5 ต.ค. 2019 เวลา 10:14 • บันเทิง
การเดินทางผ่านแผ่นฟิลม์ ตอนที่ 1:
Ad Astra ภาพยนตร์ปราถนาดีที่คนอาจมองข้าม
Credit: Wikipedia
เร็วๆ นี้ มีภาพยนตร์ที่โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว เป็นภาพยนตร์ที่ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวคิด เจตนาของภาพยนตร์ ความตั้งใจในการถ่ายทำฉากการเดินทางในอวกาศที่สมจริง เสียจนรู้สึกได้ถึงความเหงา โดดเดี่ยว ตัดขาดจากชีวิตด้านอื่นนักบินอวกาศ
อย่างไรก็ตาม แนวทางการเล่าเรื่อง การนำเสนอ เป็นไปตามแนวทางที่เรียบง่าย สมจริง ราวกับนั่งดูชีวิตคนหนึ่งคน (ซึ่งก็คงเป็นเจตนาของหนังระดับหนึ่ง) และก็ไม่ได้มีฉากหวือหวาของการผจญภัยในห้วงอวกาศ ดังที่หลายคนคาดหวัง จึงทำให้เสียงสะท้อนต่อภาพยนตร์เรื่องนี้มีความหลากหลาย และเสียงสะท้อนความผิดหวังก็แลดูจะเป็นเสียงส่วนใหญ่
บทความนี้ ก็เป็นเสียงสะท้อนหนึ่ง ที่สะท้อนความรู้สึกที่ดีที่ได้รับจากภาพยนตร์เรื่องนี้
หนังสะท้อนและเชื่อมโยง การเดินทางในอวกาศเพื่อหาสิ่งที่ดีกว่าและมีความหมายต่อมนุษยชาติ (มนุษย์ต่างดาวสติปัญญาล้ำเลิศ อาณานิคม ตลอดจนการได้เข้าถึงภูมิปัญญาหรือองค์ความรู้ ความเชื่อใหม่) และการเดินทางของจิตใจคน ที่ตามหาสิ่งที่มีความหมาย ตัวเอกผู้เป็นลูกตามหาพ่อที่ทิ้งตัวเองและแม่ไป ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้สิ่งที่สูญหายไปกลับมา เพื่อลบล้างปมในใจ
พ่อเป็นคนในลักษณะ Mission-oriented ถือภารกิจและพันธะหน้าที่ ที่ตนเองมีต่อโลก (และอัตตาของตนเอง) เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิต ไม่ยอมให้ความผูกพันของครอบครัวเป็นอุปสรรค ตัดได้ทุกอย่าง เพื่อให้ภารกิจสำเร็จ แม้กระทั่งการลงมือฆ่าผู้ร่วมเดินทาง เพราะเป็นอุปสรรคที่ทำให้ไม่ถึงเป้าหมายความสำเร็จ (Ad Astra) ในขณะที่ลูก ผู้ที่มีปมในใจที่ไม่อาจเติมเต็มจากการที่ถูกพ่อละทิ้งไป แม้จะด้วยเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ทิ้งบาดแผลในใจไว้กับผู้ที่เป็นลูก ซึ่งดูเหมือนว่าปมและแผลนั้น จะลบได้ด้วยวิธีเดียวคือ การได้พ่อกลับมา
เมื่อลูกมีบาดแผลนั้น แทนที่จะโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่มีค่า แต่กลับกลายเป็นคนมีค่านิยมแบบพ่อ คือแม้แต่คนใกล้ตัวที่รักเรา ก็พร้อมจะละทิ้งหากแลดูแล้วจะเป็นอุปสรรคต่อหน้าที่การงาน - ซึ่งหลายคนก็เป็นในชีวิตนอกจอในปัจจุบัน
เมื่อประกอบกับการที่ลูกเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่น ทักษะที่หาตัวจับได้ยาก ก็ยิ่งทำให้ลูกมีอัตตาที่แน่นหนาว่าตนเองนั้นสามารถทำงานที่ใหญ่เกินตน พร้อมรับภารกิจที่ท้าทายและไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน
ตอนที่ลูกได้รับมอบหมายภารกิจนั้น ก็ชวนให้คิดได้ว่า จริงๆ แล้วลูกอยากไปตามหาพ่อเพื่อตัวเอง หรือไปตามหาพ่อเพื่อให้ภารกิจเพื่อมนุษยชาติลุล่วงกันแน่
หนังสื่อสารได้ดีถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่มักมองสิ่งที่ไม่เห็น ดีกว่าสิ่งทีมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการไปสร้างอาณานิคมบนดวงจันทร์ หรือดาวอังคาร และหนังก็สื่อสารว่า ไม่ว่าอยู่ที่ไหนมนุษย์ก็มีปัญหาเหมิอนเดิม เช่น มีโจรบนดวงจันทร์ ความมีชนชั้นของคนในอาณานิคม
หนังสะท้อนให้เห็นและสร้างได้อย่างสมจริงว่า ชีวิตของนักบินอวกาศนั้น แม้ว่าจะมีเกียรติ มีคนยกย่อง เป็นคนจำนวนน้อยนิดที่ได้รับการเลือกให้ทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าคือจิตใจของมนุษย์ ซึ่งตัวเอกต้องถูกทดสอบสภาพจิตใจอยู่ตลอดเวลาว่าพร้อมปฎิบัติหน้าที่หรือไม่ และหนังก็เฉลยว่าจริงๆ แล้วลูกต้องการไปตามหาพ่อมากกว่าที่จะไปสานต่อภารกิจของมนุษยชาติให้สำเร็จ โดยที่หนังแสดงให้เห็นถึงภาวะจิตที่ลูกผูกพันกับพ่อมากกว่าภารกิจ จนช่วงหนึ่งถูกสั่งให้ออกจากภารกิจ เพราะมีความอ่อนไหวเกินไป
นอกจากนี้ หนังยังสะท้อนให้เห็นด้านที่เปลี่ยวเหงา ขาดชีวิตชีวา ของนักบินอวกาศ และสะท้อนให้เห็นว่าทำไม Crew Members ของพ่อ จึงอยากกลับโลก เพราะเขาเหล่านั้นยังตัดความสัมพันธ์ด้านอื่นของชีวิตเพื่อภารกิจยังไม่ได้ จนเป็นเหตุให้พ่อฆ่าเพื่อนร่วมเดินทางเพราะกลายเป็นอุปสรรค แม้จะเป็นการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณโดยการพรากชีวิตผู้อื่น
ฉากที่ลูกซึ่งก็ยอมพรากชีวิตผู้อื่น เพียงเพื่อให้ได้พบกับพ่อ ตระหนักดีว่า จริงๆ แล้วพ่อไม่มีเยื่อใยผูกพันอะไรกับเขาเลย เป็นฉากที่สะท้อนให้เห็นความแตกต่างระหว่างพ่อกับลูกได้อย่างชัดเจน ผ่านการแสดงออกทางแววตาของนักแสดงทั้งคู่ พ่อมีคำพูดที่อธิบาย แต่ไม่มีความห่างหาอาทรในคำพูดนั้นเลย ไม่มีความรักต่อลูกในคำอธิบายเหล่านั้น ส่วนลูกไม่มีแม้แต่คำพูด มีเพียงน้ำตา ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการพยายามชักจูงให้พ่อกลับโลกด้วยกัน
สุดท้ายพ่อ ซึ่งเป็นคนจมไม่ลง เพราะอัตตาใหญ่เกินกว่าที่จะกลับไปอย่างผู้ล้มเหลว ก็ตัดสินใจทิ้งลูกไปอีกครั้ง และครั้งนี้ ไม่มีทางที่จะสามารถกลับคืนมาได้อีกเลย แต่การลาจากในครั้งสุดท้าย ทำให้ลูกได้ตระหนักดีว่า ชีวิตมีหลายด้านที่มีค่า มีความหมาย เพียงแค่ได้สัมผัสมือทีมช่วยเหลือเมื่อยานลงสู่พื้นโลก ก็ต้องหลั่งน้ำตา เพราะได้สัมผัสความปราถนาดีและความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์อีกครั้ง เพียงเพราะได้เห็นท้องฟ้า ผืนดิน ผืนน้ำของโลกอีกครั้ง
โดยสรุป หนังใช้การเดินทางท่องอวกาศ ในเชิงสัญลักษณ์และความบันเทิง เพื่อเป็นสื่อในการเล่าเรื่องการเดินทางของจิตใจและการตระหนักรู้ของมนุษย์
Ad Astra จึงไม่ได้หมายความถึงการเดินทางสู่ดวงดาวเพียงอย่างเดียว เพราะรากศัพท์มันมีความหมายกว้างขวางกว่านั้น คือการเดินทางสู่ความสำเร็จ
แต่ประเด็นคือ ในการเดินทางสู่ความสำเร็จนั้น จำเป็นหรือไม่ที่ต้องทิ้งด้านอื่นของชีวิต ที่มีความหมายและความสำคัญไม่น้อยไปกว่าความรู้สึกเติมเต็มจากความสำเร็จที่ได้มาเลย
หนังคงมีความปรารถนาดีที่จะเตือนใจคน ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า หรืออาจจะมากกว่าความสำเร็จ คือความสัมพันธ์ที่ดี ความรักความหวังดีจากคนที่ดีกับเรา อยู่รอบๆ ตัวเรา
สิ่งหนึ่งที่มนุษย์มักจะพลัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อยคือ การใช้เวลาและให้ความสำคัญกับคนที่เรารัก/รักเรา และครอบครัว ด้วยข้อแก้ตัวว่าฉันต้องทำงาน หรือมีภารกิจสำคัญและยิ่งใหญ่
หลายคนต้องใช้เวลา ใช้ชีวิตอย่างยาวนาน กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดอยู่ใกล้ตัว และความสุขก็ไม่จำเป็นต้องได้มาจากการไขว่คว้าหรือเดินทางไกลเลย
นี่คือที่ผมได้จากหนังเรื่องนี้ และเป็นเหตุผลที่ผมชอบหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
นักเดินทางจากท่าแพ
5 ตุลาคม 2562
Credit: Film Comment
Credit: Filmweb
โฆษณา