14 ต.ค. 2019 เวลา 16:25 • ความคิดเห็น
"การกล่าวโทษคนอื่นว่าเป็นตัวปัญหา
การโยนความผิดให้คนอื่น เป็นเรื่องที่ไร้สาระและเสียเวลาที่สุด"
1
เมื่อโยนความผิดให้คนอื่นแล้ว เราจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
เราไม่มีทางโตขึ้น และจะไม่กลายเป็นคนที่มีวุฒิภาวะ
มัวเสียเวลากับเรื่องนี้ ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น
มีทัศนคติ 2 รูปแบบที่ให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อถึงคราวที่เราต้องเผชิญกับปัญหาและความสูญเสีย
แบบแรก คือคนที่โทษคนอื่น "It's the world's fault" พวกเขาจะหาเหตุผลมาเชื่อมโยงได้หมด ว่าทำไม และอะไรบ้าง ที่โลกนี้ใจร้ายกับเขา
แบบหลัง คือคนที่ถามตัวเองว่า "มีอะไรบ้างมั้ย ที่เราพอจะทำให้ต่างไปจากเดิมได้?"
1
ลองจินตนาการถึงคู่สามีภรรยาที่กำลังจะหย่าร้าง
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เจ็บปวด และโกรธ
ฝ่ายชายตอกย้ำเรื่องเลวร้ายต่างๆที่ภรรยาเคยทำกับเขา
และเหตุผลว่าทำไม เขาถึงไม่สามารถทนอยู่กับเธอได้อีกต่อไป
เพื่อเป็นการตอบกลับ ฝ่ายภรรยาอธิบายได้เป็นฉากๆ ว่าสามีของเธอเคยทำให้เธอเสียใจอย่างไรบ้าง ย้ำว่า เป็นฉากๆ
ทั้งคู่ต่างก็มีลิสท์รายการสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยน
สำหรับอีกฝ่าย
โอกาสที่ทั้งคู่จะคืนดีกัน แทบจะเป็นไปไม่ได้
ทำไมล่ะ?
เพราะคนอื่นไม่ใช่ปัญหา เราเองนั่นแหละตัวปัญหา
เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนตัวเองได้
แต่มันยาก
มันต้องแลกกับความพยายาม และวินัย
มันง่ายกว่ามาก และสบายกว่ามาก ที่จะโทษคนอื่น
สำหรับความทุกข์ยากของตัวเราเอง
ลองนึกถึงกลุ่มคนที่ออกมาแสดงความไม่พอใจกับรัฐบาลหรือกลุ่มนายทุนใหญ่
ด้วยการปาหินใส่กระจกร้านสะดวกซื้อหรือพ่นสีใส่อาคารสาธารณะ
พวกเขาทำอะไรบ้างนอกจากสร้างความเดือดร้อนให้คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ?
ความรู้สึกผิด ความคลางแคลงใจ และความอับอายต่อตัวเอง
ถูกซ่อน และกดทับไว้
เพื่อให้ความเชื่อของพวกเขา ไม่เปลี่ยน
ความเชื่อที่ว่า ปัญหาอยู่ที่คนอื่น
ยิ่งพยายามผลักความรับผิดชอบไปอยู่ที่คนอื่นมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มเชื้อไฟให้ความโกรธและการบาดหมางมากเท่านั้น
จริงอยู่ว่ามีบางคนที่เกิดมาพร้อมชะตากรรมที่โหดร้าย
แต่พวกเราส่วนใหญ่ไม่เป็นอย่างนั้น
พวกเราส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น
แต่ ยังไงล่ะ?
เริ่มด้วยสิ่งเล็กๆ
ลองตั้งคำถามกับตัวเอง
ว่าใช้ประโยชน์สูงสุดกับโอกาสที่ได้รับรึยัง?
ว่าได้ใช้ความสามารถในเวลาเรียนเวลางาน เต็มที่รึยัง?
ว่าทำให้ ‘บ้าน’ เป็นระเบียบ ทั้งในรูปธรรมและนามธรรมรึยัง?
ถ้าคำตอบคือ ยัง
ลองงี้
ลองหยุดทำเรื่องที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันผิด
หยุดตอนนี้เลย
อย่าเสียเวลาตั้งคำถามว่าจะรู้ได้ไงว่าที่เราทำอยู่ผิดหรือถูก
บางคำถามทำให้สับสนมากกว่าจะทำให้เกิดการเรียนรู้ และทำให้หันเหจากการลงมือทำ
เราสามารถรู้ได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
โดยไม่ต้องรู้ว่า ทำไม
ลองสังเกตจากพฤติกรรม
ผัดวันประกันพรุ่งมั้ย?, มาสายมั้ย?, ใช้เงินเกินตัวมั้ย?
มันไม่เกี่ยวกับว่าค่านิยมในสังคมมองว่าอะไรดี ไม่ดี
ลองตั้งคำถามกับมโนธรรมของตัวเอง
เรื่องไหนที่เราทำแล้วรู้สึกว่าผิด จากมุมมองของเรา?
แล้วเรื่องไหนบ้างที่เราทำให้ดีขึ้นได้ ตอนนี้?
เข้างานตรงเวลา, เลิกสร้างศัตรู, คืนดีกับสมาชิกในครอบครัว
สร้างประโยชน์จากสิ่งที่มีในมืออยู่แล้วด้วยความมานะ
ทำของพวกนี้ โดยหวังว่าเราจะพัฒนาขึ้น
หวังว่าเราจะจิตใจสงบมากขึ้น โปรดักทีฟขึ้น และเป็นที่ต้องการของผู้คนรอบข้างมากขึ้น
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง หวังว่าชีวิตเราจะเศร้าน้อยลง
และจะกลายเป็นคนที่มีความมั่นใจมากขึ้น
เราจะเริ่มมองเห็นสิ่งถูกและผิด ชัดเจนขึ้น
แสงจะเริ่มส่องให้เห็นเส้นทางข้างหน้ามากขึ้น
เราจะเลิกขวางทางตัวเอง
แทนที่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง, ให้ครอบครัว, ให้สังคมรอบข้าง
เราจะกลายเป็นพลังบวกและพึ่งพาได้
ชีวิตจะยังยากเหมือนเดิม
เราจะยังคงประสบความลำบากและการสูญเสีย
นั่นเป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการมีชีวิต
แต่บางทีเราอาจจะแข็งแรงพอที่จะรับมันได้
อาจจะสามารถทำอะไรอย่างกล้าหาญและมีเป้าหมาย
วิธีที่เหมาะสมในการเปลี่ยนโลก ไม่ใช่การเปลี่ยนโลก
มันไม่มีเหตุผลที่เราจะเก่งพอจะทำเรื่องอย่างนั้นได้
แต่เราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้
มันไม่ใช่เรื่องเสียหายกับใครอยู่แล้วถ้าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดี
และด้วยวิธีนี้แหละ เราจะทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น
1
Make the world a better place
โฆษณา