7 ต.ค. 2019 เวลา 02:03 • ธุรกิจ
เริ่มต้นทำกิจการส่วนตัว
ต่อจาก ep ก่อน
หลังจากที่ผมเริ่มต้นทำงานราชการมาประมาณ 2 ปีกว่าๆ ผมกู้เงินมาสร้างบ้านให้ครอบครัว เงินเดือนจากหมื่นกว่าบาทที่ได้จากการเป็นราชการก็เหลือเจ็ดพันกว่าบาท แต่โชคดีที่ว่าผมเลือกบรรจุแถวๆบ้านเลยไม่ต้องใช้เงินอะไรมากในการใช้ชีวิต
เมื่อวันหนึ่งผมเริ่มมองหาช่องทางที่จะมีรายได้เพิ่ม ผมเริ้มคิดว่าตัวเองชอบอะไร เราเก่งอะไร สุดท้ายตกผลึกมาว่าผมจะเปิดฟิตเนส เพราะมันคือชีวิตผม ผมมองว่าตอนที่ผมจะเปิด ผมมีคู่แข่งกี่ที่ ผมจะทำจุดแข็งของตัวเองตรงไหนดี ผมดูจุดอ่อนของฟิตเนสอื่นที่เป็นคู่แข่งเรา และสุดท้ายผมดูว่าต้องมีลูกค้าเท่าไหร่ผมถึงจะอยู้ได้ ผมคิดแค่นี้เลย เอาง่ายๆ เน้นปฎิบัติ เชื่อเต็มที่ว่าถ้าเราบริการดียังไงคนก็มาและอีกอย่างผมพอจะมีคนรู้จักที่เล่นฟิตเนสเยอะ คิดว่าเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คงมาเล่นฟิตเนสเราแน่ๆ
ช่วงแรกบอกเลยว่ามันพอไปได้ แต่เป้าในแต่ละวันไม่ถึงตามกำหนดเลย แรกๆเราไม่รู้อะไรเลยเพราะผมจบกฎหมาย ไม่ใช่สายบริหารหรือธุรกิจอะไรเลย ครอบครัวไม่มีพื้นฐานเรื่องธุรกิจด้านนี้ ดังนั้นสิ่งที่ผมเจอมันคือปัญหาของผมเองที่ผมต้องทำ ต้องแก้เอง ปัญหาทุกอย่างผมแก้ไขเอง ทำเองเพราะไม่มีเงินทุนเหลือจะมาจ้างใครอีกแล้ว ปัญหาที่เจอหน้างานมันยากสำหรับมือใหญ่จะคิดไปถึง แต่เมื่อทำไปสักพักก็เริ่มลงตัว
เพื่อนผมคนหนึ่งบอกว่า ถ้าผ่าน3 เดือนไปได้แล้วไม่เข้าเนื้อนั่นหมายถึงกิจการเราเดินต่อไปได้แน่ และผมก็ผ่านมันมาได้ ผมบอกเลยว่า ธุรกิจส่วนตัวต่างจากการทำงานประจำคือ ปัญหา ธุรกิจส่วนตัวปัญหาจะมาทุกวันและคนที่คอยแก้คือเราคนเดัยวเท่านั้น แต่งานประจำปัญหาไม่ได้มาทุกวันและเมื่อเจอปัญหาจะมีคนช่วยเราแก้ไขเสมอ แต่ทั้งสองอย่างมีทั้งข้อดีข้อเสียอยู่ในตัวเอง (ไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังครับ)
ฟิตเนสผมใช้เวลาประมานครึ่งปีเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น มีการชักชวนโดยที่ผมไม่ได้โฆษณาเลย ผมใช้วิธีขายคือ การบริการ ไม่มีเจ้าของฟิตเนสที่ไหนยกเหล็กมาใส่ให้ลูกค้า เซฟความปลอดภัยลูกค้า ช่วยโบกรถลูกค้า นั่นคือสิ่งที่เป็นจุดขายของฟิตเนสผม (น้องบอกแบบนั้น) แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าเราทำเกินหน้าที่เจ้าของฟิตเนสนะ เราทำเพราะเราอยากทำ เราทำแล้วมีความสุข เหนื่อยก็นอนพักหายเหนื่อย ถ้าจนนอยยังไงก็ไม่หายจน นี่คือคำเตือนในใจผมเสมอมา
โฆษณา