20 ก.ย. 2019 เวลา 11:12 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Crack the RNA Code :: Final Part
Kuru Rin Po Chae
เราได้ทราบถึงการการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ เรื่อง “คลื่นความถี่ของเสียง” เพื่อใช้ใน “ด้านทำลาย” มาแล้วเมื่อมีดีก็มีชั่ว เมื่อมีมืด ก็มีสว่าง เป็นเรื่องปกติธรรมชาติของมนุษยโลกจึงมีนักวิทยาศาสตร์-การแพทย์อีกพวกหนึ่งที่มองเห็นความสำคัญของคลื่นเสียง ที่สามารถใช้เป็นประโยชน์ของมนุษย์ได้ จึงพยามพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบของคลื่นเสียงให้เข้ากันได้กับการทำงานของสมอง เพราะจากการค้นคว้าทดลองพบว่าสมองของเรานั้นสามารถพัฒนาให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้นได้จริงๆจากการใช้คลื่นเสียง ซึ่งแต่เดิมอาจจะเข้าใจว่าการพัฒนาของสมองจะเกิดขึ้นโดยอิทธิพลมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม(DNA) แต่อย่างเดียว การทำงานของสมอง คือการรับส่งข้อมูลเป็นสัญญาณไฟฟ้าและการเคลื่อนไหวของพลังงานเหล่านี้ ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือที่เราเรียกกันว่าคลื่นสมอง (brainwave) ซึ่งเราสามารถตรวจดูคลื่นสมองโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า EEG หรือ Electroencephalogram โดยที่เครื่องมือชนิดนี้จะจับภาพสัญญาณไฟฟ้าบริเวณสมองแปรผลออกมาเป็นรูปแบบของคลื่นต่างๆ จะกล่าวถึงในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ก่อนซึ่งได้แบ่งคลื่นความถี่ของเสียงออกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ
Kuru Rin Po Chae
กลุ่มที่ 1 คือ คลื่นระดับ Beta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 14 - 30Hz)เป็นคลื่นที่เร็วที่สุด และยังเป็นส่วนของสมองที่ควบคุมจิตใต้สำนึกเกี่ยวข้องในเรื่องการใช้สมองเปิดรับข้อมูลพร้อมๆกับการใช้ระบบประสาทสัมผัสทุกด้าน เช่น การทำกิจกรรมต่างๆและรับผิดชอบเรื่องของความทรงจำระยะสั้น
กลุ่มที่ 2 คือ คลื่นระดับ Alpha Brainwave (ความถี่ระหว่าง 8 - 13.9 Hz ) เกิดขึ้นในขณะที่เรามีการพักผ่อน และมีความสงบ (relaxation) แต่ยังอยู่ในภาวะที่รู้สึกตัว สภาวะเช่นนี้จะทำให้รับข้อมูลได้ดีที่สุดสามารถเรียนรู้ได้ดีมาก ในปัจจุบันมักเรียกว่า Super Learning พูดได้เลยว่าคลื่นระดับนี้ทำให้เราเข้าถึงสิ่งที่สนใจ มีความสุขและผู้ใหญ่ที่มีจิตสมดุล รวมถึงผู้ที่นั่งสมาธิเป็นประจำยังมักพบในขณะร่างกายและจิตใจผ่อนคลายมากๆ เช่น สภาวะก่อนนอนหลับในทางการแพทย์ คลื่นระดับนี้เหมาะกับการสะกดจิตเพื่อบำบัดโรคถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการป้อนข้อมูลให้แก่จิตใต้สำนึกเพราะสมองสามารถเปิดรับข้อมูลได้อย่างเต็มที่และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมีความคิดสร้างสรรค์ เป็นสภาวะที่จิตมีประสิทธิภาพสูงเด็กที่ฉลาดเรียนรู้ไวรวมถึงคนเรียนเก่งก็จะมีคลื่นนี้เด่นมาก
2
ภาพการทดสอบวัดคลื่นสมอง พระ ในขณะทำสมาธิ
ภาพผลด้านซ้ายก่อนทำสมาธิ จะเห็นสัญญาน ไฟฟ้า=อารมณ์ภายนอกรบกวน
กลุ่มที่ 3 คือ คลื่นระดับ Theta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 4 - 7.9 Hz)เป็นความถี่ที่พบได้ในขณะที่มีการผ่อนคลายระดับลึกความคิดสร้างสรรค์เป็นคลื่นที่เราสามารถดึงข้อมูลจากจิตใต้สำนึกได้ (subconscious mind) เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโดยไม่รู้ตัวถือได้ว่าเป็นคลื่นในชนิดเดียวกันกับสมาธิระดับลึกสามารถเรียกความทรงจำระยะยาวได้ดี สภาวะนี้จะมีความสุข ลืมความทุกข์มีแต่ความปิติยินดี เป็นคลื่นสมองที่สะท้อนการทำงานของจิตใต้สำนึกมักพบในกลุ่มผู้ทรงศีลหรือผู้ถือกรรมฐานเป็นต้น
1
กลุ่มที่4 คือ คลื่นระดับเดลต้า Delta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 0.1 - 3.9 Hz)เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุดเกิดขึ้นในขณะนอนหลับสมองทำงานตามความจำเป็นเท่านั้นแต่กระบวนการของจิตใต้สำนึกจะจัดและเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องเป็นช่วงที่ร่างกายอยู่ในภาวะที่กำลังพักผ่อนอย่างเต็มที่หลับลึกโดยไม่มีความฝันจะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษเมื่อยามตื่นแล้ว
2
เปรียบเทียบคลื่นสมอง ขณะปกติ กับ ขณะปริกรรมภาวนา
เราจะเห็นว่า หากเราทำให้คลื่นสมองมีความถี่ต่ำๆเช่นคลื่นสมองที่อยู่ในระดับ Alpha Brainwave (ความถี่ระหว่าง 8 - 13.9 Hz) ซึ่งอย่างที่ทราบแล้วคลื่นนี้จะ เป็นคลื่นทำให้เป็นคนจิตใจสงบ เยือกเย็นสุขุม มีอารมณ์ดี เบิกบาน ความคิดสร้างสรรค์สูง มีสมาธิและความจำดีมีสติปัญญาฉลาด ไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ และมีพลังความคิดด้านบวกสูงมองโลกในแง่ดี โดยมากก็จะพบในกลุ่มของนักบวช พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติธรรมผู้ที่กำลังมีความสุข โดยเฉพาะผู้ที่กำลังสวดมนต์
วิธีปรับคลื่นสมองเพื่อให้มีความถี่ดังกล่าวนั้น สิ่งแรกเราต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ค่อนข้างเงียบสงบ ห่างจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ สายไฟฟ้าหม้อแปลง คอมพิวเตอร์เพราะจากงานวิจัยพบว่าสนามแม่เหล็กจากคลื่นรบกวนพวกนี้จะทำลายคลื่นสมองเช่นโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
1
คลื่นสมองเปลี่ยนแปลงไป ขณะทำสมาธิ และรับสัญญาณไฟฟ้าจากภายนอก
ในทางพระพุทธศาสนา ความเจริญก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์การแพทย์สาขาอายุรเวชวิทยา ก้าวหน้ากว่าปัจจุบันมาก นอกจากจะสามารถเข้าถึงความแก่นแกนความลับของเสียงแล้ว ยังสามารถควบคุมปรับระดับความถี่ของคลื่นเสียงที่ต่ำกว่า 0 (ศูนย์)คือระดับที่เครื่องมือใดๆก็ไม่อาจวัดระดับความถี่นั้นเพื่อควบคุมการทำงานของเซลล์ในร่างกายได้ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงธรรมชาติหรือเหตุการณ์ได้ตามประสงค์โดยผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ผลเชิงประจักษ์ได้ด้วย
พระพุทธองค์ได้ทรงถ่ายทอดวิทยาการนี้แก่พุทธบริษัทให้นำไปประพฤติ-ปฏิบัตินั่นเมื่อกว่า2562 ปีมาแล้ว และเป็นยุคก่อนที่โลกจะให้กำเนิดอคีมีดีสซะอีก
การใช้ "ความถี่ของคลื่นเสียง" ในพระพุทธศาสนาปรากฏอยู่ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ที่พระสารีบุตรอรหันตเถรเจ้าบันทึกไว้ซึ่งมีขั้นตอนหลายระดับ ซึ่งได้กล่าวไปแล้วว่า
จะแยกออกเป็น 2 หมวดใหญ่ๆ คือ ปริกรรม กับ ภาวนาในชั้นแรกจะกล่าวถึงหมวดแรกก่อน คือ
1. ปริกรรม(ปริกมฺม)มาจากคำว่าปริต หมายถึงสวด หรือ เสียง กรรมหมายถึง การกระทำ รวมความแปลว่า ทำให้เกิดเสียง(เป็นที่มาของคำว่าปาก คือ ปปลา มาจากคำว่า ปริต ใส่สระอา เป็น ปา ตัว ก ไก่ มาจากคำว่า กรรมรวมเป็นคำคือ ปาก แปลว่าอวัยวะอันทำให้เกิดเสียง)การทำสมาธิให้เกิดโดยอาศัยคลื่นความถี่เสียงนั้น ในทางปฏิบัติเรียกว่า "อัปปนาโกศล" (หมายความว่า วิธีเข้าถึงสมาธิอันแนบแน่นหนึ่งเดียว) จัดอยู่เป็นข้อแรก คือ "วจสา(อ่านว่า วะจะสา) คือใช้วาจา(คลื่นความถี่ของเสียง) เป็นตัวนำ ถามว่า นำไปไหน คำตอบคือ นำไปสู่ "เส้นทางของใจ" และให้อยู่บนเส้นทางแห่งใจ ตามคัมภีร์เรียกว่า "มโนทวารวิถี" ซึ่งในทางPhysic ก็คือการเข้าสู่กระบวนการปฏิภาค เปลี่ยนสถานะของคลื่นความถี่ของวาจาอันเป็นBio-Electromagnetic ให้เป็นคลื่นระดับความถี่ของใจซึ่งเป็นPlasma นั่นก็คือการเปลี่ยนให้เป็นปฏิสสาร
<div>ซึ่งระดับความถี่คลื่นเสียงของใจ ไม่อาจวัดด้วยเครื่องใด ๆ ได้แต่เราได้ยิน ยกตัวอย่างง่ายๆ เราร้องเพลงในใจ หรือสวดมนต์ในใจจะตะโกนในใจ ดังแค่ไหนก็ตาม ให้ใครเอาหูมาแนบอก ก็ไม่ได้ยินเอาเครื่องมาวัดก็ไม่มีสัญญาณ แต่เราได้ยินเสียง...หวังว่าคงเข้าใจตรงกันนะ</div>
2
ในทางปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" และในพระอภิธรรมปิฏกของพระพุทธศาสนา ได้กำหนดให้ "วาจา" หรือ คลื่นเสียงมีสภาวะเป็น "ปถวีธาตุ"(Mass) และ "ใจ" มีสภาวะเป็นคลื่นPlasma อันเป็นอานุภาค ซึ่งตรงกับทางQuantum Physic จะเห็นว่าทั้งสองคลื่นนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องปรับให้คลื่นทั้งสองมีสภาวะเป็นหนึ่งเดียวกันเสียก่อน เปรียบเสมือนการเปลี่ยนไฟกระแส DC ให้เป็น AC
เมื่อคลื่นของวาจา และคลื่นใจ สองสิ่งประจวบกัน จะเกิดการแปรเปลี่ยนสภาวะไปกลายเป็นคลื่นพลังงาน ทางอภิธรรมเรียกว่า "ปริกมฺมจิต" ซึ่งมีสภาวะอันยิ่งยวดสุดประมาณได้ สามารถนำไปใช้ได้อย่างไรขีดจำกัด โดยทั่วไปนับแต่บรรพกาล เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "อภินิหาร" หรือ "ฤทธิ์" ซึ่งเกิดขึ้นเป็นปกติ แต่เหนือธรรมชาติสำหรับคนทั่วไปจะสามารถทำได้
1
สภาวะแห่งการสัมปยุตกันของคลื่นวาจา+ใจ ก่อให้เกิดปริกมฺมจิต
พลังงานที่เกิดจากปฏิสสาร ซึ่งเรียกว่า "ปริกมฺมจิต" นี้สามารถนำไปใช้กำหนดให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ ชนิดเหนือธรรมชาติ เช่น การอธิษฐาน แปลงกาย สลายภูเขา ดำดิน เดินบนน้ำ เหาะไปในอากาศ เป็นต้น ดังที่เราได้อ่านพบในตำนาน หรือ จารจารึกในพระไตรปิฏก รวมทั้งคัมภีร์, ลัทธิของศาสนาต่างๆ นั้น ล้วนเกิดจากสภาวะนี้ ซึ่งจัดว่าเป็นผู้ที่บรรลุความสำเร็จขั้น "อุปจารสมาธิ" คือ สมาธิที่สามารถเสื่อมได้ ไม่คงทนถาวร แต่เป็นขั้นตอนที่ผู้ปฏิบัติต้องผ่านไม่มีข้อยกเว้น เหมือนกับชั้นมัธยม ก่อนที่จะขึ้นสู่ขั้นอุดมศึกษา
เมื่อผ่านขั้นตอนของการรวมวาจาใจ เป็นหนึ่งอันเรียกว่า "อุปจารสามาธิ" แล้ว จึงจะสามารถปรับระดับคลื่นเข้าสู่ความถี่ที่ลึกไปกว่านั้น เรียกว่า "อัปนาสมาธิ"
ซึ่งเป็นสมาธิอย่างแนบแน่น ที่สำคัญ "อัปนาสมาธิ" จะเกิดไม่ได้ถ้าไม่ผ่านการฝึกฝนจากอุปจารสมาธิ หรือ ฝึกไม่ถูกวิธี(นี่แหละที่เรียกว่าปฏิบัติชอบ=ปฏิบัติถูกทาง คือ ทางอื่นไม่มี ทำไม่ได้เพราะวิธีทำท่านกำหนดไว้ให้แล้วว่าต้องเป็นสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค)เท่านั้น เพราะความสำคัญของการเป็นหนึ่งเดียว ของวาจา และใจ อย่างแนบแน่น (เรียกว่าอัปนาวิถี) ย่อมก่อให้เกิด อัปปนาจิตในขณะนั้นทันที 67 ดวง
การส่งผ่าน-สื่อสารข้อมูลทางโมเลกุล
และตรงนี้แหละ ที่สัญญานคลื่นความถี่ใหม่ ที่ป้อนเข้าไปสู่RNA จะBypass ไม่เอาข้อมูล(รหัสพันธุกรรม)จาก DNA ทะลุผ่านไปเลย เรียกว่า "พ้นกรรม"ในทางปฏิบัติเรียกว่า "โลกุตรจิต) ซึ่งจะถูกบันทึกถาวรใน DNA ทับของเก่าไม่ว่ากรรมอะไร ก็ไม่ต้องรับอีก การบันทึกนี้ เรียกทางอภิธรรมว่า "อัปปนาชวนะ(อัปปนา=แนบแน่น ชว(อ่านว่า ชะวะ=บันทึก น(อ่านว่า นะ =ไม่แปรเปลี่ยน=ถาวร)ดังนั้นจึงเรียกว่า "หลุดพ้น" หรือพ้นจากโลก=โลกุตร
RNA ที่ถูกสร้างจากคลื่นวาจา+ใจ=ปริกมฺมจิต แทรกแทนที่DNAเดิม
และนี่คือ สภาวะแห่งการหยุดการแสดงผลของกรรม ซึ่งต้องอาศัย Time &amp; Space เป็นตัวแสดงผล เมื่อไม่มี เวลา และ สถานที่ กรรมก็ไม่อาจจะแสดงผลได้ ซึ่งเรียกตามภาษาปฏิบัติว่า "อกาลิโก" คือ อยู่เหนือกฏเกณฑ์แห่งกาลเวลา ทั้งปวง การไปมาระหว่างมิติ คือ อนาคต หรือ อดีต จึงเป็นเรื่องปกติ เพราะ "เวลา" ซึ่งเป็นเงื่อนไข ได้ถูกกำจัดสิ้นไปเพราะเป็นสภาพแห่งสมมุติ
ดังนั้น ในพระนิพพานจึง "ไม่มีเวลา" ไม่มีธาตุ(Mass) และนั่นคือความเป็นอมตะ ดังพระพุทธองค์ทรงตรัสเรียกว่า "อมตนิพพาน" นั้นเอง
1
ทั้งหมดที่กล่าวมา อาจจะเป็นเพียงข้อมูลอันเล็กน้อย เปรียบดังอณูที่ล่องลอยอยู่ในสกลอวกาศ อย่างปราศจากคุณค่า สำหรับ "คน" ยุคปัจจุบัน ซึ่งมันย่อมเป็นเช่นนั้น... แต่ที่บันทึกไว้เป็นหลักฐานนี้ ก็เพื่อให้รู้ว่า คำสอนพระพุทธศาสนานั้นไม่ใช่สิ่งงมงาย ล้าหลัง อย่างที่สังคมทั่วไปคิด
"......บนเส้นทาง "คนดี" มี "คน" เดินไปนับพันล้าน
แต่เส้นทางสู่นิพพานนั้น นับวันจะไร้ "มนุษย์" เดินทาง....."
ค้นคว้า ศึกษาข้อมูล Crack the RNA Code ตอนที่ 1 https://www.blockdit.com/articles/5d733e7b2de3e80cbec04267
โฆษณา