11 ต.ค. 2019 เวลา 16:02
เรื่องสั้นขนาดยาว
EP.1ชุดนทีแห่งลมหายใจ
ตอนที่4:...แรงบันดาลใจจากดอยขุนตาน
📚ตอนที่4 ...หลุมพรางกับอาคันตุกะนิรนาม
ค่ำคืนหลังจากเก็บกวาดน้ำที่เจิ่งนองพื้นบ้าน นี่ก็ราวสองยามแล้วกระมัง ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ล้มตัวลงนอนทั้งๆที่ผมยังเปียกปอนจากฝนฟ้าที่ไม่มีเค้าว่าจะตก แต่ก็เทกระจาดอย่างไม่ทันตั้งตัว
อุตส่าห์ทำหลังคาบ้านใหม่ จะรอให้เสร็จก่อนก็ไม่ได้ ฟ้าฝนช่างแม่ง..ไม่เป็นใจ เขาสบถในใจอย่างเหลืออด น้ำจากฝนเทเข้าบ้านทุกทิศทาง หลายชีวิตของคนในบ้านช่วยกันเอาสังกะสีเก่ามาปิดรูรั่ว ไม่สิ...มันไม่น่าจะเรียกว่ารั่ว เรียกว่าเปิดรับฝนเต็มๆ
.....พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน....
ชายหนุ่มบ่นงึมงำกับตัวเอง
"_นั่นใคร._".ชายหนุ่มรู้สึกตัวแต่ก็ขยับร่างกายไม่ได้
หึหึหึ... เสียงหัวเราะก้องกังวานในหัวชายหนุ่ม "นั่นใคร."..เขาถามย้ำอีกครั้ง
"_ในที่สุดก็ตกอยู่ในหลุมพราง หลุมพรางที่จะกักตัวเจ้าไปอย่างนิจนิรันดร์_" ร่าง เจ้าของเสียงเริ่มชัดเจนขึ้น
กระนั้น..ยังมองได้เห็นเป็นเพียงกลุ่มควัน เห็นได้แต่ไม่ชัดในความมืด แต่เจ้าตัวจำได้แม่นยำเพราะเสียงที่มีอำนาจดุดันไม่มีใครแน่นอกจาก...
"_เรามาเตือนอีกครั้ง เจ้ามีหน้าที่ที่ต้องทำ ถ้าพบเราให้ฆ่าเราเสียไม่เช่นเราจะมาเอาชีวิตอีก6ปี _"
ถ้อยคำสะดุดหูและยังอยู่ในห้วงความทรงจำตลอดมา
เสียงนี้..ถ้อยคำนี้ "ดอยขุนตาล"
ใช่ น้ำเสียงนี้เราได้เคยพบเจอที่ดอยขุนตาล
ที่ที่เคยไปกางเต้นท์เมื่อปีกลายในคืนก่อนจะลงจากดอย และก่อนพบพระภิกษุชราที่อุโมงค์รถไฟด้านล่างสถานีรถไฟขุนตาน
"_ หลุมพรางหลุมพรางอะไร_" ชายหนุ่มย้ำ
"_ใช่หลุมพราง เจ้าทำสิ่งที่อยากทำและเจ้าทำให้มันเป็น สิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องทำกลายเป็นหน้าที่ หน้าที่ที่ต้องทำ เมื่อทำแล้วต้องดีกว่าท้าทายกว่าเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆตามกระแสแห่งความอยาก
เมื่อนั้น อัตตาตัวตนของเจ้าจะใหญ่ใหญ่พอที่ข้าจะเล็งลูกศรไปปักที่หัวใจของเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย .
....เจ้าก็เหมือนคนทั้งโลกที่ดำรงอยู่ด้วยความทะยานอยาก..ความมืดบอดเกาะกินหัวใจ ทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้มันมาเพื่อตอบสนองอัตตาที่โตขึ้นโตขึ้น
เจ้าพร่ำบอกกับคนทั้งโลกบอกกับคนรอบข้างว่าเจ้าทำเพื่อพวกเขาแต่หาเป็นความจริงไม่...5555_" เสียงนั้นค่อยๆหายไปในความมืด
ไรวะเนี่ย..มาขู่แล้วก็จากไปชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดตามภาษาคนปากไวเท่าความคิดจึงสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว
"_ท่านลืมข้อหนึ่งนะขอรับ ว่าสิ่งนั้นสมควรทำรึเปล่า ถ้าเป็นสิ่งที่สมควรอัตตามันจะโตได้อย่างไร ไม่ว่าจะอยากทำ หรือทำเพราะหน้าที่ถ้าเป็นสิ่งที่ควรทำมันก็ควรอยู่ดอกท่าน _" ชายหนุ่มตะโกนแย้งอย่างสุดเสียง แต่ได้หาได้ออกจากปากไม่
ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องดังกัมปนาท ลมกรรโชกปะทะหน้าชายหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัวจนต้องหลับตาเบือนหน้าหนี
กลุ่มควันที่พวยพุ่งปรากฏเป็นใบหน้าที่ดุดัน ดวงตาเบิกโพลงและแดงก่ำ และ...และ....อยู่ห่างหน้าชายหนุ่มเพียงลมหายใจเข้าออก... เสียงลมหายใจดังฟืดฟาด เขาพยายามสะบัดหน้าหนีด้วยกำลังที่มีอยู่ แต่ไม่เป็นผล
..เสียงที่ทรงพลังตวาดอย่างเหลืออด
"_เจ้าก็เป็นอย่างนี้แต่ไหนแต่ไร ดื้อด้านทิฐิเกินคน _" สิ้นเสียง ลมที่ปะทะหน้ากลับมลายหายไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฝนหยุดตก อากาศเย็นลง แต่หัวใจของชายหนุ่มกลับเต้นแรง พยามสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายด้วยแรงที่มีอยู่ ร่างกายสั่นสะท้านโดยเจ้าตัวไม่สามารถบังคับได้
...ภาวะจวนเจียนตาย เป็นอย่างนี้หนอ
นานเท่าไรไม่รู้ร่างกายที่สั่นเทิ้มเริ่มแน่นิ่ง...
ทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
"_หกปี...เอาชีวิต อะไรวะเนี่ย...มันเกิดอะไรขึ้น"
ไอ้คนที่จะมาเอาชีวิตคือใคร ภิกษุชราที่เคยสนทนาด้วยถึงสามคราก็ไม่ทราบว่าท่านคือใครและเกี่ยวพันอย่างไรกับคนที่ไม่รู้ว่าเขาคือใครที่จะมาจองล้างจองผลาญตามราวีชายหนุ่มไม่เลิกและทั้งสองผู้เกี่ยวกับชายหนุ่มได้อย่างไร
กายเหนื่อยล้าแต่สมองยังทำงาน ภาพที่พบกับคนที่เขาไม่รู้ว่าใคร สลับกับพระภิกษุชราเปลี่ยนไปมา ความรู้สึกเหมือนร่างกายขณะนอนอยู่นั้นหมุนเร็วขึ้น เร็วขึ้น หมุนคว้างในอากาศ แล้วม้วนจมดิ่งความรู้สึกเหมือนตกเหว เสียววูบไปถึงท้องน้อย
แปล่บ.!.!.
ปรากฏภาพย้อนไปวันวานเมื่อครั้งที่ชายหนุ่มเดินทางไปกางเต้นท์ที่ดอยขุนตานเมื่อปีกลายและได้พบกับผู้ที่เขาเองไม่รู้ว่าใคร
ขุนตาล 04.30น.
ชายหนุ่มก้าวลงจากรถไฟ.....ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเป้เพื่อดูเวลา ...ตีสี่กว่าๆ
สถานีรถไฟยังคงร้างผู้คน มองไม่เห็นบรรยากาศบริเวณนั้น มีเพียงเจ้าหมา สามสี่ตัวที่วิ่งมาต้อนรับสลับกับเห่า ด้วยคงเกรงท่าทีของคนที่มาเยี่ยมเยือนกระมัง
อืม...คงต้องนั่งรอเช้าค่อยเดินขึ้นเขา ชายหนุ่มรำพึงพร้อมล้มตัวลงนอนบนม้านั่งหน้าสถานีนั่นเอง
จวบจนเช้าตรู่ ผู้คนเริ่มมา ส่วนใหญ่เป็นแม่ค้าขายของบนรถไฟส่งเสียงเจื้อยแจ้วร้องขายไก่ย่าง ข้าวเหนียว เขากักตุนเสบียงเล็กน้อย พร้อมกับ ไกด์ท้องถิ่นที่ไม่ได้รับเชิญ
ก็เจ้าขาวหมาน้อยท่าทางปราดเปรียว นำทาง
ในระหว่างทางอ้ายขาวจะทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์เธอ ยามเจอเจ้าหมานักเลงบนดอย และบางครั้งมันก็กรูดถอยหลบด้านหลัง ถ้าเจอพวกมากนักเลงโต ชายหนุ่มกลับต้องทำหน้าที่พิทักษ์มันซะนี่ ...เอากับมันสิ
และด้วยน้ำหนักที่แบกขึ้นเขาราวเกือบยี่สิบโล ทำเอาหมดแรง เป็นตะคริวก็หลายที จนมาถึงสถานที่ที่กางเต้นท์ ย.2
ตั้งแต่เดินมานอกเจ้าหน้าที่ ก็ไม่พบใคร เอาวะ ทั้งดอยเป็นของกรู กรูจอง ว่าแล้วก็จัดการตั้งเต้นท์ รีบอาบน้ำ กินข้าวเพราะนี่ก็เย็นมากแล้ว
ตำแหน่งที่กางเต้นท์ชายหนุ่มเหลือบสังเกตุเห็นว่ามีแสงส่องเป็นลำยาวไปที่เต้นท์แสงนี้มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ได้
จนค่ำมืดแสงนั้นก็ยังส่องอยู่ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก สวดมนต์นั่งสมาธิและแปลบทพระสูตรหมายใจให้ผู้ที่อยู่ที่นี่ได้รับฟัง ตามสัญญาที่เคยมีมาก่อน
จากนั้นจึงลุกออกจากเต้นท์หวังจะออกไปสูดอากาศภายนอก อืมอากาศดีจัง ยุงสักตัวก็ไม่มี ดาวบนท้องฟ้าเยอะมาก ส่องแสงระยิบระยับเหมือนแสร้งหยอกเอินกัน สวยจับใจเหลือเกิน
ชายหนุ่มคว้ากล้องส่องดูดาวหวังเก็บภาพ เจ้าหมาขาวยังคงนอนไม่รู้เรื่อง มันคงอิ่มใส้กรอกกับไก่ย่างอาหารอันโอชะไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก
เมื่อ ชายหนุ่มเงยหน้า ก็ปะทะกับแสงนั่น ลมที่สงบกลับพัดอย่างรุนแรง ใบไม้ปลิวไปทั่วบริเวณ เจ้าขาวและหมาบนดอยพร้อมใจกันส่งเสียงเห่าหอน จนรู้สึกหวั่น โปร๋ววว....
"เจ้ามีหน้าที่ๆต้องทำ เมื่อพบเราให้ฆ่าเราเสีย ไม่อย่างนั้นอีกหกปีเราจะปลิดชีวิตเจ้าเอง" เสียงนั้นดังจากทุกทิศทุกทาง แล้วหายไปพร้อมกับลำแสงและสายลมที่กลับมาสงบเช่นเดิม......ชายหนุ่มรับรู้ถึงอาการขนพองสยองเกล้าครั้งแรกในชีวิต
เขาก้าวเข้าเต้นท์อย่างรวดเร็ว เจอดีแล้วไอ่กรู ไปไหนก็ไม่ได้ ขอให้เช้าเร็วๆเถอะว้า..
เช้าตรู่ในวันรุ่ง.....
ชายหนุ่มเดินลงจากเขา ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ยังงงงวย ใครจะเอาชีวิตใคร แล้วหน้าที่ที่ต้องทำคืออะไร
"_ พี่ครับขอตั๋วรถไฟไปเชียงใหม่หนึ่งที่ครับ_"
"รออีก2ชม.นะ จะเปิดจำหน่ายตั๋ว" เจ้าหน้าที่ตอบโดยไม่เงยหน้า สาระวนกับเอกสารที่อยู่ตรงหน้า
"_พี่ครับผมเดินเข้าไปดูข้างในอุโมงค์รถไฟได้มั้ย_"
"อือ.. ได้...อีกนานกว่ารถไฟจะเข้ามาสถานี ถ้ามีรถไฟมาก็หลบตรงช่องข้างอุโมงค์ในอุโมงค์นั่นนะ" เจ้าหน้าที่เงยหน้าตอบ และก้มหน้าก้มตาจัดการกับเอกสารต่อพร้อมบ่นพึมพำ คงกำลังหาเอกสารสำคัญอยู่กระมัง ชายหนุ่มจึงหลบลี่ยงเดินออกมา
ระหว่างทางก่อนเข้าอุโมงค์นั้น จะมีหลุมป้ายจารึกของผู้ที่ออกแบบก่อทางรถไฟอุโมงค์ขุนตาล คือวิศวกรช่างเยอรมันมาสำรวจการเจาะอุโมงค์ซึ่งเป็นหินแกรนิต เมื่อปี พ.ศ. 2450 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และเสร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ.2461 นับเป็นการเปิดเส้นทางคมนาคมสู่ภาคเหนือที่สำคัญครั้งหนึ่งของไทยเลยทีเดียว
แต่อย่างไรก็ดีการเจาะอุโมงค์นี้เป็นการเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่งจนเกิดอุบัติเหตุทำให้เสียชีวิตบ่อยครั้ง คนงานที่มาเป็นกรรมกรรับจ้างขุดเจาะอุโมงค์ส่วนมากจะเป็นชาวอีสานและคนพื้นเมือง อุโมงค์นี้ขุดทะลุภูเขาบริเวณใจกลางอุทยาน ฯ ระหว่างจังหวัดลำปางและลำพูน
เป็นอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาวทั้งสิ้น 1,352 เมตร รถไฟใช้เวลาวิ่งผ่านอุโมงค์นี้เป็นเวลากว่า 5 นาที ใช้เวลาสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2450 ถัดจากอุโมงค์รถไฟไปทางที่ทำการอุทยานฯ ราว 1,000 เมตร มีพลับพลารัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จฯมาดอยขุนตาล และศาลเจ้าพ่อขุนตาล
เดินเข้าไปไม่ถึงสิบเมตรภายในอุโมงค์เริ่ม ชื้นและอึดอัด กลิ่นของน้ำมันหล่อลื่นรางรถไฟกระจายไปทั่ว และเริ่มมืดจนมองแทบไม่เห็นรางรถไฟ รู้สึกเสียวสันหลังวาบยิ่งรู้ประวัติการก่อสร้างที่นี่
แสงอะไร แสงนั้นพุ่งเข้ามาหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว โอ๊ะ...แสงนั้นพุ่งทะลุตัวชายหนุ่มสว่างโพลงจนแลไม่เห็นตัวเจ้าของ รถไฟชนรึ เราตายแล้วรึ นี่คงเป็นสวรรค์กระมัง หมอกขาวเต็มไปหมด........
_คุณโยม...คุณโยม_" เสียงใครเรียก .ชายหนุ่มลืมตาแต่ก็ต้องหลับตาอีกครั้ง
โอ๊ะ..แสบตา รีบเอามือขยี้ตาและค่อยๆหรี่เปลือกตา
เอ๊ะ เรามานอนที่นี่ได้อย่างไร
ภาพเบื้องหน้าปรากฏที่เลือนลางชัดเจนขึ้น พระนักบวชนั่งสงบอยู่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ รายรอบไปด้วยพืชไม้ดูแปลกตา แต่ก็ยังไม่แปลกใจเท่าที่ตัวเจ้าของมานอนอยู่ทั้งๆที่จำได้ว่าเดินเข้าไปในอุโมงค์
แล้ว.....มันเกิดอะไรขึ้น
"คุณโยม..คุณโยม"..ชายหนุ่มลุกขึ้น นั่งพนมมือน้อมไหว้ ด้วยเห็นเป็นบุคคลที่อยู่ในเพศบรรพชิต
และท่านแลดูท่านจะชราภาพมากแล้ว แก้มตอบใบหน้าเหี่ยวย่น ถ้าให้คาดเดาคงอายุประมาณ80ปีน่าจะได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบ....อาคันตุกะแปลกหน้าทั้งสองผู้ในที่ๆเดียวกัน.......ณ.ดอยขุนตาน
ติดตามตอนเก่าๆ
อารัมภบท;1,2
ตอนที่3; secretความลับ
และตอนต่อๆไปด้วยครับ
ฝากเพจขบถ~ยาตราไว้ในใจเจ้าประคุณทุกท่านด้วยขอรับ🙏😊
โฆษณา