21 ก.ย. 2019 เวลา 02:52 • ธุรกิจ
🤷‍♂️ เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจทุกวันนี้?
ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หากไม่นับข่าวดารา หรืออาชญากรรม สิ่งที่ได้ยินมากที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ สภาวะเศรษฐกิจซบเซา
สงครามการค้าที่ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกผันผวน...การลงทุนชะลอตัว...หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงเพิ่มขึ้นจนใจหาย
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน
แต่หากเราตั้งรับไม่ทัน ก็อาจจะตกอยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไม่มีทางเลือก
จากกระแสแนวโน้มการปรับตัวลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางทั่วโลก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ผ่อนคลาย ชักจูงให้คนนำเงินออกมาจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนกันมากขึ้น
เกิดขึ้นทั้งในฝั่งเอเชีย ยุโรป ล่าสุดคือยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา เป็นเครื่องชี้วัดว่าเศรษฐกิจทั่วโลกในขณะนี้อยู่ในสภาวะขาลง...และมีแนวโน้มอย่างต่อเนื่อง
📉 แล้วจะเอาเงินไปไว้ตรงไหนดี...ในสภาวะนี้?
💁‍♂️ ทางเลือกที่หนึ่ง : เงินฝาก
cr. unsplash
ถ้าเป็นในอดีต ข้อนี้อาจจะเป็นหนึ่งในวิธีที่เพิ่มเงินออมแบบ traditional ที่หลายๆ คนรู้สึกอุ่นใจ ถึงเงินเพิ่มช้าหน่อย แต่มั่นใจได้
เชื่อไหมว่าราวๆ 30 ปีที่แล้ว...ดอกเบี้ยเงินฝากเคยสูงถึงสิบกว่าเปอร์เซ็นต์!
ภาพตัดมายังปัจจุบัน...แบงค์ชาติได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือเพียง 1.50% ไม่ต้องถามก็รู้ว่ากระทบแค่ไหน กับคนที่อาศัยการเพิ่มพูนเงินออมด้วยการฝากแบงค์
เราลองมาดูทางเลือกอื่นเพิ่มเติมกันไหมครับ...
💁‍♂️ ทางเลือกที่สอง : ลงทุนในตราสารหนี้
cr. pixabay
ตราสารหนี้ อย่างพันธบัตรรัฐบาล ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ แต่จากการที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลง อันเป็นผลสืบเนื่องจากการปรับตัวลดดอกเบี้ยนโยบายนั้น ส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้เช่นกัน
สรุปง่ายๆ คือ ผู้ถือตราสารหนี้เดิมได้ประโยชน์ไป จากราคาตราสารหนี้ที่ปรับเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ตราสารหนี้ที่ออกใหม่ให้ผลตอบแทน (bond yield) ที่ลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจจนแทบจะไม่ต่างจากเงินฝาก
ย้อนเวลากลับไปก็คงไม่ทัน...
หรือจะหนีไปลงทุนอย่างอื่นดี?
มาดูทางเลือกถัดไปละกันครับ
💁‍♂️ ทางเลือกที่สาม : ลงทุนในตลาดหุ้น หรือกองทุนรวมหุ้น
cr.pixabay
หลายๆ คนที่หนีมาเล่นหุ้นอาจจะพบว่านี่แหละคือหนทางในการสร้างผลกำไรชั้นยอด!
แต่แนวโน้มในระยะยาวอาจไม่เป็นดั่งฝัน...แม้ว่าในช่วงแรกราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นจากการไหลมาของเงินลงทุน
แต่ในระยะยาวผลของการลดอัตราดอกเบี้ยนี้ย่อมกระทบกับตลาดหุ้นแน่นอน เพราะธุรกิจที่อยู่ในตลาดหุ้น ต่างก็โดนพิษสงจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง
คิดภาพแล้วก็เป็นโดมิโน่ดีๆ นี่เอง
🤷‍♂️ แล้วทางเลือกแบบไหนที่เหมาะกับสภาวะเช่นนี้?
พูดอีกอย่างก็คือ...
ให้ประโยชน์มากสุด
โดยมีแนวโน้มเจ็บตัวน้อยสุด
ลองมองแบบนี้ครับ ว่าสิ่งที่อยากได้คืออะไร
พี่บีให้ checklist 3 ข้อ...
cr. unsplash
1. ปลอดภัย เงินต้นไม่หาย
2. การันตีผลตอบแทนได้แน่นอน
ไม่ต้องมานั่งลุ้น ว่าปลายทางจะบวกหรือลบ
3. ไม่ต้องสนแนวโน้มดอกเบี้ย เพราะไม่กระทบใดๆ
💁‍♂️ ทางเลือกที่สี่นี้...ไม่ใช่อื่นไกล
"ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์" นั่นเอง
cr. pixabay
นึกดูแล้วก็ช่างน่าน้อยใจแทนเจ้าแบบประกันทั้งหลาย 😢 ในวันที่เศรษฐกิจยังดี ก็ไม่ค่อยมีใครคิดถึงเพราะอาจจะดูไม่ค่อยเร้าใจ ยกเว้นช่วงปลายปีที่อยากลดหย่อนภาษี
แต่นาทีนี้พี่บีบอกเลยว่า อย่ามองข้าม...
หาก checklist 3 ข้อบนยังไม่พอ
พี่บีเพิ่มให้อีก 3 ข้อ
ขอนับต่อเลยละกันครับ
4. ผลประโยชน์เงินคืนของประกันชีวิตไม่เสียภาษี! ย้ำอีกทีว่าไม่เสียภาษี 15% เหมือนตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ มีเงินคืนมาเท่าไรก็เก็บไปได้เท่านั้น ได้แบบเต็มๆ
5. ลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุด 100,000 บาท
6. ปกป้องความเสี่ยง...ทั้งจากชีวิต และสภาวะดอกเบี้ยขาลง
หลายๆ คนอาจจะนึกสงสัย
ไหนว่าอัตราดอกเบี้ยลดแล้วผลกระทบเป็นโดมิโน่ ไฉนบริษัทประกันไม่กระทบเล่า?
แน่นอนว่า กระทบสิครับ! 😂
ผลที่ตามมาและเริ่มเห็นได้ชัดขึ้นคือการที่แต่ละบริษัทเริ่มปรับตัว ลดการขายสินค้าประเภทสะสมทรัพย์ที่การันตีผลตอบแทนลง หรือยกเลิกการขาย
โดยในอนาคตจะเน้นไปที่ประกันชีวิตควบการลงทุนแบบ Unit linked มากขึ้น ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับไม่การันตีเป็นตัวเลขที่แน่นอน โดยขึ้นอยู่กับผลการลงทุน ซึ่งในสภาวะที่ตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น...ก็จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงขึ้นตามด้วยเช่นกัน
ซึ่งแนวโน้มนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่...
cr. unsplash
หากหันไปมองบริษัทประกันชีวิตในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว มักจะเป็นการขายสินค้าประเภทนี้ มากกว่าแบบสะสมทรัพย์ที่การันตีผลตอบแทน
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเข้าใจเกี่ยวกับการทำประกัน ซึ่งส่วนใหญ่มีกรมธรรม์เฉลี่ยคนละ 1 - 3 เล่ม ในขณะที่ไทยเราเองมีเพียง 0.37 เล่ม (ราวๆ 1 ใน 3 คน) โดยแรงจูงใจอย่างหนึ่งคือผลตอบแทน ที่ผ่านมาจึงเห็นการแข่งขันในกลุ่มของประกันสะสมทรัพย์ที่เน้นการให้ผลตอบแทนสูงๆ นั่นเอง
🤷‍♂️ มีเส้นตายไหม?
พี่บีเคยเขียนถึงประเด็นนี้ ในบทความก่อนๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจจะมาถึงตัวเราเร็วกว่าที่คิด
หลายๆ บริษัทก็มีการขีดเส้นตายของวันที่จะหยุดจำหน่ายสินค้าเดิม หรือจำกัดโควต้าการขาย หรือเตรียมปรับผลตอบแทนตามสภาวะตลาด
ดังนั้นหากใครที่กำลังมองหาแนวทางการสร้างผลตอบแทนที่การันตี ล็อกอัตราผลตอบแทนเดิมไว้ก่อนยาวๆ ผ่านแบบประกันสะสมทรัพย์
📍ควรรีบตัดสินใจ ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ครับ
💁‍♂️ หากสนใจประกันสะสมทรัพย์ออนไลน์ของกรุงเทพประกันชีวิต สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่
หรือกดปุ่ม 'เรียนรู้เพิ่มเติม' ด้านล่างบทความนี้ครับ
สุดท้ายนี้...ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง พี่บีแนะนำให้เพื่อนๆ ศึกษาสินค้า สภาวะตัวเอง และสภาวะตลาดก่อนลงทุน เลือกแนวทางที่เหมาะกับตัวเองมากกว่าการตามกระแส หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้ จะช่วยเพิ่มโอกาส และไม่เจ็บตัวโดยไม่จำเป็นครับ 💙
โฆษณา