“ทฤษฏีหนูวิ่งแข่ง” วงเวียนชีวิตของคนที่อยากประสบความสำเร็จในอนาคต
อนาคตของคุณจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่าง หนังสือที่คุณอ่าน เพื่อนที่คุณคบ และสังคมที่คุณอยู่ แล้วสิ่งที่คุณอยากเป็นในอนาคตนั้นคืออะไร คุณกำหนดไว้แล้วหรือยัง?
2
ในบทความนี้ฉันอยากเขียนเรื่อง “ทฤษฏีหนูวิ่งแข่ง” วงเวียนชีวิตของคนที่อยากประสบความสำเร็จในอนาคต เพราะมีโอกาสได้พูดคุยกับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่ทำงานเป็นวิศวกรอยู่ กฟผ. ในขณะที่กำลังพักจากการตีแบตฯ กัน ฉันถามน้องว่าหยุดสงกรานต์กี่วันแล้วเราจะได้กลับมาเจอกันเพื่อตีแบต ฯ อีกวันไหน น้องบอกว่าคงหลังวันที่17 เม.ย.ไปแล้วถึงจะได้กลับมาเล่นแบต ฯ ด้วยกันใหม่ แล้วก็บ่นต่อไปอีกว่าเบื่อจังงานยุ่งมาก กว่าจะทำเรื่องลาหยุดต่อได้อีกก็ยุ่งยาก และบลา ๆๆๆ ผมอิจฉาพี่จังเป็นเจ้าของธุรกิจเองไม่ต้องมีหัวหน้าที่ไหน อยากไปไหนก็ได้ไปไม่ต้องทำเรื่องลาให้ยุ่งยาก ฉันให้คำตอบและกำลังใจน้องด้วยรอยยิ้มแต่ในใจกลับคิดไปถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยอ่าน
ถ้ามองในมุมของคนทั่วไป สำหรับน้องคนนี้แล้วเขาคงเป็นคนหนุ่มที่หลาย ๆคนอิจฉา เพราะเขาเป็นคนหน้าตาบุคลิกดี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังคณะวิศวกรรมฯ ไฟฟ้า ได้ทำงานที่มั่นคงมีเงินเดือนหลายหมื่นและมีรถยนต์ส่วนตัวขับ ในเมื่อน้องเขามีความเพียบพร้อมขนาดนี้แล้วแต่ทำไมถึงเหมือนคน “ไม่มีความสุข” เอาซะเลย
1
ฉันอ่านเจอเรื่องหนูวิ่งแข่งในหนังสือ “วิชาความสุขที่มีสอนแค่ในฮาร์วาร์ด” ของ Tal Ben-Shahar,Ph.D. แปลโดย คุณพรเลิศ อิฐฐ์ ในหนังสือยกตัวอย่างตัวละครชื่อว่า ไทมอน บทบาทการเป็นหนูวิ่งแข่งของไทมอนเริ่มต้นเมื่อตอนเขาอายุได้ 6 ขวบ และเริ่มเข้าเรียนในชั้นอนุบาล
ไทมอนถูกพ่อแม่และครูย้ำเตือนและสอนเขาเสมอว่า จุดมุ่งหมายของการไปเรียนคือต้องเรียนให้ได้เกรดดี ๆ เพื่อจะได้มีอนาคตที่มั่นคง มันจึงทำให้ไทมอนรู้สึกกังวลและเครียด แต่ไทมอนก็ยอมรับเอาค่านิยมที่พวกผู้ใหญ่ปลูกฝังไว้ นั่นคือมองว่าเกรดเป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จ ถึงแม้เขาจะไม่ชอบไปโรงเรียนแต่เขาก็ยังคงเรียนหนักต่อไป และเขาทำคะแนนได้ดีทำให้พ่อแม่และครูเอ่ยปากชมแต่ก็เป็นที่อิจฉาของเพื่อนๆ ไทมอนเชื่อมั่นในสูตรของความสำเร็จว่าให้สละความสุขในปัจจุบันเพื่อดื่มด่ำกับความสุขในอนาคต ถ้าไม่มีความยากลำบากก็ไม่มีความสำเร็จ ไทมอนต้องอดทนกับความกดดันที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักแต่เขาคิดว่าถ้าสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้เขาก็คงจะเริ่มมีความสุข
ไทมอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่ต้องการได้ เขาจึงบอกตัวเองว่าในที่สุดเขาก็จะมีความสุขเสียที แต่เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกวิตกกังวลก็เข้ามาเกาะกินจิตใจเขาอีกครั้ง เขากลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถแข่งขันกับบรรดานักศึกษาระดับหัวกะทิในมหาวิทยาลัยได้ เขาจึงพยายามทำกิจกรรมต่าง ๆเช่น การเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย การเป็นอาสาสมัครไปสร้างบ้านให้กับคนยากไร้ เขาทำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้ประวัติของตัวเองดูน่าประทับใจ และใบแสดงผลการเรียนของเขาดูดี
ในภาคเรียนสุดท้ายก่อนจบการศึกษาไทมอนได้รับข้อเสนอให้เข้าทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เขาตอบรับด้วยความยินดี มาถึงตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองคงมีความสุขในชีวิตได้เสียที แต่เมื่อทำงานไปได้สักระยะเขาก็พบว่าตัวเองไม่มีความสุขกับการทำงานแปดสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์เอาเสียเลย เขาจึงบอกตัวเองอีกครั้งว่า เขาคงต้องยอมสละเวลาช่วงหนึ่งจนกว่าจะสามารถลงหลักปักฐานได้และมีหน้าที่การงานที่มั่นคง เขาได้รับเงินโบนัสก้อนโต ได้เลื่อนตำแหน่ง และได้รับการเสนอให้เป็นหุ้นส่วนขององค์กรนี้ สิ่งเหล่านี้แม้จะทำให้เขามีความสุขอยู่บ้างแต่ในท้ายที่สุดเขาก็ต้องกลับไปทำงานที่น่าเบื่อและแสนจำเจเหมือนเดิม
ไทมอนเป็นนักศึกษาระดับหัวกะทิในมหาวิทยาลัย เป็นหุ้นส่วนบริษัทที่มีชื่อเสียง มีเงินเดือนและรายได้มหาศาล มีบ้านหลังใหญ่และรถสุดหรูขับ แต่ไทมอนกลับไม่มีความสุข แม้เขาจะได้รับการนับหน้าถือตาและเป็นต้นแบบของความสำเร็จ
จริง ๆ แล้วการประสบความสำเร็จในชีวิตคือสิ่งเดียวกับการมีชีวิตที่ทุกข์ทรมานอย่างนั้นหรือ?
หลายท่านที่ติดตามบทความของฉันมาสักระยะหนึ่งคงจะได้รู้กันแล้วว่าก่อนหน้าที่จะทำธุรกิจส่วนตัวฉันเคยเป็นพนักงานธนาคารมาก่อน ในตอนนั้นฉันไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังสวมบทบาทเป็นหนูวิ่งแข่ง ฉันอยากทำงานในตำแหน่งนี้มาก ฉันจึงวางแผนให้ตัวเองเรียนต่อและใช้ความพยายามแข่งขันในการสอบและสัมภาษณ์งานจนได้ทำงานตามที่ฝันไว้ ในแต่ละเดือนฉันต้องรับเป้าการทำงานแล้วก็ไปคิดวิธีการและลงมือปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและถ้าคุณทำภารกิจไม่สำเร็จคุณต้องมีรายงานชี้แจงเหตุผลให้หัวหน้าทราบ ในช่วงปีสองปีแรกก็สนุกอยู่หรอกมันตื่นเต้นไปกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพื่อนร่วมงานใหม่ สังคมใหม่ เดือนไหนที่ทำผลงานได้บรรลุเป้าหมายก็ดีใจเพราะนั่นหมายถึงรายรับในบัญชีจะมากขึ้นและยังมีความสุขกับเงินโบนัสก้อนโตในแต่ละปีอีก ถ้าผลงานดีสม่ำเสมอยังได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศฟรีอีกต่างหาก ก็แล้วไงล่ะ! พอย่างเข้าปีที่สี่ฉันก็เริ่มเบื่อวงเวียนชีวิตแบบเดิม ๆ งานเดิม ๆ ปัญหาซ้ำซากเดิม ๆแสนน่าเบื่อ ฉันไปทำงานแบบซังกะตาย ขาดความมุ่งมั่นและจิตวิญญาณของพนักงานที่ดี สุดท้ายแล้วฉันจึงตัดสินใจเดินหน้าลาออกมาทำธุรกิจเพื่อมองหาความท้าทายใหม่ ๆ ตอนนั้นมีแต่คนหาว่าฉันบ้าที่กล้าย้ายฝั่งออกมาจากคอมฟอร์ทโซน
1
สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองกำลังเป็นหนูวิ่งแข่งอยู่ในสนาม ถ้าคุณไม่มีความสุขหรือกำลังเบื่อกับวงจรชีวิตแบบเดิม ๆ ฉันมีคำแนะนำให้กับคุณว่า คุณต้องเลิกมองที่เป้าหมายหรือผลลัพธ์เพราะมันทำให้คุณรู้สึกกดดันและวิตกกังวล แล้วเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับปัจจุบันขณะในระหว่างทางเดินที่คุณกำลังเดินเพื่อไปถึงเป้าหมายจะดีกว่า เพราะความสุขจริง ๆแล้วไม่ใช่การปีนขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดของภูเขา และไม่ใช่การปีนป่ายไปรอบ ๆภูเขาอย่างสะเปะสะปะไร้จุดหมาย แต่ความสุข คือประสบการณ์ที่คุณจะได้รับจากการปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ต่างหาก
2
ติดตามบทความของเราทั้งหมดได้ที่
ถ้าชอบบทความของเรา ฝากกดไลค์ กดแชร์และแบ่งปันด้วยนะคะ
โฆษณา