14 ต.ค. 2019 เวลา 12:54 • ไลฟ์สไตล์
จังหวะชีวิต
หลายคนคงจะเคยพบเจอประสบการณ์มากมายจากหลายๆ ช่วงอายุของแต่ละคน
.....บ้างก็บอกว่า เห่ย ทำไมช่วงนี้กูโชคร้ายจังหวะ
.....บ้างก็บอกว่า เห่ย กูว่าคงไม่มีใครซวยไปกว่ากูอีกแล้ว
.....และบ้างก็บอกว่า ยอมแพ้ต่อโชคชะตาแล้ว ไม่มีใครแย่ไปกว่ากูอีกแล้ว
ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ ที่แอบบ่นกับตัวเองด้วยประโยคเหล่านั้น ในหลายๆ ช่วงชีวิตของผม
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยยอมรับเลย คือ การยอมแพ้
"อย่าได้ให้ใครมาบอกลูกทีเดียวว่า ลูกทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้
แม้แต่พ่อ เมื่อมีความฝัน จงปกป้องมัน
เมื่อคนเราทำบางอย่างเองไม่ได้
พวกเขาจะบอกว่าลูกก็ทำไม่ได้ด้วย
ถ้าลูกอยากได้อะไร ไปเอามาให้ได้"
หลายคนคงคุ้นกับประโยคนี้ที่มีที่มาจากหนังดังอย่างเรื่อง "the pursuit of happiness"
https://images.app.goo.gl/2pecD7kyyu7J38eW6
คนดูเรื่องนี้ครั้งแรกบอกเลยครับ "น้ำตาตก"
แม้ว่า ทั้งหมดในทุกตอนของหนังเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตจริง แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและปรบมือให้ในตอนสุดท้าย
เวลาที่ผม ท้อใจ หมดความหวัง หรือ รู้สึกอ่อนแอ ผมมักจะหาหนังดีๆสักเรื่องดู หนังที่ให้กำลังใจ และ ขณะที่เราดูไปเราก็คิดตามไปว่าหนังให้แง่คิดอะไรกับเราบ้าง ปัญหาของเรากับเขาเมื่อเทียบกันแล้วมันเกือบจะเรียกได้ว่า "มึงผ่านไปได้ไงวะ"
ช่วงที่ผมอายุ 20 ต้นๆ ผมบอกกับตัวเองว่า ผมจะลองเรียนเนติบัณฑิตไทยดู //สำหรับผู้ที่ไม่เคยเรียนกฎหมายอาจจะไม่ค่อยรู้จักนะครับ เนติบัณฑิตยสภาในพระบรมราชูปภัมภ์หรือที่นักกฎหมายเรียกกันติดปากว่า เนฯ เป็นสถาบันที่ให้การศึกษาแก่นักกฎหมายที่สำเร็จการศึกษานิติศาสตรบัณฑิตที่เนติฯรับรอง และเมื่อสำเร็จการศึกษาจากสถาบันแห่งนี้แล้วนักกฎหมายทั้งหลายจะนำความรู้ความสามารถที่มีติดตัวไปทำประโยชน์ใดๆ
แต่ส่วนใหญ่ น่าจะร้อยละ 70% จะมุ่งเน้นไปสอบ ผู้พิพากษาหรือพนักงานอัยการ //
.... และปี 59 ผมคือหนึ่งในผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันดังกล่าว ผมบอกเลยว่าผมไม่ใช่คนเก่ง ผมจบนิติศาสตรบัณฑิต ด้วยเกรดเฉลียเพียง 2.70 แต่สิ่งหนึ่งที่ผมใช้ขณะเรียนคือ mindset
.... หลงเนติเสียเวลา หลงผู้พิพากษาเสียอนาคต คำนี้สำหรับผู้ที่เรียนกฎหมายจะเคยได้ยินบ่อยๆ มันคือความจริงครับ
ผมร้องไห้ทุกครั้งก่อนสอบ
ผมนอนวันละ 5-6 ชม ก่อนสอบหนึ่งเดือนทุกครั้งที่มีการสอบ
ไมเกรนมาเยือนตลอดเวลา
ผมจัดการสิ่งเหล่านี้ด้วย mindset คือ ผมบอกตัวเองทุกครั้งก่อนจะล้มตัวลงนอนว่า คนที่อดทนได้มากที่สุดเท่านั้น คือผู้ชนะ
และวันนั้นก็มาถึง 2ปีครับกับความอดทน
จริงแล้วผมทำงานเป็นตำรวจนายสิบไปด้วยและเรียนควบคู่กันไป
และจังหวะชีวิตก็มาถึง
เมื่อทางบ้านเริ่มมีปัญหาทางการเงิน
....
ผมจึงตัดสินใจทำธุรกิจส่วนตัว เพื่ออยากจะมีเงินมาช่วยทางบ้าน ตอนนั้นคิดแค่ว่า "พอแล้วแหละ" ทางสายกฎหมายเราคงมาไกลเกินไปแล้ว
...จากนี้ขออุทิศตัวเองเพื่อการหาเงินช่วยครอบครัว
ผมถามตัวเองเสมอว่า เราอยากเป็นอะไรวะ นักกฎหมาย หรือ นักธุรกิจ ??
แต่ตอนนี้มึงกำลังทำธุรกิจ จงโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้า นี้คือคำเตือนจากตัวผมเอง
ผมจัด mindset ใหม่ เพื่อให้สิ่งที่อยู้ตรงหน้าสำเร็จ และคำบอกกล่าวที่เตือนตัวเองก็ดังขึ้น "เหนื่อยแค่ไหนนอนเฝพักเดี๋ยวก็หาย แต่ถ้าจนมึงนอนแค่ไหนก็ไม่หายจน"
งานประจำก็ทำ + กิจการส่วนตัวก็ทำ
ผมเข้างานประจำตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 5โมงเย็น โชคดีได้งานจราจรไม่ต้องเข้าเวรกลางคืน ช่วงเย็นหลังจากกลับถึงบ้าน เปลี่ยนชุด ออกไปฟิตเนสต่อ ทำวนแบบนี้เป็นเวลา 2 ปีกว่าแล้ว
สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาจากการทำแบบนี้
4
1 ผมได้พบปะผู้คนมากขึ้น ได้พูดคุยกับน้องๆในฟิตเนส ได้เล่าประสบการณ์ตัวเอง ได้สอน ได้แนะนำ คอยช่วยเหลือน้องๆในบางเรื่อง นี่แหละคือกำลังใจสำคัญที่ทำให้เรามีแรงเดินต่อ
2 มีรายรับมากขึ้น ทุกคนในครอบครับมีความสุขขึ้น การใช้จ่ายคล่องตัวขึ้นมาก
3 มีวินัยมากขึ้น ด้วยภาระที่ต้องแบกไว้ทั้งสองหน้าที่ทำให้เราไม่สามารถ ป่วย เจ็บ ตาย ได้เลย 555 แต่โชคดีมากที่ผมออกกำลังกายทุกวัน
4 ผมกล้าตัดสินใจมากขึ้น เพราะในแต่ละวันฟิตเนสจะมีปัญหาเข้ามาให้เราแก้ตลอด ถ้าคุณไม่กล้าตัดสินใจปัญหาจะยิ่งทับถมไม่จบไม่สิ้น
5 จะทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง บางครั้งธุรกิจ มีขึ้นมีลง ถ้าใจไม่นิ่งพอคงเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านไปแล้ว
มกราหน้า ผมก็เข้าเลข 3 แล้ว ไม่รู้ว่าทางข้างหน้าจะเป็นยังไงบ้าง
... ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า "อย่ายอมแพ้" ก็พอ
by หมวดโย
โฆษณา