2 ต.ค. 2019 เวลา 11:00 • กีฬา
"ภาพจำอ้วนๆ ของยุค 90s"
ถือเป็นข่าวน่าใจหายของวงการฟุตบอลเมื่อปาแลร์โม่ ซึ่งจบฤดูกาล เซเรีย บี ด้วยอันดับ 3 คว้าสิทธิ์เพลย์ออฟ กลับโดนปรับตกชั้นสู่ เซเรีย ซี เนื่องจากสาเหตุของการบริหารงาน มีความผิดเรื่องการเงิน
ทีมโรซาเนโร่ เป็นที่จดจำจากเสื้อแข่งสีชมพู พร้อมกับมีนักเตะฝีเท้าดีมาร่วมมากมายไม่ว่าจะเป็น ฟาบริซิโอ มิคโคลี่, ลูก้า โทนี, เอดินสัน คาวานี่, ฟาบิโอ ซิมปลิซิโอ, เปาโล ดีบาล่า, อเมารี, คริสเตียน ซัคคาร์โด้, ฮาเวียร์ ปาสตอเร่ หรือแม้แต่ อันเดรีย เบล็อตติ
สถานการณ์เกี่ยวกับการโดนลงโทษเพราะบริหารงานผิดพลาดนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับปาร์ม่า อีกหนึ่งทีมดัง
ปาร์ม่า โดนหนักถึงร่วงสู่ เซเรีย ดี เมื่อ 4 ปีก่อน แต่ก็รวมพลังสู้เลื่อนชั้นต่อเนื่องจนกลับคืน เซเรีย อา จนได้ในฤดูกาลนี้เอง
สำหรับปาร์ม่า พวกเขาคือยอดทีมแห่งยุค 90s น่าเสียดายที่พวกเขาไม่เคยได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา เลยในยุคที่รุ่งเรือง
ก็เพราะในยุคนั้น ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม หมายความว่าลีกอิตาลี คือจุดหมายปลายทางของซูเปอร์สตาร์ทั่วโลก เป็นยุคฟองสบู่ เงินสะพัด มาตรฐานลีกสูง ใครๆ ก็อยากมาเล่น
เมื่อมองคู่แข่งรอบๆ มีทีมแข็งเต็มไปหมด ยูเวนตุส, มิลาน, อินเตอร์, โรม่า, ลาซิโอ, ฟิออเรนติน่า หรือแม้แต่ทีมรองๆ ลงไปต่างก็มีสตาร์ประจำทีมทั้งนั้น
ปาร์ม่าเอง แม้จะเต็มไปด้วยโคตรบอล ถึงไม่สามารถก้าวสู่การคว้าสคูเด็ตโต้ได้เลย การคว้าอันดับ 2 ในปี 1996/97 คืออันดับสูงสุดแล้ว
พวกเขาเคยคว้าแชมป์บอลถ้วยได้มากมาย โคปปา อิตาเลีย, ยูฟ่า คัพ, คัพ วินเนอร์ส คัพ หรือยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ พวกเขาคว้ามาครองหมดแล้ว
ปลายยุค 90s พวกเขาเคยมีทีมที่ประกอบด้วย จานลุยจิ บุฟฟ่อน, ลิลิย็อง ตูราม, ฟาบิโอ คันนาวาโร่, โรเบร์โต้ เนสเตอร์ เซนซินี่, อแล็ง โบโกซิย็อง, ดิโน่ บาจโจ้, ดิเอโก้ ฟูแซร์, เปาโล วาโนลี่, ฮวน เวรอน, เอร์นาน เครสโป, เอ็นริโก้ คิเอซ่า, ลุยจิ ซาร์ตอร์, สเตฟาโน่ ฟิออเร่, ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า, อาเบล บัลโบ, ลุยจิ อพอลโลนี่ เรียกว่ามีแต่สตาร์ระดับทีมชาติทั้งสิ้น
แต่ถ้าย้อนไปก่อนหน้าสัก 5-6 ปี ปาร์ม่า เคยมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งมาแล้ว นักเตะระดับพรสวรรค์หลายรายไม่ว่าจะเป็น จานฟรังโก้ โซล่า, ฟาอุสติโน่ อัสปรีย่า และที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดีคือ โทมัส โบรลิน
ตัวรุกฟ้าประทานแฟนบอลไทยคุ้นเคยในชื่อเล่นว่า "ไอ้อ้วน" กับท่าดีใจเอกลักษณ์ ยิงได้แล้วกระโดดชูมือหมุนตัว 360 องศา
โบรลิน มีชื่อเต็มจริงๆ ว่า แพร์ โทมัส โบรลิน โดยเริ่มเล่นอาชีพครั้งแรกในบ้านเกิดสวีเดน กับสโมสร นาสวิเค่นส์ ตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 15 ปีดี
เขาเล่นที่นี่ 2 ปี ลงเตะ 36 นัดยิง 10 ประตู ก่อนย้ายไปเล่นให้ ซุนด์สวัลล์ และ นอร์โคปิ้ง สโมสรใหญ่กว่าตามลำดับ
ก็ด้วยการเล่นที่ นอร์โคปิ้ง นี้เอง เอาฉายแววสุดยอด เล่นแค่ 9 นัดยิง 7 ประตู กอรปกับฤดูกาลฟุตบอลสวีเดน ไม่ตรงกับในยุโรป ปาร์ม่า ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นสู่เซเรีย อา พอดีในซัมเมอร์ปี 1990 จึงคว้าตัวเขาไปร่วมทีม
ด้วยวัย 20 ปีนิดๆ โบรลิน ประสานงานกับกองหน้าอายุเท่ากันอย่าง อเลสซานโดร เมลลี่ เป็นคู่แนวรุกในฝัน เมลลี่ สวมเบอร์ 7 เป็นกองหน้าจมูกไว เร็ว เล่นกลางอากาศดี ส่วน โบรลิน สวมเบอร์ 11 เบอร์โปรด และเล่นต่ำกว่า ทั้งคู่ยิงรวมกัน 20 ลูก เป็นของ เมลลี่ 13 โบรลิน 7 ช่วยปาร์ม่า จบอันดับ 5 ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
ฤดูกาลต่อมา 1991/92 โบรลิน ได้ลงเตะครบ 34 นัดในเกมลีก ปาร์ม่า จบอันดับ 6 และได้แชมป์ โคปปา อิตาเลีย แชมป์เมเจอร์แรกในประวัติศาสตร์สโมสรเช่นกัน
ปัญหาเริ่มก่อนในปีต่อมา 1992/93 สโมสรได้ไปเล่น คัพ วินเนอร์ส คัพ จึงเสริมทัพเพิ่ม ไปดึง ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า (โคลอมเบีย) และ แซร์จิโอ แบร์ตี้ (อาร์เจนติน่า) เข้ามา ทำให้โควต้าแข้งต่างชาติลงเตะได้เกมละ 3 คน ต้องทำให้ โบรลิน หลุดโผอยู่บ่อยครั้ง
เบอร์ 11 ของเขาโดนยกให้ อัสปริย่า เขามักได้เบอร์ 8 หรือ 9 ยามลงเล่น ในยุคที่เบอร์เสื้อยังไม่กำหนดให้ใครตายตัว แต่เขายังมีส่วนช่วยปาร์ม่า ได้แชมป์ คัพ วินเนอร์ส คัพ ปีนั้นจนได้ ด้วยการเอาชนะ รอยัล อันท์เวิร์ป 3-1 ที่เวมบลีย์
ฤดูกาลต่อมา เขาได้รับบทบาทใหม่ เมื่อสโมสรดึง จานฟรังโก้ โซล่า และมัสซิโม่ คริปป้า เข้ามา เมื่อได้ลงไปเดินเกมในแดนกลางแบบเต็มตัว เขาฉายแววอีกด้านออกมา
ผลงานในทีมชาตินั้น นอกจาก ยูโร 92 ที่พลาดท่าตกรอบรองชนะเลิศแล้ว (เขายิงประตูใส่อังกฤษแบบสุดสวยได้ด้วย) ช็อตที่สวีเดน ทำให้คนทั้งโลกทึ่งก็คือในฟุตบอล โลกปี 94
ไวกิ้งชุดนั้นเต็มไปด้วยแข้งพรสวรรค์ โดย โบรลิน ยืนเป็นหน้าต่ำอยู่หลังคู่หอก มาร์ติน ดาห์ลิน และ เคนเน็ธ แอนเดอร์สสัน เป็นแนวรุกสุดอันตราย เสียดายพ่ายให้บราซิล 0-1 แต่ก็โชว์ฟอร์มสยบ บัลแกเรีย 4-0 จบทัวร์นาเมนต์เขาทำ 3 ประตู นั่นคือตอนที่เขาพีคสุดในชีวิตในวัย 24 ปี
หลังจากบอลโลก เขาโชคร้ายเจออาการบาดเจ็บหนัก ปลายปี 94 ประกอบกับ ปาร์ม่า ซื้อ ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ เข้ามาด้วย ทำให้เขายิ่งตกที่นั่งลำบาก จบฤดูกาล 94/95 เขาก็ปล่อยไปให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด
ในพรีเมียร์ ลีก นี่เองกลายเป็นสุสานของเขา เมื่อกลายเป็นหนึ่งในการซื้อตัวแย่สุดของพรีเมียร์ ลีก ส่วนหนึ่งเพราะอาการเจ็บหนักของเขาก่อนหน้านั้นด้วย
โบรลิน ที่เจ็บข้อเท้าหนักมา ไม่สามารถกลับมาเป็นคนเก่าได้อีก สภาพร่างกายอ้วน ไม่เฟิร์มดังเดิม เขาโดนปล่อยยืมไป เอฟซี ซูริค, ปาร์ม่าทีมเก่า ก่อนที่ในปี 98 เขามาเล่นให้ คริสตัล พาเลซ เป็นสโมสรอาชีพอย่างจริงจังสุดท้ายของเขา และประกาศแขวนสตั๊ดด้วยวัย 28 ปีเท่านั้น ในวันที่ 12 สิงหาคมปี 1998
เขาไปเล่นนัดส่งท้ายอาชีพในปีเดียวกันกับ ฮูดิคส์วัลล์ ด้วยการเป็นผู้รักษาประตูอยู่ 15 นาที
แม้เขาจะจบการค้าแข้งแบบไม่สวย ไม่เปรี้ยงปร้างอย่างตอนยังอายุน้อย แต่เชื่อว่าใครที่ทันดู โทมัส โบรลิน เล่น คงไม่ลืมความเก่งกาจของ "ไอ้อ้วน" พร้อมกับท่าดีใจ อันเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาเด็ดขาด
เวลาพูดถึงฟุตบอลยุค 90s ปาร์ม่า คือหนึ่งในทีมที่ถูกยกมาพูดถึง และใครจะจดจำนักเตะคนไหนของทีมจัลโล่บลู ก็ตาม แต่สำหรับหลายคนชื่อของ โทมัส โบรลิน จะโดดเด่นขึ้นมาเสมอ
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา