16 ต.ค. 2019 เวลา 10:58 • ประวัติศาสตร์
สงครามไครเมีย (ค.ศ. 1854-1856)
2
สงครามไครเมียเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการใช้ดุลแห่งอำนาจในทวีปยุโรป ระหว่างรัสเซีย อังกฤษ ออสเตรีย และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้เล่นที่สำคัญ ในการใช้อาณาจักรออตโตมันเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้ง
1
สงครามไครเมียเป็นหนึ่งในการใช้กำลังของมหาอำนาจยุโรปในการรักษาสถานภาพเดิมของยุโรป สาเหตุหนึ่งของสงครามมาจากการแตกสลายของระบบคอนเสิร์ตแห่งยุโรปและความพยายามในการรักษามันไว้ เราจึงเห็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจในการรบ (ฝรั่งเศสมาอยู่กับอังกฤษ ออสเตรีย ในขณะที่รัสเซียถูกรุมจากอดีตพันธมิตรในช่วงคอนเสิร์ต)
1
คำอธิบายง่ายๆ ของสงครามไครเมียคือ เป็นสงครามระหว่างรัสเซียกับจักรวรรดิ์ออตโตมัน เพื่อตัดสินว่า ใครจะครอบครองช่องแคบเตอร์กิช และควบคุมทะเลดำ สิ่งที่รัสเซียต้องการมาโดยตลอดคือการควบคุมทางออกทางทะเลน้ำอุ่น เพื่อให้กองทัพเรือของรัสเซียสามารถออกรบได้ทั้งปี แต่มันติดอยู่ที่ทะเลน้ำอุ่นทางใต้นั้น มีจักรวรรดิ์ออตโตมันที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร และร่ำรวยมหาศาลคอยควบคุมการเดินเรือแถบนั้นเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี การตกต่ำของจักรวรรดิ์ออตโตมันในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากการเมืองภายในประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และการคอร์รับปชั่น ทำให้รัสเซียย่ามใจคิดว่า นี่แหล่ะคือโอกาสดีแล้วที่ฉันจะลงไปบุกออตโตมันเพื่อแย่งชิงฐานทะเลน้ำอุ่นมาไว้ในครอบครอง
7
ต้นตอของความขัดแย้ง
2
1. สงครามไครเมียเกิดขึ้นจากการที่ ฝรั่งเศสโดยนโปเลียนที่ 3 และรัสเซียโดยนิโคลัสที่ 1 ต่างแย่งกันคุ้มครองสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์ในปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของออตโตมันในขณะนั้น
2
2. ในตอนแรกนโปเลียนที่ 3 ของฝรั่งเศสเสนอจักรวรรดิ์ออตโตมัน ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1851 ว่าว่าฝรั่งเศสต้องการปกป้องชาวคริสต์คาธอลิคในปาเลสไตน์ การเสนอเช่นนี้ของนโปเลียนที่ 3 ทำให้รัสเซียไม่ค่อยพอใจ รัสเซียอ้างข้อความในสนธิสัญญา กุ๊ตชุคไกนาร์ดจิ (ค.ศ. 1774) ว่าตามสนธิสัญญาแล้วว่ารัสเซียมีสิทธิ์ปกป้องชาวคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ใน โลกนี้ทุกแห่ง ซึ่งรวมทั้งดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ในปาเลสไตน์ด้วย
3. ในสนธิสัญญากุ๊ดชุคไกนาร์จิ (ค.ศ. 1774) มีอยู่ว่า หลังจากที่ออตโตมันแพ้สงครามกับรัสเซียแล้วรัสเซียจะคืนเมืองวัลลาเชีย(Wallachia) กับมอลเดเวีย (Moldavia) ให้กับจักรวรรดิ์ออตโตมัน แต่รัสเซียจะต้องมีสิทธฺในการปกป้องคริสตศาสนิกชนในจักรวรรดิ์ออตโตมัน หากออตโตมันไม่ยอมทำสัญญารัสเซียจะบุกสองเมืองนี้
3
4. จากการที่จักรวรรดิ์ออตโตมันยอมรับข้อเสนอของนโปเลียนที่สาม นิโคลัสที่ 1 จึงโกรธจักรวรรดิ์ออตโตมันว่าทำไมถึงละเมิดสนธิสัญญานี้ จึงสั่งให้นายพลพัสเกวิชส่งกองทัพไปยึด 2 เมือง ซึ่งเป็นดินแดนของตุรกีภายใต้ความดูแลของรัสเซีย
5. เมื่อ อังกฤษ และฝรั่งเศส เห็นรัสเซียประกาศสงครามกับจักรวรรดิ์ออตโตมัน พวกเขาจึงประกาศสงครามกับรัสเซีย (ค.ศ. 1854)เพราะเห็นว่าถ้าปล่อยไว้เช่นนั้นยังไงจักรวรรดิ์ออตโตมันก็แพ้แน่นอน
2
สาเหตุที่อังกฤษและฝรั่งเศสต่างประกาศสงครามกับรัสเซีย
1. อังกฤษไม่ต้องการให้อาณาจักรออตโตมันสลายตัวไป ออตโตมันกำลังอ่อนแอลงมาก อังกฤษเชื่อว่าหากรัวเซียรบกับออตโตมันอย่างหนักก็มีสิทธิที่ออตโตมันจะสลายตัวไป กลายเป็นรัสเซียที่ได้ดินแดนแถบนั้นเอง ในฐานะเจ้าโลกเจ้าสมุทร...อังกฤษไม่ต้องการให้รัสเซียมีทางออกทางทะเล เพราะหากรัสเซียมีทางออกทางทะเล รัสเซียจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีอำนาจมากขึ้น และมาท้าทายอำนาจของอังกฤษ โดยเฉพาะอำนาจในเอเชีย
3
2. พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ต้องการแก้แค้นความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสที่มีต่อรัสเซียในปี ค.ศ. 1812-1813 พระเจ้านโปเลียนที่ 3 เชื่อว่า หากรัสเซียในที่นี้ ก็จะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ได้ว่าพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แก้แค้นให้แก่พระเจ้านโปเลียน โบนาปาร์ต
3. ออสเตรียเข้ามาอยู่ข้างอังกฤษกับฝรั่งเศส เพราะออสเตรียยังต้องการให้มีอาณาจักรออตโตมันเหมือนเดิม เพราะหากอาณาจักรออตโตมันสลายตัวไป รัสเซียจะยิ่งใหญ่จนสามารถควบคุมแม่น้ำดานูปได้ ซึ่งจะเป็นภัยต่อราชวงศ์แฮปสเบริ์กในภายหลัง
1
ในการรบคราวนี้ ประเทศรัสเซียมีความเสียเปรียบมาก เนื่องจากประเทศพันธมิตรต่างช่วยกันอย่างแข็งขันต่อต้านอำนาจของรัสเซีย รัสเซียมีกองทัพที่อ่อนแอ เทคโนโลยีล้าหลัง และการบริหารภาครัฐไม่มีประสิทธิภาพ ความอ่อนแอของรัสเซียและความเข้มแข็งของพันธมิตรทำให้รัสเซียล่าถอยลงทุกวัน ในที่สุดนิโคลัสที่ 1 ตายก่อนที่สงครามไครเมียจะจบลงและได้ตายไปพร้อมความพ่ายแพ้ของรัสเซีย ทิ้งไว้ให้ทายาทของพระองค์ต้องมาทำสนธิสัญญาสงบศึก ได้แก่ สนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1856)
หลังจากพ่ายแพ้สงครามอย่างยับเยินรัสเซียและพันธมิตรได้เซ็นสัญญาปารีส (ค.ศ. 1856) เพื่อยุติสงครามโดยรัสเซียถูกตัดแขนขาไปอย่างมาก เช่น การที่รัสเซียจะต้องไม่สร้างป้อมค่ายใดๆ บนทะเลดำ การกำหนดให้แม่น้ำดานูปเป็นแม่น้ำนานาชาติ เป็นต้น ซึ่งวิธีการนี้ทำให้สถานภาพของรัสเซียที่เคยเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจจะต้อง ล่าถอยกลับไปอยู่ในภาคพื้นทวีป อำนาจของรัสเซียเริ่มจะกลายเป็นมหาอำนาจอีกครั้งหนึ่งเริ่มต้นอีกครั้งใน ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เอง
ในทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สงครามไครเมีย คือหมุดหมายที่สำคัญของการสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการของระบบคอนเสิร์ตแห่งยุโรปที่ได้ก่อร่างสร้างตัวมาเมื่อ ครึ่งศตวรรษที่แล้ว และกลายเป็นเส้นทางใหม่ของความขัดแย้งในยุโรปตลอดช่วงศตวรรษที่เหลือ
1
สำหรับรัสเซีย การพ่ายแพ้ในสงครามไครเมีย ได้ทำให้พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ที่ทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้านิโคลัสที่ 1 พยายามเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทันสมัยยิ่งขึ้น เพราะตระหนักว่า การแพ้สงครามของรัสเซียนั้น ส่วนหนึ่งมาจากความล้าสมัยในด้านต่างๆ เมื่อเทียบกับกองทัพที่มีทั้งเทคโนโลยีและระบบสั่งการที่มีประสิทธิภาพของเหล่ายุโรปตะวันตก พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สองทรงสนับสนุนการสร้างทางรถไฟในยุโรป เพื่อให้สนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและการส่งกองกำลังทางการทหาร นอกจากนี้พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ยังหวนกลับไปคืนดีกับฝรั่งเศส โดยทำสนธิสัญญาปารีส (ค.ศ. 1856) ด้วยกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน จึงกล่าวได้ว่า ในทางหนึ่ง สงครามไครเมียได้นำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมและการทำให้เป็นสมัยใหม่ของรัสเซีย
6
ประเทศที่ได้รับผลกระทบทางการทูตมากที่สุดได้แก่ออสเตรีย คือหลังจากที่ร่วมกับพันธมิตรเข้าไปต่อตีรัสเซีย ทำให้รัสเซียงดให้ความสนับสนุนทุกอย่าง ออสเตรียจึงต้องหันไปพึ่งพาฝรั่งเศสกับอังกฤษมากขึ้น ซึ่งทั้งสองประเทศก็ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก เพราะทั้งสองประเทศไม่ได้ให้ความช่วยเหลือออสเตรียแม้แต่อย่างใดในคราวสงครามรวมชาติเยอรมันและอิตาลี โดยพระเจ้านโปเลียนที่สองรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณของซาดิเนียที่ได้เคยช่วยเหลือกันมาในครั้งสงครามไครเมีย พระเจ้านโปเลียนที่ 3 จึงให้การสนับสนุนการปฏิวัติของซาดิเนียในแคว้นลอมบาดีและเวนีเซีย นอกจากนี้ฝรั่งเศสยังวางตัวเฉย ในตอนที่ออสเตรียทำสงครามกับปรัสเซียในปี ค.ศ. 1866
2
จึงกล่าวได้ว่า สงครามไครเมียเป็นสงครามที่มีความสำคัญมาก ทั้งเป็นจุดหมุดหมายของการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 19 อีกทั้งเป็นจดุเริ่มต้นของระบบพันธมิตรใหม่ในยุโรป ซึ่งจะเป็นที่มาของแผนที่ของยุโรปที่จะเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง... อย่างถาวร
1
เครดิต : FB: อำนาจ ดุลแห่งอำนาจ และ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โฆษณา