25 ก.ย. 2019 เวลา 11:00 • กีฬา
"ผู้ฝากรอยแผลให้ลิเวอร์พูล"
สำหรับ เดอ ค็อป บางคนที่เกิดทันดูบอลตั้งแต่ช่วงปลายยุค 80s นอกเหนือจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นอริตลอดกาลแล้ว พวกเขาบางคนยังนับอาร์เซน่อลเป็นหนึ่งในศัตรูที่ไม่อยากญาติดีด้วย
อีกฝ่ายมักทำลายอีกฝ่ายให้ย่อยยับไปในเกมสำคัญๆ บ่อยหน และเมื่อมันเป็น อาร์เซน่อล-ลิเวอร์พูล ชื่อที่ลอยเข้ามาในหัวของแฟนบอลเป็นชื่อแรกก็ย่อมจะเป็น ไมเคิ่ล โธมัส กับเหตุการณ์ในวันสุดท้ายของซีซั่น 1988/89
รูปด้านบนคือสตั๊ดคู่ประวัติศาสตร์ที่ ไมเคิ่ล โธมัส ใส่ในวันนั้น มันถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ของอาร์เซน่อล ข้างๆ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
ไมเคิ่ล โธมัส เกิดที่ลอนดอน โตลอนดอน และเซ็นสัญญาเป็นนักเตะทีมเยาวชนของอาร์เซน่อลตั้งแต่อายุ 15 เมื่อปี 1982 ก่อนที่ในอีก 2 ปีถัดมาจะได้เซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรก หลังครบ 17 ปี
โธมัส เล่นให้ทีมชุดใหญ่ของทัพปืนโตเป็นเกมแรก ก็เป็นงานช้างเลย นั่นคือดวลกับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ คู่อริตัวฉกาจในลีก คัพ รอบรองฯ นัดแรก เมื่อกุมภาพันธ์ 1987 แถมแพ้ไป 0-1 ทว่าบั้นปลาย อาร์เซน่อล เอาคืนในเลกสองก่อนทะลุไปถึงแชมป์
เรื่องที่ย้อนแย้งและทุกคนรู้ดีก็คือ เขาย้ายไปลิเวอร์พูล ในช่วงเดือนธันวาคมปี 1991 หลังเพิ่งได้แชมป์ ดิวิชั่น 1 (เดิม) สมัยที่ 2 กับอาร์เซน่อลได้ไม่กี่เดือน เนื่องจากไม่ลงรอยกับกุนซือ จอร์จ เกรแฮม โดยหงส์แดงยุคนั้นมี แกรม ซูเนสส์ คุมทัพ
บังเอิญเหลือเชื่อ เกมแรกของเขากับ ลิเวอร์พูล ก็ยังเป็นการเจอกับ สเปอร์ส อีกครั้งแต่คราวนี้ ทีมชนะ 2-1 โดยเขาเป็นสำรองลงมาแทน แยน โมลบี้
ฤดูกาลแรกของเขากับลิเวอร์พูล จบลงสวยงาม เมื่อคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองได้ทันที ในนัดชิงชนะเลิศ ไมเคิ่ล โธมัส ยังเป็นคนพังประตูแรกของทีมได้อีก ก่อน เอียน รัช จะมาฝังเป็น 2-0 ในชัยชนะเหนือ ซันเดอร์แลนด์ ที่เวมบลี่ย์
โธมัส ได้แชมป์กับหงส์แดงอีก 1 รายการคือ ลีก คัพ ในปี 1994/95 แต่ไม่สามารถพลิกเกมให้ทีมได้ในการแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในนัดชิงเอฟเอ ปี 1995/96 ด้วยลูกถอยหลังยิงอันลือลั่นของ เอริค คันโตน่า
ปลายอาชีพ โธมัส ย้ายไปเล่นกับ เบนฟิก้า ในปี 1998 เพราะ ซูเนสส์ ย้ายไปคุมทีมนั่น แต่เมื่อ ซูอี้ โดนปลด จุ๊ปป์ ไฮน์เกส เข้ามาแทน เขาก็เป็นแค่สำรอง เขาอยู่ในลิสบอนได้ปีเดียวก็กลับมาเล่นให้ วิมเบิลดัน ก่อนแขวนเกือกในปี 2001 ด้วยวัย 34 ปี
ต้องมาย้อนเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเป็นที่จดจำกันมากที่สุดนั่นคือเกมตัดสินแชมป์ ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 1988/89
นัดนี้ ที่ แอนฟิลด์ จริงๆ ต้องเตะกันไปก่อนแล้ว ทว่า หลังเหตุการณ์ 15 เมษายน 1989 ที่ฮิลล์สโบโร่ ทำให้โปรแกรมต้องโดนโยกไปอยู่นัดสุดท้ายของฤดูกาล
 
ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นแม็ทช์แห่งความทรงจำ
สำหรับ เดอะ ค็อป ในยุค 80s มันเหมือนเสี้ยนที่ตำฝังอยู่ในเนื้อ ลูบไปโดนเมื่อไหร่ก็รู้สึกแปล้บๆ ทุกครั้ง
ลิเวอร์พูล เปิดแอนฟิลด์เจอกับ อาร์เซน่อล เป็นการเจอกันเองของสองทีมลุ้นแชมป์
เจ้าถิ่นมีแต้มเหนือปืนใหญ่ 3 แต้ม ผลต่างประตูเยอะกว่า 4 ลูก ข้อเสียเปรียบเดียวคือประตูที่ยิงได้มีน้อยกว่า
หมายความว่า ถ้าพวกเขาแพ้ด้วยประตูห่างลูกเดียว ยังไงก็ยังเป็นแชมป์ และ ที่แอนฟิลด์ พวกเขาไม่แพ้ใครเกิน 1 ลูกมากว่า 4 ปีแล้ว
4
เกมเป็นไปตามที่ควรจะเป็น อาร์เซน่อล เป็นฝ่ายพยายามยิงประตู พวกเขานำ 1-0 ในครึ่งหลังจาก อลัน สมิธ กองหน้าที่ย้ายมาพร้อม ไนเจล วินเธอร์เบิร์น เมื่อปี 87
เกมทำท่าว่าจะจบที่ 1-0 จนเข้าสู่ช่วงทดเจ็บ การบุกหนสุดท้ายของผู้มาเยือน บอลยาวจากแถวๆ ปีกขวามาถึง อลัน สมิธ ที่กระดกบอลขึ้นหน้า
ไมเคิ่ล โธมัส สปีดเข้าหาบอล ถึงก่อน สตีฟ นิโคล กองหลังเจ้าบ้าน เขาพยายามกระดกบอลแม้ไปติด นิโคล แต่โชคเป็นใจเมื่อมันเด้งกลับมาชนตัวเขาแล้วเด้งขึ้นหน้า โธมัส ได้หลุดเดี่ยว ก่อนดีดข้ามตัว บรูซ กร็อบเบลาร์ ที่พยายามมาปิดมุม ตุงตาข่ายเป็น 2-0
ซุ้มม้านั่ง อาร์เซน่อล เฮกันสุดเหวี่ยง และเมื่อกล้องจับไปที่ฝั่ง ลิเวอร์พูล เคนนี่ ดัลกลิช ในฐานะกุนซือ ยืนนิ่งแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
มันคือเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญที่สุดของ อาร์เซน่อล กับ ลิเวอร์พูล มันพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังอังกฤษ รวมถึงของนักเตะที่ชื่อ ไมเคิ่ล โธมัส ด้วย
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา