
ตัวอย่างการใช้คลื่นความถี่สูงมีประโยชน์มากๆ ในวงการแพทย์ไทยเรารู้จักกันดีกับคำว่าอัลตราซาวน์ ซึ่งเอามาใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคต่างๆเช่น คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็จะไปตรวจเพศของลูกในครรภ์หรือใช้ตรวจหลอดเลือด ซึ่งใช้ได้กับทุกส่วนในร่างกายและมีความแม่นยำสูงสามารถทำได้หลายครั้ง เพราะมีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายจากรังสีด้วย
"คลื่นความถี่ของเสียง" ได้ถูกนำไปวิจัยและนำไปใช้เป็นอาวุธในกองทัพ
สมอง กับ การรับรู้เสียง
หน่วยงานวิจัยกองทัพเรือของสหรัฐ ได้พบว่าในส่วนของคลื่นความถี่ต่ำ ควรจะใช้ในการสื่อสารระยะไกลแต่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าถ้าได้รับเกินความจำเป็นนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตด้วยเหมือนกัน ซึ่งในศตวรรษที่ 18 ได้มีการวิจัยไว้ว่าคลื่นชนิดนี้สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธปราบปรามจลาจล เช่น ในฝรั่งเศส กับญี่ปุ่น โดยทหารจะยิงคลื่นเสียงอินฟราโซนิคที่กลุ่มฝูงชนคลื่นเสียงจะไปกระตุ้นการทำงานของสมองเนื่องจากคลื่นถี่ต่ำจะมีผลต่อระบบประสาทโดยตรงทำให้เหยื่ออุจจาระออกมาโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้แล้วคลื่นอินฟราโซนิคยังส่งผลทำให้เกิดความมึนงงกล้ามเนื้อกระตุก อยากอาเจียน จนอาจถึงขั้นสลบได้
คลื่นเสียงที่ถูกใช้เป็นอาวุธในการทหาร
ดังนั้นคลื่นความถี่ต่ำนั้นก็เปรียบเสมือนอาวุธชนิดหนึ่งแต่วิธีการช่างล้ำเลิศและลึกซึ้งมากเพราะเป็นอาวุธที่เราจะไม่รู้เลยว่าคลื่นเสียงมันจะมาตอนไหนเนื่องจากความถี่ต่ำเราจึงไม่ได้ยินเสียง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ขี้แตกไปแล้ว !!!
1
ตัวอย่างสังเขป คลื่นความถี่ กับผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์7 Hz เป็นคลื่นระดับเดียวกับคลื่นสมอง (alpha brain wave) ถือว่าเป็นระดับความถี่ที่อันตรายที่สุด มีผลกระทบต่ออวัยวะมากที่สุดทำให้ฉีกขาดได้ ถ้าร่างกายอยู่ในคลื่นความถี่นี้นานๆอาจถึงแก่ชีวิตเลยทีเดียว1 - 10 Hz เป็นความถี่ที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทร่างกายและสมอง
ดังนั้นสมองจะถูกบล็อก และถูกทำลาย ทำให้มึนๆงงๆ และอาจส่งผลต่อระบบอื่นๆของร่างกายด้วย43 - 73 Hz มีผลให้ขาดสติ การทำงานของสมองลดลง (IQ ลดลง 77%) หายใจไม่ปกติ มีปัญหาในการสื่อสาร50 - 100 Hz อึดอัด เกิดอาการอกสั่น ลำไส้และระบบขับถ่ายปั่นป่วน เกิดอาการคลื่นไส้ มึนงง
EEG สมอง ระดับต่าง ๆ
ทั้งหมดนี้ เรียกโดยรวมก็คือ เกิดจากคลื่นเสียง แต่หากจะกล่าวให้ลึกลงไปนั่นคือ พลังที่ผลักให้โมเลกุล ทั้งในอากาศ และ เซลล์ในร่างกายมนุษย์เปลี่ยนแปลง ถึงกับเป็นอันตรายถึงตายได้ และคลื่นเสียงยังสามารถสร้างความพินาศเช่น Sonic Boom หรือการใช้คลื่นเสียงสร้างแผ่นดินไหวเป็นต้น
"คลื่นเสียง" เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือ แม้จะส่องกล้องใด ๆ ก็ไม่เห็น แต่คลื่นของเสียงกลับมีพลังยิ่งยวด สามารถใช้เป็นอาวุธทำลายล้างภูเขาตึกรามบ้านช่องให้สลายไปในพริบตา นั่นคือ " คลื่นที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนแปลง ของอานุภาคแห่งโมเลกุล"
ซึ่งอันที่จริงแล้วโดยทางพระพุทธศาสนาปรากฏในพระอภิธรรมปิฏก ได้กำหนดให้เสียงเป็นวัตถุธาตุชนิดหนึ่ง ถ้ามาจากมนุษย์ คือ เสียงมนุษย์(คำพูด) จัดว่าเป็น "ปถวี(ธาตุดิน)" และด้วยเหตุดั่งนี้ จึงเป็นคำตอบในชั้นนี้ว่า เหตุใด ไฉนหนอจึงต้องมีการสวดมนต์ ปริกรรม สาธยายมนต์ ที่ต้องใช้เสียงประกอบพิธี ซึ่งมีมาแต่บรรพกาล ทุกลัทธิศาสนา มักมีคำกล่าวว่า สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ เช่นที่เรียกว่า "วาจาสิทธิ์" , "คำสาป" , "คำอธิษฐาน" เป็นต้น
ในทางพระพุทธศาสนา ได้เข้าถึงอำนาจพลังอันยิ่งยวดของ "คลื่นเสียง" มาเกือบ 3000 ปีแล้ว ดังจะเห็นได้ว่าพระพุทธองค์ถึงกับทรงบัญญัติเป็นพระวินัย(ข้อบังคับ) ให้พระภิกษุต้องใช้ "เสียง" ในการทำพิธีสงฆ์สำคัญ ๆ โดยเฉพาะที่เรียกว่า "สังฆกรรม" เช่น การบรรพชา อุปสมบท การเข้าพรรษา อธิษฐานอัฏฐบริขาร ฯลฯ ล้วนต้องใช้ "คลื่นเสียงพิเศษ" เรียกว่า "สัจจะวาจา" คือ เสียงภายนอกคือเสียงที่ดังจากปากซึ่งเรียกว่า "วาจา" ให้พร้อมกับเสียงที่ดังอยู่ภายในใจ(เหมือนกับการอ่านหนังสือในใจ) ทั้งสองเสียงนั้นต้องพร้อมกัน เรียกว่าการถึงพร้อมด้วย วจีสังขาร กับ มโนสังขาร ก็จะเกิดปฏิภาคเป็นคลื่นพลังพิเศษ เรียกว่า "อธิษฐาน" เช่นการอธิษฐานพรรษา หรือ การขออุปสมบท ที่เปลี่ยนสถานะและสภาวะบุคคลสามัญธรรมดา ให้เป็นพระภิกษุนั้น ในสมัยโบราณผู้ที่จะเข้าบวชเป็นพระเพื่อฝึกฝนส่วนนี้ อันชาวพุทธรู้จักกันดีในศัพท์ว่า "ฝึกขานนาค" นั่นเอง ซึ่งจะกล่าวถึงวิธีปฏิบัติรวมวาจาใจ ให้ถึงพร้อมเป็นหนึ่ง อย่างละเอียดเมื่อโอกาศอำนวย
สิ่งที่น่าสนใจ และติดตามพิสูจน์ทราบก็คือ พลังของ"คลื่นเสียง" นั้นสามารถ ควบคุม บังคับ กำหนดสร้าง RNA ขึ้นใหม่ และเปลี่ยนแปลง ชีวิต สรรพสิ่ง หรือ ธรรมชาติที่เป็นอยู่ได้จริง หรือไม่? เราจะได้พิสูจน์ทราบ ร่วมรับรู้กันใน ตอนต่อไปถึงความก้าวหน้าของพระพุทธศาสนา ว่าล้ำหน้ากว่าทางวิทยาการ Quantum Physic ขนาดไหน ในตอนต่อไป
ค้นคว้า ศึกษาข้อมูล Crack the RNA Code ตอนที่ 1 https://www.blockdit.com/articles/5d733e7b2de3e80cbec04267
Crack the RNA Code Part 6
โฆษณา