20 ต.ค. 2019 เวลา 04:00 • กีฬา
[ #แดงเดือดเลือดพล่าน ]
แมนฯยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูลมีความเหมือนในเรื่องความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
นี่คือสองสโมสรที่ได้รับการยกย่องมากสุดของสหราชอาณาจักรหรือเกรต บริเทน
แต่ในความเหมือนที่ว่ากลับมีต้นตอที่เกิดมาจากความแตกต่างและความขัดแย้งอย่างชัดเจน
แมนเชสเตอร์กับลิเวอร์พูลคือสองเมืองใหญ่ที่วางตัวอยู่ทางตอนเหนือของอังกฤษ
แม้จะได้ขึ้นชื่อว่าอิงลิชเหมือนกัน ทว่ารายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งเกิดมาจาก "ท้องถิ่นนิยม" ก่อให้เกิดการขับเคี่ยวแข่งขันกันมากขึ้น
จุดเริ่มต้นน่าจะมาจากในความเป็นเมืองท่าของลิเวอร์พูล ที่เคยสร้างงานสร้างเงิน จนทำให้เศรษฐกิจอู้ฟู่รุ่งเรืองมาตั้งแต่กลางศตวรรษ 18
สินค้าที่จะมาลงแมนเชสเตอร์ต้องล่องเรือขนส่งผ่านลิเวอร์พูลมาก่อน ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมไม่ว่าจะเรื่องการขนส่ง รวมทั้งจ่ายค่าวัสดุที่ต้องมาใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า
หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมแมนเชสเตอร์กลายเป็นแหล่งใหญ่ผลิตผ้าทอ แต่แมนคูเนี่ยนทั้งหลายโดนกดขี่จากฝั่งลิเวอร์พูลหรือพวกสเก๊าเซอร์ ที่เป็นเหมือนนายทุน คอยกำหนดควบคุมราคาของวัตถุดิบ
แมนเชสเตอร์จึงแค้นมาก กระทั่งลงทุนขุดคลองความยาว 36 ไมล์ ซึ่งทำให้เรือบรรทุกสินค้าดิ่งตรงมาหาได้เลย ไม่ต้องไปขึ้นกับลิเวอร์พูลอีกแล้ว ไม่ต้องง้อกันอีกต่อไป
นอกจากนี้ยังพยายามที่จะเขี่ยสเก๊าเซอร์ให้หลุดจากสารบบนายทุน เอารัดเอาเปรียบ ชอบทำนาบนหลังคนอีกด้วย
ก่อนจะมีคำที่ใช้ล้อกันกระทั่งทุกวันนี้ว่า "Lazy Scousers" หรือพวกสเก๊าเซอร์สันหลังยาวนั่นแหล่ะ แถมมีการเติมอีกท่อนภายในช่วงหลังว่าอยู่ในห้องเช่าเท่าแมวดิ้น กินหนูเน่าเป็นอาหาร
การมาของคลองขุดก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ลมเปลี่ยนทิศแล้ว แมนเชอร์เตอร์ค่อยๆร่ำรวยมากขึ้น ผิดกับลิเวอร์พูลที่โดนความขัดสนกลืนกินมาเรื่อยๆ
แล้วอย่างที่รู้กันนับตั้งแต่ต้นศตวรรษ 19 สังคมของอังกฤษเปลี่ยนไป นอกจากเบียร์ที่เข้ามามีบทบาทเพื่อผลประโยชน์บางอย่างแล้ว ฟุตบอลยังคืบคลานเข้ามา
ทั้งเบียร์และบอลคือสองสิ่งหลักๆที่สร้างสันทนาการบันเทิงให้กับพวกคนชั้นล่างหรือชนใช้แรงงาน
บรรดาอาจารย์หรือนักวิชาการต่างๆ จึงเชื่อว่าคนอังกฤษถูกมอมเมาด้วยเบียร์กับฟุตบอล จนภายหลังยึดตรึงแน่นยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้
ในขณะที่เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยม ถึงขั้นกินแทนน้ำ อีกทั้งรัฐบาลเปิดโอกาสให้ต้มเพื่อการค้าได้ การแข่งขันจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นกลายเป็นผลดีกับผู้บริโภค
ส่วนฟุตบอลก็มีอิทธิพลมากขึ้น ทุกบ่ายสามวันเสาร์แทบทุกคนจะหยุดทำทุกอย่างเพื่อไปเชียร์ทีมรัก หลังจากนั้นมาซดเบียร์กันต่อ จนเป็นพฤติกรรมเคยชิน ขาดไปไม่ได้เด็ดขาด
แน่นอนความเข้มข้นในการขับเคี่ยวอุตสาหกรรมไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องเดียวระหว่างแมนเชสเตอร์กับลิเวอร์พูล
ฟุตบอลที่ตามมาภายหลังก็ค่อยๆทรงพลังมากขึ้น
นั่นอาจจะเป็นจุดเล็กๆก่อนขยายวงกว้างนำไปสู่ความเป็นศัตรูของแมนฯยูไนเต็ดกับลิเวอร์พูล
ทางตอนเหนือของอังกฤษเปรียบเสมือนชุมทางลูกหนัง มีสโมสรฟุตบอลเกิดขึ้นมากมาย นักเตะมาจากหลากหลายทั้งสก๊อตแลนด์ , เวลส์และไอร์แลนด์
แรกๆความสำเร็จกระจายออกไปหลายสโมสร ทศวรรษ 30 โดยเฉพาะช่วงกลางอาร์เซน่อลครองความยิ่งใหญ่
ฤดูกาล 1946/47 หงส์แดงผงาดแชมป์ดิวิชั่น 1 เดิมหรือลีกสูงสุดได้สำเร็จ เป็นสมัยที่ 5
ตอนนั้นแมนฯยูไนเต็ดเพิ่งเคยสัมผัสแค่ 2 หนเท่านั้น เรียกว่าเป็นรองอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามทศวรรษ 50 ในยุคที่ได้ เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ มากุมบังเหียนปีศาจแดงฟอร์มรุดหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งในซีซั่น 1956/57 ที่ป้องกันถ้วยสำเร็จ ทำให้ตัวเลขแชมป์เท่ากันที่ 5 สมัย
ขณะเดียวกันลิเวอร์พูลไม่ได้สนใจเอฟเวอร์ตันคู่แข่งร่วมเมืองสักเท่าไร แม้จะตามไล่บี้กันมา โฟกัสมาที่ยูไนเต็ดมากกว่า ราวกับว่ามีอดีตเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ
ทั้งที่ทอฟฟี่สีน้ำเงินเองได้แชมป์ลีกสูงสุดสมัย 6 ก่อนลิเวอร์พูลด้วยซ้ำ
ความเร้าใจมาเกิดขึ้นในทศวรรษที่ 60 เริ่มจากฤดูกาล 1963/64 หงส์แดงซิวแชมป์ครั้งที่ 6 แต่พออีกซีซั่นถัดมาแมนฯยูไนเต็ดแย่งคืนกลับมาบ้าง ได้เท่ากันพอดีเป๊ะ
ลิเวอร์พูลใช้ศัตรูเป็นแรงขับดันบ้าง ฤดูกาล 1965/66 ยึดบัลลังก์ได้สำเร็จ อีกทั้งนำไปก่อน 7-6 สมัย ภายใต้การคุมทีมของปรมาจารย์อย่าง บิล แชงคลี่ย์
เรื่องน่าเหลือเชื่อคือพอ 1966/67 ปีศาจแดงทวงคืนอีกคำรบมาหยุดที่ 7 ครั้งเท่ากันอีก สำคัญกว่านั้นคือปีรุ่งขึ้นครองยูโรเปี้ยน คัพหรือเทียบเท่ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นสโมสรแรกของอังกฤษอีกต่างหาก
หลังจากนั้นทั้งคู่ว่างเว้นไปนานถึง 5 ปี มีลีดส์ ยูไนเต็ดมาแทรกจังหวะ จนซีซั่น 1972/73 ช่วงท้ายของ แชงคลี่ย์ หงส์แดงจึงครองสมัยที่ 8
ในขณะที่แมนฯยูไนเต็ดทรุดหนักถึงขั้นตกชั้นในปี 1974 แต่ลิเวอร์พูลกลับเฟื่องฟูตามลำดับ ในยุคเปลี่ยนผ่านมาให้ บ็อบ เพสลี่ย์ นั่งเก้าอี้กุนซือสานต่อ
กลาง 70 ถึงต้น 90 ถือเป็นช่วง "หงส์แดงครองเมือง" อย่างแท้จริง เพราะกวาดแชมป์ลีกสูงสุดไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่ายๆ แม้จะเปลี่ยนให้ โจ เฟแกน หรือ เคนนี่ ดัลกลิช กุมบังเหียนในแบบฉบับบูธรูมเทรดดิชั่นก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรทั้งสิ้น
ฤดูกาล 1989/90 ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์สมัยที่ 18 ในขณะที่ปีศาจแดงกลายเป็นพวกไม้แคระแกร็นไม่มีการเติบโตสิงอยู่ 7 สมัยมาตั้งแต่ปี 1967 ห่างกันถึง 11 แทบไม่ได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ห้ำหั่นกันสมน้ำสมเนื้อเลย
ใครล่ะจะไปคาดคิดว่า 20 ปีถัดมาแมนฯยูไนเต็ดจะเข้าเกียร์ห้ากวดมาจนแซง
แต่มันเกิดขึ้นแล้วนับตั้งแต่เปลี่ยนจากดิวิชั่น 1 มาเป็นพรีเมียร์ชิพหรือพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน
นับตั้งแต่ฤดูกาล 1992/93 มาจนถึงตอนนี้แมนฯยูไนเต็ดได้แชมป์ลีกสูงสุด 13 ครั้ง ด้วยฝีมือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คนเดียวเพียวๆ
จากตัวเลขแค่ 7 เปลี่ยนเป็น 20 ขึ้นแท่นครองสถิติสูงสุดอย่างผ่าเผย แซงหน้าหงส์แดงเมื่อจบฤดูกาล 2010/11
เร้ด อาร์มี่ทั้งหลายร้องกันลั่นเพื่อให้ทางฝั่งลิเวอร์พูลได้ยินกันชัดๆ
"Are you watching Merseyside?" -- มันช่างเป็นเพลงที่เสียดเย้ยเสยใจดำเดอะ ค็อปทั้งหลายจริงๆ
ในช่วงอำนาจเปลี่ยนผ่านมายังแมนฯยูไนเต็ด ความเจ็บช้ำยิ่งทวีขึ้นในความรู้สึกของลิเวอร์พูล
วลีคลาสสิคที่ เฟอร์กี้ กล่าวไว้คือ "ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สุดของผม ก็คือการเขี่ยลิเวอร์พูลลงจากบัลลังก์ให้ได้ คุณพิมพ์คำพูดผมไว้เลยนะ"
ตอนนั้นกุนซือสก๊อตติชมั่นใจอย่างมากที่จะสอยหงส์ให้ร่วงจากคอน ก่อนจะทำได้สำเร็จนั่นแหล่ะ
อย่างไรก็ตามพอ เฟอร์กี้ รีไทร์ตัวเองในปี 2013 หลังนำคว้าแชมป์สมัย 20 ดูเหมือนว่าสายลมจะค่อยๆหันเหเปลี่ยนทิศ
แม้จากนั้นลิเวอร์พูลจะยังไม่เคยเอื้อมหยิบแชมป์สำเร็จเลย แต่ก็ส่งสัญญาณเตือนมาเรื่อยๆ
ซีซั่น 2013/14 พวกเขาเข้าป้ายรองแชมป์อย่างเจ็บปวด ทั้งที่นำโด่งมาตลอด พอพลาด 3 นัดสุดท้าย วิมานสวรรค์ข้างหน้าพังครืนลงมาทันที
อย่างไรก็ตามฤดูกาลที่แล้ว ภาพความใกล้เคียงแจ่มชัดมากเข้าไปอีก แม้จะรองแชมป์แต่เก็บไปถึง 97 คะแนนด้วยกัน
กระนั้นการได้ถือเจ้าบิ๊กเอียร์ฉลองในฐานะแชมป์ยุโรป ก็ย่อมยัดเยียดความเจ็บช้ำกลับไปที่เร้ด อาร์มี่ได้ไม่น้อย
ล่าสุดโมเมนตัมเหวี่ยงมาที่ลิเวอร์พูลสุดพลัง ด้วยการออกสตาร์ต 8 นัดชนะเรียบวุธ เก็บ 24 คะแนนเต็มทิ้งห่างแมนฯซิตี้แชมป์เก่าถึง 8 แต้ม
และโกยหนีปีศาจแดงที่หล่นไปอยู่ครึ่งล่างตาราง 15 แต้ม
โอกาสที่หงส์แดงจะครองแชมป์สมัย 19 และเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีอยู่แค่เอื้อมถึงแล้ว
จริงที่ว่าความเข้มข้นเมื่อสองทีมเผชิญหน้ากันย่อมลดลง แต่หากนึกเรื่องเล่าจากปูมหลังแล้ว เดอะ ค็อปทั้งหลายน่าจะตื่นเต้นมากๆ
ไม่แน่เหมือนกันผลแดงเดือดขบวนล่าสุดที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ อาจจะทำให้เราเห็นภาพบางอย่างชัดเจนขึ้น
นี่แหล่ะคือน้ำเนื้อในความเป็นแดงเดือดอย่างแท้จริง
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา