13 ต.ค. 2019 เวลา 12:39 • ธุรกิจ
ดวงลงทุน/
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
2
จากประสบการณ์กว่า 20 ปีในตลาดหุ้น ผมเองคิดว่าตนเองนั้น “โชคดีมาก” ที่เข้าตลาดเริ่มลงทุนอย่างจริงจังและ “เพื่อชีวิต” นั่นคือทุ่มเทเงินทุกบาทลงทุนในหุ้น ในเวลาที่ถูกต้องและด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้องนั่นคือ ลงทุนแบบ “VI” ในยามที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักและแทบไม่มีใครสนใจจะลงทุนหรือพูดถึงตลาดหุ้นเลย ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันเพียงไม่เกิน 3-4 พันล้านบาท ผลที่ได้รับหลังจากเวลาผ่านไปกว่า 2 ทศวรรษก็คือ ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงจนแทบไม่น่าเชื่อทำให้กลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่งสูงจากคนชั้นกลางกินเงินเดือนที่กำลังตกงานและไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องย้ายลูกจากโรงเรียนอินเตอร์ออกมาเรียนโรงเรียนไทยหรือไม่ ทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด ไม่ได้เกิดจากการวางแผนรวยจากตลาดหุ้น ว่าที่จริงในยุคนั้น มีแต่ตัวอย่างของคน “จนจากตลาดหุ้น” จนคิดฆ่าตัวตาย คนอาจจะคิดหลังจากที่ผมประสบความสำเร็จแล้วว่าผมน่าจะเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล มองขาดว่าตลาดหุ้นจะฟื้นตัวและเติบโตขึ้นมากจนทำให้กล้าลงทุนและรวยไปเลย
5
ความเป็นจริงก็คือ ผมไม่ได้คิดว่าจะรวย ผมแค่คิดไปตามสถานการณ์ว่าหุ้นในขณะนั้นมีราคาถูกมาก หุ้นระดับที่น่าจะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ในความหมายปัจจุบันที่มีราคาแพงลิ่วค่า PE 30-40 เท่าขึ้นไปนั้น ในตอนนั้นมีค่า PE แค่ 10 เท่า บางตัวจ่ายปันผลเกือบ 10% ต่อปี แต่ก็ไม่มีคนสนใจที่จะซื้อ เหตุผลก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่ “กล้าเสี่ยง” มากกว่าการฝากเงินในธนาคารหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลซึ่งจำนวนมากก็คือนักธุรกิจ ต่างก็ไม่มีเงินสดและจำนวนมากติดหนี้สินรุงรัง ส่วนคนกินเงินเดือนนั้น ส่วนมากก็ยังต้องผ่อนบ้านและรถ และคนที่มีเงินเก็บเป็นเงินสดนั้น น้อยคนที่จะกล้า “เล่นหุ้น” ที่เป็นกิจกรรมที่เสี่ยงที่สุดอย่างหนึ่งรองจากการเล่นม้าหรือเล่นการพนันในบ่อน และผมเองก็เป็นคนหนึ่งในนั้น ผมโชคดีที่ไม่ได้ซื้อทรัพย์สินใหญ่โตที่ต้องทำให้ผ่อนจนไม่มีเงินเหลือเก็บ ผมไม่เคยมีบ้านแต่อาศัยบ้านทางฝ่ายภรรยาอยู่ ผมไม่มีรถส่วนตัวแต่มีรถประจำตำแหน่งใช้ ผมทำงานในธุรกิจที่ให้เงินเดือนดีคือธุรกิจหลักทรัพย์ ผมเป็นคนประหยัดอดออมตั้งแต่เด็ก ดังนั้น แม้ว่าเงินเก็บจะไม่ได้มากเมื่อคำนึงถึงอายุที่สี่สิบกว่าปีแล้ว ผมก็มีเงินเก็บในระดับที่ใช้ได้ และนี่ก็คือความโชคดีข้อที่สอง
7
เหตุผลที่ผมกล้าที่จะเข้าลงทุนในยามที่ตลาดเลวร้ายที่สุดนั้นเป็นเพราะว่ามัน “จำเป็น” และผมดูแล้วว่าความเสี่ยงยอมรับได้ถ้าทำแบบ “VI” นั่นคือ “ลงทุนในหุ้นให้คิดและทำเหมือนลงทุนในธุรกิจ” เลือกธุรกิจที่ดี นั่นคือมีความสามารถในการแข่งขันหรือมียี่ห้อที่แข็งแกร่ง มีกำไรที่ดีและมั่นคง มีการจ่ายปันผล มีผู้บริหารที่ดีและไว้ใจได้ในความซื่อสัตย์ และสุดท้ายก่อนที่จะซื้อก็คือ มีราคาหุ้นที่ถูกหรือไม่แพง ซื้อแล้วถือยาวรอให้มันเติบโต ในระหว่างนั้นก็เก็บปันผลมากินมาใช้ อย่าไปสนใจราคาหุ้นที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ทุกวันมากนัก ผมจำเป็นต้องลงทุนเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพ ไม่ได้คิดว่าจะรวยเร็ว แต่ลึก ๆ แล้วก็คิดว่ามันเป็น “โอกาสทอง” ที่จะได้เป็นเจ้าของธุรกิจที่ดีเยี่ยมด้วยเงินเพียงน้อยนิด และด้วย “มหัศจรรย์ของการทบต้น” ถ้าเราลงทุนไปเรื่อย ๆ อีก 30-40 ปีก่อนตายก็น่าจะมีเงินเป็น “พันล้านบาท” เป็นความโชคดีที่ผม “จำเป็น” ต้องลงทุนในหุ้น ไม่อย่างนั้นเงินไม่พอใช้
9
ดัชนีตลาดหุ้นช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 นั้น ต่ำมาก สิ้นปีดัชนีอยู่ที่ 373 จุด ค่า PE เฉลี่ยของตลาดเท่ากับ 6.6 เท่า และนับจากวันนั้นต่อมาอีกประมาณ 10 ปีจนถึงปี 2551 ซึ่งเกิดวิกฤติซับไพร์ม ค่า PE ส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน 10 เท่า ผลตอบแทนจากการลงทุนโดยเฉลี่ยของตลาดในช่วง 10 ปีนี้ดัชนีก็เติบโตขึ้นเป็น 858 จุดเมื่อสิ้นปี 2550 หรือให้ผลตอบแทนประมาณ 8.7% ซึ่งเมื่อรวมกับปันผลน่าจะได้ถึง 12% ต่อปีแบบทบต้น ดังนั้น จังหวะการเข้าลงทุนของผมจึงต้องถือว่า “โชคดี” แต่ที่ดียิ่งกว่านั้นก็คือการที่ผมเลือกลงทุนในหุ้นที่ถูกกว่าปกติของตลาดซึ่งก็มักเป็นหุ้นตัวเล็กที่นักลงทุนสถาบันหรือต่างประเทศไม่สนใจ นั่นทำให้ผลตอบแทนสูงกว่าปกติมากโดยที่แทบไม่ได้อาศัยทักษะพิเศษอะไรมากนัก
5
“นาทีทอง” ของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจริง ๆ นั้นเกิดขึ้นหลังจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่ดัชนีตลาดตกลงมาจาก 800 กว่าจุดเหลือเพียง 450 จุดเมื่อสิ้นปี 2551 เพราะหลังจากนั้นต่อมาอีก 4 ปี จนถึงสิ้นปี 2555 ดัชนีหุ้นก็ปรับตัวขึ้นมาถึง 1,392 จุด หรือโตขึ้นเป็นประมาณ 3 เท่าคิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 32.6% หากรวมปันผลก็คงเกิน 35%ต่อปี การปรับตัวขึ้นของดัชนีนั้น น่าจะเป็นผลมาจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของภาวะเศรษฐกิจเห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวขึ้นแรงมากจากปีละ 310,000 ล้านบาท ในปี 2551 เป็น 722,000 ล้านบาทในปี 2555 หรือโตปีละ 23.5% แบบทบต้น ซึ่งเป็นระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับระดับประมาณ 3-4% ต่อปีในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมานี้
6
ช่วงเวลานาทีทองหลังวิกฤติปี 2551 นี้ ต้องถือว่าเป็น “โชคดี” ของ “VI รุ่นใหม่” ที่มักจะเป็นคนหนุ่มสาวที่กินเงินเดือนและพอมีเงินเก็บเข้ามาลงทุนในหุ้นอย่างจริงจัง คนกลุ่มนี้แตกต่างจากนักเล่นหุ้นยุคก่อนอย่างเห็นได้ชัด พวกเขามักมีการศึกษาสูง อ่านงบการเงินเป็นและสามารถวิเคราะห์หุ้นได้ดี ที่สำคัญ พวกเขาไม่ได้มองดูหุ้นเป็นเรื่องของการพนันอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่สามารถทำให้มีชีวิตที่ดีและรวยได้ เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป นักลงทุนหนุ่มสาวหลายคนก็มีพ่อแม่ที่ร่ำรวยและทำธุรกิจที่สามารถนำเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นได้โดยที่ไม่ต้องเก็บออมเงินเอง ว่าที่จริงนักธุรกิจหลายคนเองนั้น ก็เริ่มเข้ามาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นเนื่องจากเห็นว่าหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีไม่แพ้หรือดีกว่าธุรกิจของตนเอง พวกเขาเชื่อว่า “ลงทุนในหุ้นก็เหมือนกับทำธุรกิจ” และนี่ก็เป็นสัญญาณอีกอย่างหนึ่งว่าแนวความคิด VI นั้นได้หยั่งรากลงมาในสังคมของนักธุรกิจไทยแล้ว และนี่ก็คือกลุ่ม VI ผู้ “โชคดี” ที่สามารถทำเงินจนร่ำรวยหรือเป็นเศรษฐีได้ทั้ง ๆ ที่หลายคนยังมีอายุน้อย
3
ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ตลาดหลักทรัพย์โดยภาพรวมดูเหมือนว่าจะเริ่มเปลี่ยนแปลง เกือบ 7 ปีที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นจากประมาณ 1392 จุดปรับตัวขึ้นมาเพียง 200 กว่าจุดเป็น 1626 ในวันที่ 11 ตุลาคม 2562 หรือให้ผลตอบแทนแบบทบต้นแค่ปีละ 2.3% ถ้ารวมปันผลก็แค่ประมาณ 5.3% ต่อปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ประมาณ 10% ค่อนข้างมาก และเหตุผลที่ทำให้ตลาดให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนั้นก็น่าจะมาจากหลาย ๆ ประเด็น เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่ลดต่ำลง-อย่างถาวร เนื่องจากคนไทยแก่ตัวขึ้น การเติบโตของ GDP ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมานั้นเหลือแค่เฉลี่ยเพียง 3% ต่อปีเทียบกับที่เคยเป็น 4-5% และ 7-8% ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น กำไรของบริษัทจดทะเบียนก็โตน้อยมากเฉลี่ยประมาณ 3-4% ต่อปีแบบทบต้น ที่สำคัญที่สุดก็คือ หุ้นมีราคาแพงวัดจากค่า PE เฉลี่ยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาที่ 18 เท่า มีสิ่งเดียวที่เอื้ออำนวยนั่นก็คือ อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงที่ลดต่ำลงมาเป็นประวัติการณ์ที่ 1.7% ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งนี่อาจจะทำให้ค่า PE ของตลาดที่ 18 เท่ายังพอมีเหตุผลอยู่บ้าง
2
คนที่เข้ามาในตลาดหุ้นในช่วงน้อยกว่า 7 ปีนั้น น่าจะเป็นคนที่ “โชคไม่ค่อยดี” ไม่มี “ดวง” ในการลงทุน ดังนั้น เซียนหรือคนที่รวยจากการเข้าตลาดในช่วงเวลานี้ก็คงจะมีน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วก็จะขาดทุน คนที่ยังร่ำรวยจากตลาดหุ้นและยังเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวยในการลงทุนในหุ้นและช่วยประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนใหม่ ๆ ยังเข้ามาลงทุนอยู่ ก็เพราะเขาสามารถ “เอาตัวรอด” และประคองตัวจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยมายาวนาน และนี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ “วัดฝีมือ” จริง ๆ ของ VI ไม่ใช่เรื่องของ “ดวง” ของการลงทุนที่เข้ามาถูกที่ ถูกเวลา มีเงินเริ่มต้น และกล้าเสี่ยงมากกว่าปกติ
1
โฆษณา