21 ต.ค. 2019 เวลา 02:02 • บันเทิง
“นกชนิดเดียวกัน.... จะอยู่ในฝูงเดียวกัน"
"คนที่เสมอกัน.... จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”
เราอยู่ในโลกของพลังงาน
ทุกสิ่งทุกอย่าง (แม้แต่วัตถุที่เป็นของแข็ง)
ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้ว
มันกำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา
หากส่องเข้าไปดูในระดับอะตอม
นักวิทยาศาสตร์ได้พบ
ความจริงข้อนี้ แล้ว
ประกาศออกมาเป็นทฤษฎี
ควอนตัมฟิสิกส์
ซึ่งความจริงนั้น
พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้
มาเกือบสองพันหกร้อยปีแล้ว
และตรัสไว้ผ่านทาง
หลักธรรมคำสอน ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า
ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง)
ต้องเปลี่ยนแปลง (ทุกขัง)
และไม่มีตัวตน (อนัตตา)
สามสภาวะนี้เรียกรวมกันว่า
“กฎไตรลักษณ์”
กฎข้อนี้ในบางส่วน
นักจิตวิทยาก็ค้นพบ
เขาจึงกล่าวว่า
“จิต” เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง
พลังงานจะอยู่ในรูปของ
คลื่นความถี่ ที่สั่นสะเทือน
อยู่ตลอด ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
แต่รับรู้และใช้ประโยชน์จากมันได้
เช่น คลื่นโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น
ชีวิตทางกายภาพของมนุษย์
ประกอบด้วยส่วนต่างๆ อยู่ ๒ ส่วน คือ
๑. ส่วนที่เป็นกายภาพ
สามารถสัมผัสจับต้องได้
มองเห็นได้ เรียกว่า “กายเนื้อ”
ภาษาธรรมะเรียกว่า “รูป”
๒. ส่วนที่เป็นพลังงาน
สัมผัสถูกต้องไม่ได้ เรียกว่า “กายใน”
เป็นพลังงานเรืองแสง
มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
กายในดังกล่าวนี้จะแทรก
อยู่ในกายเนื้อ
คนโบราณเรียกว่า “กายทิพย์”
ทางพระเรียกว่า “นาม”
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอธิบาย
ละเอียดลึกซึ้งลงไปอีกว่า
นามนั้นประกอบด้วย
ความรู้สึก (เวทนา),
ความจำ (สัญญา),
ความคิด (สังขาร),
การรับรู้ (วิญญาณ)
ข้อดีของสัจธรรมก็คือ
เป็นกฎของธรรมชาติ
ที่ให้ผลเป็นจริง อยู่เหนือกาลเวลา
และนำมาปรับใช้ได้
กับทุกยุคทุกสมัย
เคยสงสัยไหมว่า
ทำไมในชีวิตประจำวัน
เราต้องมาพบ
มาทำงานร่วมกับคนคนนี้
ซึ่งอาจเป็นเจ้านาย ลูกน้อง
แฟน คู่แค้น เพื่อนร่วมงาน
หรือใครก็ตาม ทั้งๆ ที่
เราก็ไม่ได้ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่
นั่นก็เพราะเรายังมี “กายใน”
ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือน
อยู่ในระดับเดียวกับเขา
“คนที่มีระดับพลังงานเดียวกัน
จะถูกดึงดูดเข้ามาหากัน”
เหมือนนกที่มีสายพันธุ์เดียวกัน
ก็จะอยู่ในฝูงเดียวกัน
บินไปไหนพวกมันก็ไปด้วยกัน
บินกันไปเป็นฝูง
เราจะไม่เคยเห็นอีกา
บินร่วมไปกับหงส์
หรืออีแร้งบินไปกับนกอินทรี
นั่นเพราะนกชนิดเดียวกัน
มันจะอยู่ในฝูงเดียวกันเท่านั้น
ฉะนั้น ตราบใดที่พลังงานในตัวเรา
ยังไม่เปลี่ยนระดับความถี่
ที่สั่นสะเทือน เราก็จะต้อง
พบเจอบุคคลเหล่านี้อยู่ร่ำไป
และวิธีการสลัดตนให้หลุดพ้น
จากคนที่เราไม่ชอบนั้น
ไม่ใช่การนินทา
และก็ไม่ใช่การพยายาม
เปลี่ยนคนอื่น
แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองจาก
ภายในคือ “ระดับพลังงาน”
ต้องยกมันให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป
เหนือกว่าพลังงานของ
คนที่เราไม่ชอบ
โดยเริ่มต้นจาก..
ความอยากเปลี่ยนแปลง
ไปในทางที่ดี
“ความรู้สึก” ถ้าเราหมั่นตรวจสอบ
ความรู้สึก รู้จักฝึกควบคุมอารมณ์
ของตัวเอง ให้เป็นคนที่รู้สึกดี
ได้มากที่สุด ยิ้มแย้มแจ่มใส
จิตใจเมตตา ไม่จับกลุ่มนินทา
เลิกเสพข่าวร้าย มีความสำนึก
รู้คุณต่อทุกสรรพสิ่ง
ไปวัด นั่งสมาธิ รักษาศีล
ออกกำลังกายอยู่เสมอ
ว่ายน้ำ ดูปะการัง อะไรก็ว่าไป
ในที่สุด เมื่อระดับพลังงานสูงพอ
เราก็จะไม่มีทางพบเจอ
คนเหล่านั้นอีกเลย
แต่จะเปลี่ยนไปเจอ
คนที่มีระดับพลังงาน
เดียวกันกับเรา
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
นักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่า
เกิดขึ้นเพราะ “พลังจิตใต้สำนึก”
ปลดปล่อยพลังงานสั่นสะเทือน
ออกไปโดยอัตโนมัติ
อยู่ตลอดเวลา แบบที่เราเอง
ก็ไม่รู้ตัว พวกเขาเรียกมันว่า
“กฎแห่งแรงดึงดูด”
ดังนั้น หากอยากเปลี่ยนโลก
ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน
โดยเริ่มต้นจาก....
“ความอยาก”
“ความรู้” และ
“ความรู้สึก”
แล้วโลกรอบข้างเรา
ก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
สมดังคำสอนเปลี่ยนโลก
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“การไม่ทำบาปทั้งปวง
การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้คือคำสอนของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
ทาน บอกระดับความมีใจ
โอบอ้อมอารี
ศีล บอกพฤติกรรม
กิริยาท่าทางที่แสดงออก
สมาธิ บอกระดับความสุขสงบเย็น
ปัญญา บอกระดับความรู้
ความเข้าใจต่อโลก
และสรรพสิ่ง
ขอย้ำอีกสักครั้ง
“คนที่เสมอกัน
จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”
ตามระดับคุณธรรม
ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือน
อยู่ตลอดเวลา
(จาก นิตยสารธรรมลีลา
ฉบับที่ 193 มกราคม 2560
โดย ทาสโพธิญาณ)
โฆษณา