21 ก.ย. 2019 เวลา 07:39 • ไลฟ์สไตล์
"จูหยวนจางจากขอทานสู่จักรพรรดิ" -"จากเมืองต้าตูสู่มหานครปักกิ่ง"- "ปักกิ่งที่ผมเห็นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว"
"ปักกิ่ง (Beijing) ประเทศจีน" ในมุมมองของ wornstory
หอฟ้าปักกิ่ง เตี่ยบ่อกี้ (วอน) ตอนกินซันจา และกระบี่อิงฟ้าดาบฆ่ามังกร
ณ เขาบูตึ๊ง (Wutang Shan) 6 สำนักใหญ่แห่งยุทธภพได้มารวมตัวกัน โดยมีเส้าหลิน ง๊อไบ๊ คุนลุ้น คงท้ง และหัวซาน ซึ่งมารวมตัวกันที่สำนักบู๊ตึ๊ง..
"ดาบฆ่ามังกรบัญชาทั่วหล้า กระบี่อิงฟ้าใครกล้าต่อลอง" และนี่ก็คือสาเหตุให้บรรดาเหล่าสำนักใหญ่อื่นๆมารวมตัวกันที่นี่..
1
เขาบู๊ตึ้ง
เมื่อทุกสำนักทราบข่าวว่าเตียซุ่ยซัวซึ่งเป็นศิษย์คนที่ 6 ของปรมาจารย์เตียซัมฮง (จางซานฟง) แห่งบู๊ตึ๊งกลับมาสำนักบู๊ตึ๊งอีกครั้งหลังจากหายตัวไปพร้อมกับราชสีห์ขนทองจอมยุทธที่เป็น 1 ใน 4 ผู้คุ้มกฎของพรรคเม้งก่าเมื่อหลายปีก่อน
และราชสีห์ขนทองผู้นี้เองที่ได้ครอบครองดาบฆ่ามังกรซึ่งก็เป็นสาเหตุให้บรรดาเหล่าสำนักใหญ่ทุกสำนักมากันที่นี่เพราะต้องการรู้ที่อยู่ของราชสีห์ขนทองเพื่อต้องการแย่งชิงและครอบครองดาบฆ่ามังกร...เพื่อหวังจะได้เป็นหนึ่งในใต้หล้า..
สุดท้ายเตียซุ่ยซัวและภรรยาคือซู่ซู่ซึ่งเป็นลูกสาวของอินทรีคิ้วขาวที่เป็นหนึ่งในสี่ผู้คุ้มกฎของพรรคเม้งก่าอีกคน ก็ได้ฆ่าตัวตายเพราะไม่ยอมบอกที่อยู่ของราชสีห์ขนทองที่ได้นับถือกันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกว่าสิบปีมาเเล้ว
สี่ผู้คุ้มกฎพรรคเม้งก่า มังกรแพรม่วง (เเม่เฒ่ากิมฮวย) อินทรีคิ้วขาว ราชสีห์ขนทอง และค้างคาวปีกเขียว ภาพจาก ซีรีย์ดาบมังกรหยก 2019
และทิ้งไว้เหลือเพียงลูกชายที่กลายเป็นกำพร้าให้อยู่เพียงลำพังซึ่งนั่นก็คือ "เตียบ่อกี้"
จางซานฟง บู๊ตึ๊ง และ เตียบ่อกี้ จาก wikipedia
เตียบ่อกี้เติบโตขึ้นมาแบบผจญมากมายและได้กลายเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งของยุทธภพและสุดท้ายได้กลายเป็นเจ้าสำนักเม้งก่า ซึ่งชาวยุทธชอบกล่าวหาว่าเป็นพรรคมารแต่จริงๆแล้วพรรคเม้งก่าก็มีอุดมการณ์ในการต่อต้านชาวมองโกลซึ่งตอนนั้นชาวมองโกลได้ปกครองแผ่นดินจีนฮั่นอยู่นั่นเอง
ครั้นเมื่อเตียบ่อกี้เป็นเจ้าสำนักเม้งก่านั้น ในสำนักเม้งก่าก็ได้มีจอมยุทธหน้าใหม่ที่ชื่อ "จูหยวนจาง" เข้ามามีบทบาท และสุดท้ายจูหยวนจางก็ได้เป็นหัวหน้าพรรคเม้งก่าและได้ต่อต้านและขับไล่มองโกลจนสำเร็จ โดยที่จูหยวนจางนั้นได้มีตัวช่วยอีกอย่างก็คือตำราพิชัยสงครามซึ่งถูกซ่อนไว้ในดาบฆ่ามังกรนั่นเอง
กบฎโพกผ้าแดง และ นิกายบัวขาว Hongwu emperor (จูหยวนจาง) แผ่นดินต้าหมิง จาก wikipedia
และที่เล่ามานั้นคือนิยายจากเรื่อง "ดาบมังกรหยก" ของยอดนักประพันธ์อย่างกิมย้ง แต่ด้วยแนวทางการแต่งนิยายของกิมย้งซึ่งมักเอาประวัติศาสตร์จริงมาเป็นแนวเรื่องนั้น
จูหยวนจางในเรื่องดาบมังกรหยกนั้นมีตัวจริงครับและเขานี่แหละก็คือปฐมกษัตริย์ราชวงศ์หมิงที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง
จูหยวนจางเป็นลูกชาวนาและเคยบวชเป็นเณร แต่ในช่วงหนึ่งของชีวิตเขาต้องใช้ชีวิตแบบขอทานที่แสนลำบากแถวอานฮุยในปัจจุบัน จนกระทั่งเขาได้เข้าร่วมกลุ่มกบฎโพกผ้าเเดงซึ่งเป็นกลุ่มชาวจีนฮั่นที่ต่อต้านมองโกล
และกลุ่มกบฎนี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักบัวขาวซึ่งเป็นสำนักทางศาสนาที่เอาพุทธกับลัทธิมณีของเปอร์เซีย (สาขาหนึ่งของศาสนาโซโรเอสเตรียน (Zoroestrian) หรือ ลัทธิบูชาไฟ) มาผสมกัน
หน้าวัด โซโรเอเตรียน ในเมืองYazd ประเทศอิหร่าน
โดยสำนักบัวขาวจะมีความเชื่อเรื่องพระศรีอริยเมตไตรยหรือหมิงหวาง และนั่นก็คือที่มาของชื่อราชวงศ์และน่าจะป็นที่มาของชื่อพรรคเม่งก่า หรือ หมิงเจี้ยวในภาษาจีนกลางด้วยนั่นเอง
ในยุคมองโกลปกครองจีนนี้เมือง "ต้าตู" ได้ถูกตั้งให้เป็นเมืองหลวงในสมัยกุบไลข่าน และต้าตูนี่เองก็คือ"ปักกิ่ง" ในปัจจุบันครับ
กุบไลข่าน ต้าตูสมัยมองโกล Battle of Zhongdu จสก wikipedia
ต้าตูจริงๆ แล้วเป็นเมืองโบราณมาร่วมสองพันกว่าปีมาแล้ว แต่ได้มาเป็นเมืองหลวงจริงๆก็คือสมัยอาณาจักรกิม (Jin) และได้ชื่อว่า Zhongdu ในปี 1122
และเมื่อมองโกลตีเมือง Zhondu ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรกิมแตก (Battle of Zhongdu) เมืองนี้ก็ได้กลายเป็นเมืองหลวงของมองโกลในเวลาต่อมาคือสมัยราชวงศ์หยวนและถูกเรียกว่า "ต้าตู (Dadu)" นั่นเอง
จักรพรรดิหย่งเล่อ จาก goodgle และ วังต้องห้าม จาก wornstory
เมื่อจูหยวนจางขับไล่มองโกลจากเเผ่นดินจีนฮั่นสำเร็จก็ได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์และถูกเรียกว่า จักรพรรดิหงอู่ (Hongwu Emperor) นั่นเอง แต่เมืองหลวงยังอยู่ที่เมืองนานกิง (Nanjing) ในปัจจุบัน จนกระทั่งกษัตรย์องค์ที่สี่ซึ่งก็คือหย่งเล่อ ( Yongle Emperor) ได้ยึดอำนาจจากหลาน (จักรพรรดิองค์ที่ 3) สำเร็จก็เปลี่ยนเมืองหลวงไปอยู่ที่ต้าตูหรือเรียกว่าเป่ยผิง ( Beiping) ซึ่งแปลว่า "เมืองสันติภาพแดนเหนือ" ในตอนนั้น
จักรพรรดิหย่งเล่อก็เลยเปลี่ยนชื่อจาก "เป่ยผิง"เป็น "ปักกิ่ง (Beijing)" ซึ่งแปลว่า "เมืองหลวงแดนเหนือ" นั่นเอง ..
และจักรพรรดิหย่งเล่อนี่เองที่สร้างปักกิ่งใหม่ขึ้นมา บูรณะกำแพงเมืองสมัยกิมและมองโกล วัดวาอาราม วัง รวมถึงกำแพงเมืองจีนส่วนต่อขยายทางเหนือของปักกิ่ง และที่สำคัญคือสร้าง "วังต้องห้าม (Forbidden City)" ด้วยนั่นเอง
1
ปักกิ่งปี 2000
และปักกิ่งนี่เองก็เป็นเมืองที่ผมผูกพันมากพอสมควรครับเนื่องจากผมได้มีโอกาสไปอยู่และทำงานที่ปักกิ่งเป็นเวลาร่วมสองปีเลยครับ
ปักกิ่งเปลี่ยนไปมากกกกก จากวันนั้นถึงวันนี้ตอนนั้นที่ผมไปอยู่ที่ปักกิ่ง ปักกิ่งเป็นเมืองใหญ่ที่ล้าสมัยระดับหนึ่งเลยครับ
ผู้คนไร้มารยาท ขากถุยน้ำลายบนพื้นถนน โวยวาย ไม่มีกฎระเบียบ ไม่มีคิว สูบบุหรี่ไปทั่ว จักรยานเป็นล้านคัน และขับรถบีบแตรตลอดแถมพอไฟแดงก็ไม่หยุด นอกจากนั้นทั้งเมือง...."เดินไปไหนมาไหนในซอยถ้าไม่ได้เหยียบน้ำลายหรือขี้หมาแสดงว่ามายังไม่ถึงปักกิ่ง"🤣🤣🤣😔
จะขึ้นรถไฟ หรือรถเมล์ไปไหนพอรถจอดท่า...เตรียมเลยครับมันจะเหมือนเข้าสภาวะหนีสงครามที่ต้องแย่ง เบียดและผลักกันเพื่อให้ได้ขึ้นรถก่อน....สุดๆเลยครับปักกิ่ง...😮😮😮
ปักกิ่ง
แต่จริงๆๆ แล้วผู้คนมีน้ำใจมากๆๆ ในสมัยนั้น ผู้คนจะช่วยเหลือและเป็นมิตรมาก ถ้าเรามองข้ามเรื่องแย่ๆไปได้นั้น การได้อยู่ที่ปักกิ่งเมื่อ 20 ปีที่แล้วมันได้เห็นความงดงามของคนและความใสๆ ของคนจีนในปักกิ่งมากกว่าตอนนี้มากเลยทีเดียว
ปักกิ่ง 2000
เพื่อนร่วมงานสมัยนั้นก็น่ารักมาก พวกเขากลัวผมเหงาเพราะเป็นคนต่างชาติคนเดียวในบริษัท ดังนั้นพวกพนักงานจะคอยถามไถ่ ช่วยเหลือและชวนผมไปเที่ยวแก้เหงาตลอดเวลา
ประทับใจมากเลยครับ
ที่บริษัท ตุ๊กตาหิมะตัวเเรก วังฤดูร้อน กำแพงเมืองจีน
ปัจจุบันคนที่ปักกิ่งมีมารยาทมากขึ้น เมืองกลายเป็นเมืองที่ทันสมัยมากเมืองหนึ่งของโลก
แต่สิ่งที่หายไปก็คือน้ำใจของผู้คน .... ผมได้ไปปักกิ่งเมื่อปีที่เเล้วคนเปลี่ยนไปมากเลยครับ คนภายนอกดูทันสมัยในแบบคนจีนรุ่นใหม่และสุภาพมากขึ้น
แต่ว่าภายในกลับคอยเอาเปรียบและไม่ช่วยเหลือหรือเป็นมิตรแบบสมัยก่อน....น่าเสียดายมาก...
ปักกิ่งในปัจจุบัน
ปักกิ่งที่ผมเห็นได้เปลี่ยนไปแล้ว.....
ผมเพียงได้แค่หวังว่ากรุงเทพที่ผมเห็นคงไม่เปลี่ยนไปในเรื่องมิตรภาพเหมือนที่ปักกิ่งนะครับ...
#wornstory
โฆษณา