11 ต.ค. 2019 เวลา 04:45 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
มนุษย์เคยทำให้โลกร้อนและโลกหายร้อนมาแล้วในอดีต
ในปัจจุบัน ภาวะโลกร้อน หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจากน้ำมือมนุษย์ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ และส่งผลกระทบถึงมนุษย์ทุกคนบนโลก ความร้อนที่เพิ่มขึ้น หมายถึงพลังงานจลน์ในชั้นบรรยากาศที่พร้อมจะเปลี่ยนให้สภาพอากาศที่เราคุ้นเคย กลายเป็นรุนแรงกว่าสิ่งใดๆที่เราประสบพบเจอมา
10 ปีที่ผ่านมา(2010-2019) มี 5 ปี ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยนร้อนที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยบันทึกเอาไว้ โดยมีปี 2018 เป็นอันดับที่4 พายุที่รุนแรง และถี่ขึ้นเรื่อยๆ ความแห้งแล้งที่รุกลาม และการหดตัวลงของแผ่นน้ำแข็งทั้งขั้วโลกเหนือและใต้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โลกของเรากำลังร้อนขึ้น
แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นแค่ปรากฏการณ์ที่สะเทือนใจเหล่าผู้รักธรรมชาติเท่านั้น ภัยพิบัติจากสภาพอากาศส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของมนุษย์แทบทุกคน และผู้ที่ได้รับผลรุนแรงและรวดเร็วกว่าใครคือผู้มีรายได้ต่ำในพื้นที่ประสบภัย
มีผู้คนมากมายตระหนักถึงปัญหานี้และพยายามหาวิธีแก้ไข หรือ อย่างน้อย ก็ยับยั้งไม่ให้เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่
แต่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากยูนิเวอร์ซิตี้คอลเลจลอนดอน(ULC) ค้นพบว่ามนุษย์เคยทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกลดลงมาแล้วเมื่อช่วงต้นศตวรรษที่17
ขั้วโลกใต้ที่หนาวเย็นเป็นเหมือนตู้แช่ของโลก ที่เก็บเอาหลักฐานที่สิ่งมีชีวิตได้กระทำต่อโลกเอาไว้ แท่งน้ำแข็งจากการขุดเพื่อใช้ในการทดลอง ที่ระดับความลึกช่วงต้นศตวรรษที่17 นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วงนั้น... ลดลงกว่าที่มันควรจะเป็น
ช่วงศตวรรษที่ 14-19 คือช่วงยุคน้ำแข็งน้อย ที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกลดต่ำลง ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ นักวิชาการในปัจจุบัน ทำการเชื่อมโยงปรากฏการณ์ทางภูมิอากาศนี้กับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เช่นจุดบอดบนดวงอาทิตย์ และ การปะทุของภูเขาไฟ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสทุรต่างๆ แต่กลับไม่ได้คิดถึงว่ามันมีปัจจัยจากมนุษย์มาเกี่ยวข้อง…
อุณหภูมิที่ลดลงในครั้งนี้มาจากการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ป่าในทวีปโลกใหม่ ซึ่งเหตุผลที่มันเพิ่มขึ้น ก็เพราะ การลดลงของพื้นที่ทำการเกษตรที่มีขนาดใกล้เคียงกับประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศ
แต่อะไร??? ทำให้พื้นที่การเกษตรลดลงอย่างฉับพลัน(ในแง่ประวัติศาสตร์ทางภูมิอากาศ)ขนาดนั้นล่ะ ไม่ใช่ “อะไร” แต่เป็น “ใคร” ต่างหาก????
Agriculture in history
ชาวยุโรปได้ทำการอพยพมายังโลกใหม่ และยึดครองพื้นที่ที่คิดเอาเองว่ารกร้างและป่าเถื่อน แต่แท้ที่จริงแล้ว มันคือพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยผู้คน วัฒนธรรม และแน่นอน พื้นที่ทางเกษตรกรรม
นอกจากเหล็กกล้า และ ดินปืน สิ่งที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันพื้นเมืองเป็นจำนวนมหาศาลอีกอย่างก็คือโรคติดต่อที่มีชาวโลกเก่าเป็นพาหะ
พอถึงช่วงต้นศตวรรษที่17 ประชากรของมนุษย์บนโลกเบี้ยวๆใบนี้ก็ลดลงไปอย่างน้อยร้อยละสิบ…. หรือก็คือ 56 ล้านคน หรือก็คือ ร้อยละเก้าสิบของประชากรอเมริกันพื้นเมือง
เมื่อเกษตรกรตายไป ป่าก็ทวงคืนไร่นาที่มนุษย์แผ้วถาง ปริมาณคาร์บอนในอากาศลดลง และอุณหภูมิของโลกจึงลดลงไป 0.15 องศาเซลเซียส….
เป็นอุณหภูมิเพียงเล็กน้อย และน่าจะสังเกตุได้ยากในช่วงยุคน้ำแข็งน้อย.....
การคาร์บอนที่คำนวณว่าถูกดูดไปด้วยป่าที่ทวงกลับพื้นที่ทางการเกษตร คิดเป็นปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาจากการใช้เชื้อเพลิงในปัจจุบันเพียงแค่สามปีเท่านั้นเอง….
การที่อุณหภูมิลดลง ทำให้ผลผลิตในยุโรปลดลงด้วย หลายคนคลจะคิดว่าสมน้ำหน้ากรรมสนอง ทำเค้าแล้วไงล่ะ แต่ในความเป็นจริง ความขาดแคลนอาหารในยุโรปยิ่งเป็แรงผลักดันให้มีการยึดครองพื้นที่ของชนพื้นเมืองหนักขึ้น เพื่อนำอาหารกลับไปที่ยุโรป....
สรุปว่า...ชาวยุโรปได้ทำใหเอุณหภูมิโลกลดลง โดยการฆ่าล้างบางชาวอเมริกันพื้นเมืองนั่นเอง….
แต่สำหรับชาวโลกในยุคศตวรรษที่21 ยังไม่มีมาตรการใดๆจากองค์กรใดๆ ที่ทำให้เราเห็นว่ามีทางแก้ปัญหาโลกร้อนที่ปฏิบัติได้จริงเลยสักอย่าง….
อ้าว จบดาร์คซะงั้น….
You failed us!!!
โฆษณา