Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
moncheep siva
•
ติดตาม
25 ก.ย. 2019 เวลา 11:18 • บันเทิง
สมเด็จพระเจ้าตากสิน และขุนศึกอีกสองท่าน ยังต้องขับเคี่ยวกับพม่าอย่าเข้มข้น เรียกได้ว่าตลอดรัชกาลนั้น พระแสงดาบแทบไม่เคยห่างพระองค์...
การศึกจะเป็นอย่างไรบ้าง...เชิญเสพ
ย่อ อยุธยา ตอนที่ ๒๕
หน้าสิ่วหน้าขวาน ห้ามใครแวะบ้าน ยังกล้าขัดคำสั่งขนาดนี้...พระเจ้าตากเรียกนายทหารคนนี้มา ตัดหัวด้วยมือพระองค์เองเลย ทิ้งศพลงแม่น้ำให้ปลากิน...เพื่อมิให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง...
...ที่ราชบุรี...ทัพพระเจ้าตาก ยันทัพพม่าอย่างได้ผลจนพม่าเพลี่ยงพล้ำลงเรื่อยๆ...กลยุทธ์ที่สำคัญคือ ตัดช่องทางลำเลียงเสบียงที่จะส่งมาจากเมาะตะมะ...ทัพหน้าของพม่าก็เริ่มอดๆอยากๆ...
พระเจ้าตากไม่ทรงรีบเผด็จศึก ด้วยตั้งใจว่าจะล้อมให้พม่าให้เหี่ยวไปเองแล้วจับเป็น...ซึ่งในที่สุดก็สำเร็จตามแผน...
ทำไมต้องจับเป็น...เพราะพระเจ้าตากต้องการจะล้างความกลัวพม่า ออกไปจากสมองของชาวสยาม...ซึ่งตอนนั้นยังขวัญหนีดีฝ่อ จากการที่พม่ามาย่ำยีอยุธยาซะไม่เหลือซาก...
พระองค์จับเชลยพม่า ผูกลากจูงเป็นพรวนมาที่กรุงธนบุรี...เฮ้ย ชาวสยาม นี่ไงพม่าที่เราเคยกลัวกัน...มันก็ไม่ได้เป็นยักษ์เป็นมาร กินหินกินเหล็กที่ไหนเพราะมันไม่ใช่นักการเมืองบางประเทศ อุ๊บส์...มันก็กลัวเป็น ก็แพ้เป็นเหมือนกัน ถูกมัดยังกะหมูกะหมายังงี้...ต่อไปพวกเราไม่ต้องกลัวพม่าอีกต่อไปแล้ว...
อะแซหวุ่นกี้เสียทัพหน้าให้กับพระเจ้าตาก ที่เมืองกาญจน์...ทำให้ต้องเปลี่ยนแผน...
เปิดกูเกิ้ลดูประวัติศาสตร์หน่อยซิ...อ้อๆๆ สมัยพระเจ้าบุเรงนอง เคยบุกอยุธยาสำเร็จเพราะเจาะเข้าทางเชียงใหม่ และด่านแม่ละเมาจังหวัดตาก...งั้นกูต้องเลียนแบบมั่ง...
อะแซหวุ่นกี้ก็เลยเปลี่ยนแผน มาเดินตามแนวบุเรงนอง...คือเจาะเข้าทางตาก ลุยกำแพงเพชร...เรื่อยมาจนมาถึงพิษณุโลก...
เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ ต้องยอทัพลงมาจากเชียงใหม่ มารับหน้าพม่าที่พิษณุโลก...ซึ่งถือเป็นอีกจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ...
อะแซหวุ่นกี้นี่ แกคงเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของแม่ทัพอยู่ไม่น้อย...มีบันทึกว่า ทัพแกยกมาถึงพิษณุโลกก่อน ก็จับคนแถวนั้นมาถามว่า...พระยาเสืออยู่มั้ย...พระยาเสือหมายถึงเจ้าพระยาสุรสีห์ เจ้าเมืองพิษณุโลก...
คนแถวนั้นก็ตอบว่ายังกลับมาไม่ถึง...อะแซหวุ่นกี้ก็พักกองทัพไว้นอกเมือง บอกลูกน้องว่า...เจ้าบ้านเขายังไม่อยู่ จะไปตีเมืองเขาตอนนี้มันดูไม่มีศักดิ์ศรี...ว้าววว...ลุงโคตรแมนเลยอ้ะ...
1
ก็จนเจ้าพระยาสองพี่น้อง กลับมาถึงพิษณุโลกแล้ว...ถึงได้เปิดศึกกัน...
อะแซหวุ่นกี้...แม่ทัพผู้เจนศึกถึงขนาดชนะจีนมาแล้ว จะโจมตีแบบไหน...ติ๊กกี้ตั๊กก้า เจาะหลังแบ๊ค โยนยาว เลี้ยงกินตัว บลาๆๆ...ก็ทำอะไรพิษณุโลกไม่ได้ซะที...
จนอดสงสัยไม่ได้...ใครบัญชาการรบของพิษณุโลกว้า ทำไมเก่งยังงี้...ก็เลยขอหยุดศึกวันนึง เพื่อจะดูตัวแม่ทัพทางฝั่งสยาม...
อะแซหวุ่นกี้ พาหนวดเคราขาวโพลนนั่งหลังม้ามา...เผชิญหน้ากับแม่ทัพฝ่ายไทย...เจ้าพระยาจักรี ที่ตอนนั้นยังหนุ่มฟ้อ...
...ท่านอายุเท่าไหร่...อะแซหวุ่นกี้ถาม...สามสิบกว่า...เจ้าพระยาจักรีในวัยสามสิบเก้าตอบ แล้วท่านละ...เจ้าพระยาฯถามกลับ...
...เราเจ็ดสิบสองแล้ว ท่านสิยังอายุน้อย แต่โคตรเก่ง แถมยังกู๊ดลุคกิ้งแบบนี้...รักษาตัวให้ดีเถิด ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์...
1
...ไอ้ประโยคท้ายนี่แหละ...บางคนก็ว่า อะแซหวุ่นกี้พูดออกมาอย่างจริงใจ...แต่บางคนคิดว่า แม่ทัพขิงแก่แอบเจาะยางเจ้าพระยาจักรีเข้าให้แล้ว...
...โดยอาจจะหวังว่าข้อความนี้ จะไปเข้าหูพระเจ้ากรุงธนบุรี แล้วก็จะเกิดความหวาดระแวงขึ้นมา...
...ก่อนลาจากกันในวันนั้น สองแม่ทัพก็ได้มีการแลกของที่ระลึก...อะแซหวุ่นกี้ฝากว่า ตั้งรับให้ดี ข้าฯจะเข้าตีพิษณุโลกให้ได้...
สองเจ้าพระยาตั้งรับอยู่ในพิษณุโลกด้วยความยากลำบาก ปัญหาสำคัญคือเรื่องเสบียงอาหาร...เพราะทางกรุงธนเองก็ยกทัพขึ้นมาช่วยไม่ได้สะดวก...ติดตรงลุงอะแซแกคอยกวนเส้นทางอยู่เรื่อยๆ...
จนสุดท้าย เจ้าพระยาทั้งสองพี่น้องเห็นพ้องต้องกันว่า...แม้พิษณุโลกจะเป็นด่านเป็นด่านตาย ของเอกราชแห่งสยามในยามนั้น...แต่ด้วยความขาดแคลนเสบียงอย่างถึงที่สุด...ทั้งสองท่านจึงต้องตัดสินใจทิ้งเมืองพิษณุโลก แบบกวาดต้อนทุกอย่างไปด้วยให้เหลือแต่เมืองเปล่าๆ...
1
อะแซหวุ่นกี้เข้าเมืองได้ ซึ่งก็เป็นเหมือนเมืองร้างไปแล้ว...แกยังบอกไปยังทุกคนว่า...
...ตอนนี้ไทยเข้มแข็งกว่าแต่ก่อนมาก ไอ้ที่เค้าแพ้ตอนนี้ไม่ได้แพ้เพราะกลศึก แต่แพ้เพราะขาดเสบียง...ต่อไปถ้าแม่ทัพคนไหนคิดจะมาตีเมืองไทย ถ้าไม่ใช่ระดับบัลลงดอร์อย่างข้า...ก็อย่ายกมาตีให้เสียเวลาเลย ไม่ได้กินพี่ไทยเค้าหรอก...
พม่าโดยอะแซหวุ่นกี้ ได้ครอบครองจุดยุทธศาสตร์สำคัญคือพิษณุโลกแล้ว...ที่จริงเหตุการณ์ตรงนี้ นักประวัติศาสตร์หลายคนมองย้อนไปด้วยความใจหายใจคว่ำ...เพราะนี่คือจุดที่สยามหมิ่นเหม่ต่อการจะเสียกรุงเป็นครั้งที่สามเป็นอย่างยิ่ง...
...เมื่อพม่ายืนทะมึนอยู่ที่พิษณุโลก...ก็สามารถตั้งเป็นฐานทัพใหญ่เรียกระดมพลจากหัวเมืองทางเหนือได้อย่างกว้างขวาง เพื่อไหลทัพลงมาตีกรุงธนบุรี...ที่ก็ยังแสนจะอ่อนแอได้ไม่ยากเย็นนัก...
แต่โชคชะตาฟ้าก็ช่างลิขิต...พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่าเกิดสิ้นพระชนม์เสียนี่...อะแซหวุ่นกี้กำลังตระเตรียมทัพลุยต่อ ต้องวางมือรีบเผ่นกลับอังวะราวกับไฟไหม้บ้าน...
รีบขนาดว่า ทัพเล็กทัพน้อยที่กระจายกำลังไปในหลายพื้นที่จะต้องกลับมาประชุมพล อะแซหวุ่นกี้บอกรอไม่ได้ ให้ตามกลับไปทีหลัง...กูแจวไปก่อนล่ะนะ...
ผลัดแผ่นดิน ก็เหมือนตั้งครม. ใหม่นั่นแหละ...ลุงอะแซแกคงกลัว อดแบ่งเค้กกับเค้าล่ะมั้ง ถึงได้รีบหนวดเคราปลิวซะขนาดนั้น...
10 บันทึก
126
9
6
10
126
9
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย