อาเธอร์พยามพูดหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขาอย่างตรงไปตรงมาอยู่หลายครั้ง
ฉันพยามนั่งจับใจความ และจำบทสนทนาที่อาเธอร์พูด
ฉันเข้าใจเขา..
เขาไม่อยากมีอาการแบบนี้
เขาไม่อยากซึม ไม่อยากเศร้า และเป็นบ้า
แต่เขาควบคุมตัวเองและระบบประสาทในสมองไม่ได้
คนที่มีอาการประสาท หรือ Mental Illness ไม่สามารถระงับตัวเองให้มีสติได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การมีผู้รับฟังที่ดี
และการกินยาครบ Dose เพื่อเปลี่ยนสารเคมีในสมองให้มีค่าปกติ
ผู้รับฟังที่ดี คือคนที่ไม่ตัดสินความเป็นไปของเขา ไม่ดูถูกเหยียดหยาม หรือแสดงอาการรังเกียจปนสงสัยกับอาการบ้าของเขา ไม่คะยั้นคะยอแนะนำให้เขาทำ ในสิ่งที่คนปกติทำเวลาคนปกติเครียด เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ฟังธรรมะ หรือ ออกไปหาเพื่อน ผู้รับฟังที่ดีคือ ฟังความคิดของเขา ฟังสิ่งที่เขาจะเล่าอาการที่เขารู้สึก อยู่ข้างๆ โดยไม่ตัดสินหรือเสนอแนะใดๆ จนเป็นการคะยั้นคะยอ
อาเธอร์ไม่ได้รับทั้งสองสิ่ง..
และถูกทอดทิ้งให้เผชิญกับปีศาจร้ายในสมองเขาด้วยตัวเอง
ฉันแอบร้องไห้กับบางประโยคที่ อาเธอร์พยายามจะบอก เช่น ประโยคที่เขาบอกกับ Social Worker คนนั้นว่า เธอเอาแต่ถามว่าช่วงนี้คุณมีความคิดด้านลบเกิดขึ้นไหม โดยไม่มีความรู้เพียงพอเลยว่า คนป่วยมีเพียงความคิดเดียวในสมองคือ negative thoughts.
"ALL I HAVE ARE NEGATIVE THOUGHTS"
เขาไม่มีคนรับฟัง แม้แต่ครอบครัว..
จนหนังเปิดเผยสาเหตุสำคัญของทุกสิ่งอย่างว่า
ตอนเด็ก เขาถูกทารุณมากมาย โดยไม่มีใครปกป้องแม้แต่คนเดียว
อีกหนึ่งสาเหตุ ของอาการป่วยทางจิตของเขาสะสมมาตั้งแต่จำความได้
โดยมันเพิ่มมากขึ้นโดยที่เขาไม่รับรู้ และไม่สามารถหาทางออกให้กับตัวเองได้