คอแข็ง ไม่ได้แปลว่าทนพิษแอลกอฮอล์มากกว่าคนอื่น
.
บรรดาคอสุรามักภาคภูมิใจในความคอแข็งของตัวเอง ข้านั้นดื่มอึด ดื่มได้นาน ดื่มได้เยอะ
.
คิดว่าตนเองทนทานแอลกอฮอล์ได้มากกว่าพวกคออ่อน แต่อันที่จริง ความทนทานต่อพิษแอลกอฮอล์ของร่างกายของคนเราไม่ได้ต่างกันมากมายขนาดนั้น
.
หลายคนคงเคยผ่านตาการบอกระดับความเป็นพิษของแอลกอฮอล์มาบ้าง
ข่าวต่างๆ มักรายงานปริมาณแอลกอฮอล์ที่ร่างกายได้รับเป็น "มิลลิกรัม เปอร์เซ็นต์ แอลกอฮอล์"
เช่น พบแอลกอฮอล์ในร่างกาย 418 มิลลิกรัม%
.
ค่านี้หมายถึง ถ้าเจาะเอาเลือดออกมา 100 มิลลิลิตร จะพบแอลกอฮอล์ละลายอยู่ในน้ำเลือด 418 มิลลิกรัม
.
ซึ่งสามารถนำไปเทียบดูได้ว่า แอลกอฮอล์ในเลือดแต่ละระดับส่งผลต่อร่างกายอย่างไร เช่น
.
- ระดับแอลกฮอล์ที่ต่ำว่า 50 มิลลิกรัม% เป็นระดับที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ชิวๆ ร่าเริงขึ้นเล็กน้อย แต่แทบไม่พบอาการผิดปกติทางกายภาพ อาจจะไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเลย
.
กฎหมายเมาไม่ขับ จึงกำหนดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ยานพาหนะไว้ไม่เกิด 50 มิลลิกรัม%
.
- ระดับแอลกฮอล์ที่ 60 - 150 มิลลิกรัม% เป็นช่วงที่เฮฮา สนุกสนานร่าเริง คุยอะไรก็ฮา ภาษาวงเหล้าเรียกว่ากรึ่มๆ
.
แต่ในแง่ของพิษวิทยาถือเป็นโดสที่เริ่มเป็นพิษต่อร่างกายแล้ว เป็นระยะที่เริ่มเสียการควบคุมร่างกาย ตอบสนองต่อสิ่งเร้าช้าลง ตัดสินใจได้ช้าลง อาจเริ่มเดินเซ เดินไม่ตรงทาง ขาดการยับยั้งชั่งใจ อาจทำอะไรห่ามๆ ไปบ้าง
.
- ระดับแอลกอฮอล์ที่ 160-300 มิลลิกรัม% เป็นระดับที่แอลกอฮอล์แสดงฤทธิ์ความเป็นพิษอย่างชัดเจน ร่างกายมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น อาการหัวหมุน วิงเวียน คลื่นไส้ ทรงตัวได้ยาก มีอาการสับสน มึนงง ความทรงจำสับสน อาจถึงขั้นตื่นมาจำอะไรไม่ได้เลย หรือเรียกง่ายๆ ว่า เมา
.
- ระดับแอลกอฮอล์ที่ 310-450 มิลลิกรัม% คือระดับอันตราย ส่วนมากจะหมดสติ และมีโอกาสเสียชีวิต เนื่องจากแอลกอฮอล์ในเลือดที่เข้มข้น จะยับยั้งการทำงานของสมองและกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจทำให้ระบบหายใจ การเต้นของหัวใจผิดปกติ จนระบบร่างกายล้มเหลว
.
ตัวเลขนี้คือค่าเฉลี่ยของมนุษย์ แม้จะมีเบี่ยงเบนไปจากค่าเฉลี่ยบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทนทานต่างกันมากมายนัก
.
อาจพูดได้ว่า ไม่ว่าใครถ้าเอาแอลกอฮอล์เข้าไปในเลือดถึง 300 มิลลิกรัม% ก็เมากันทั้งนั้น
ถ้าถึง 400 - 500 มิลลิกรัม% ก็เสี่ยงตายสูงทั้งนั้น
.
คนที่คอแข็ง ดื่มได้หนัก ดื่มได้เยอะ ไม่เมาไม่หลับ นั่นไม่ใช่เพราะร่างกายทนแอลกฮอล์ได้มากกว่าคนอื่น ไม่ใช่แบบ 400 มิลลิกรัม% แล้วฉันยังแค่กรึ่มๆ
.
แต่คอแข็ง เกิดจากการบริหารจัดการจังหวะในการดื่ม รักษาระดับแอลกอฮอล์ในเลือดไว้ ไม่ให้สูงเกินไปจนถึงขั้นเมา
.
เนื่องจากตอนที่เราดื่มเหล้า แอลกอฮอล์จะซึมผ่านผนังกระเพาะ ลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ขณะเดียวกันตับก็คอยกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากเลือดไปพร้อมๆ กันอยู่แล้ว
.
ตราบใดที่รักษาสมดุล ไม่ให้แอลกอฮอล์ที่ดูดซึมจากทางเดินอาหารมากกว่าที่ตับกำจัดออกไปได้ ระดับของแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดก็จะไม่สูงจนทะลุไปถึงขั้นเมา หรือขาดสติ
.
ตับของเรามีประสิทธิภาพสูงมากในการกำจัดแอลกอฮอล์อยู่แล้ว เพียงแค่หยุดดื่มสักพักหรือดื่มให้ช้าลงเมื่อรู้สึกว่าร่างกายเริ่มมีอาการผิดปกติ กำลังจะข้ามเส้นจากระยะกรึ่มๆ เป็นเมาๆ แค่สักครู่เดียว ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดก็จะลดลง และสามารถกลับมาดื่มต่อได้
.
หลายคนอาจจะสงสัยว่าคนที่เจนสนาม ดื่มเหล้าเป็น ดื่มเหล้าเก่ง ทำไมถึงดื่มเหล้าจนเกินขนาดถึงขั้นเมา หมดสติและเสียชีวิตได้
ทำไมจึงไม่รู้ถึงความผิดปกติของร่างกายตอนที่เปลี่ยนจาก
กรึ่มๆ >> เมา >> หมดสติ แล้วยับยั้งไว้ไม่ทัน
.
นั่นเพราะ การดื่มเหล้ามี 'ระยะหน่วง' อยู่ช่วงเวลาประมาณหนึ่ง
หลังจากเหล้าลงคอไปแล้ว จะใช้เวลาสักพักกว่าที่จะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด
ในช่วงเวลานี้ คนดื่มจะยังไม่รับรู้ถึงผลของเหล้าแก้วที่เพิ่งดื่มลงไป
.
อาการผิดปกติต่างๆ ยังไม่เกิดขึ้นเพราะเหล้าที่อยู่ในกระเพาะยังไม่เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้บางคนอาจจะคิดว่ายังไหว ยังดื่มต่อไปอีกช็อต 2 ช็อต 3 ช็อต 4 5 … 10 ช็อต
.
พอรู้อีกทีปริมาณและความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่รออยู่ในกระเพาะก็มากจนทำให้เมื่อถูกดูดซึมทั้งหมด สามารถทำให้ความเข้มข้นในเลือดพุ่งสูงเกิน 400 มิลลิกรัม%
.
การดื่มแอลกอฮอล์เข้มข้นในระยะเวลาอันสั้นจึงอันตรายอย่างมาก เพราะผู้ดื่มจับสังเกตอาการของร่างกายตัวเองได้ยาก
.
ดังนั้นถ้าจะดื่มอย่างปลอดภัยและรับผิดชอบ จงดื่มช้าๆ ไม่ต้องรีบเมา