23 ต.ค. 2019 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
“พระเยซู (Jesus) ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์” ตอนที่ 2
ศาสดาออกเผยแพร่หลักธรรม
วันเวลาผ่านไป พระเยซูได้เติบโตเป็นหนุ่ม
ในช่วงเวลานี้พระองค์อาจจะทำงานเป็นช่างไม้เช่นเดียวกับโจเซฟ และขณะที่พระองค์มีพระชันษาได้ประมาณ 30 ชันษา พระองค์ก็ได้เดินทางออกจากนาซาเร็ธ
พระองค์ได้ออกเดินทางตามหาชายที่ชื่อ “จอห์น (John)” ซึ่งตามพระคัมภีร์ จอห์นเป็นญาติของพระองค์
จอห์น (John the Baptist)
จอห์นเป็นนักเทศน์ เขาจะพาผู้คนไปยังแม่น้ำจอร์แดนและให้บุคคลนั้นลงไปในแม่น้ำ จากนั้นก็จะประทานพรให้บุคคลนั้น
นี่คือพิธีล้างบาป
พระเยซูพบจอห์นที่ริมแม่น้ำ และจอห์นก็ได้ทำพิธีล้างบาปให้พระเยซู
จอห์นขณะทำพิธีล้างบาปให้พระเยซู
ในขณะที่พระเยซูขึ้นมาจากน้ำ พระองค์ก็ได้เห็นพระเจ้า พร้อมทั้งได้ยินเสียง
“นี่คือบุตรของข้า ผู้เป็นที่รัก”
หลังจากนั้น พระเยซูก็ได้เดินทางเข้าไปในทะเลทรายกว่า 40 วัน 40 คืน
การเดินทางเข้าไปในป่าหรือไปในสถานที่ๆ ยากลำบาก ถือเป็นบททดสอบลูกผู้ชายในหลายๆ วัฒนธรรม
ชายหนุ่มจะเดินทางเข้าไปในป่าหรือสถานที่ๆ ยากลำบากเพื่อสวดมนต์หรือใช้ความคิด
เมื่อพระเยซูออกมาจากทะเลทราย พระองค์ก็พร้อมที่จะเทศน์ให้ผู้คนได้ฟังแล้ว
พระเยซูมีสิ่งที่ต้องการจะสื่อให้ผู้คนได้ทราบผ่านการเทศน์
ในเวลานั้น ชาวยิวตกอยู่ใต้การปกครองของชาวโรมัน และชาวยิวก็มีชีวิตที่ยากลำบาก
พระเยซูได้สอนถึงชีวิตใหม่ พระองค์ตรัสว่าอาณาจักรแห่งพระเจ้ากำลังรอพวกเขาอยู่ ณ อาณาจักรแห่งพระเจ้า ทุกคนนั้นเท่าเทียม ไม่ว่าจะรวยหรือจน ทุกคนต่างเท่าเทียม
พระเยซูสอนถึงความรักและความเท่าเทียม ความยุติธรรมและการให้อภัย
การสอนของพระองค์นั้นแตกต่างจากผู้อื่นในยุคนั้น
นักเทศน์ส่วนมากจะสอนให้เกรงกลัวพระเจ้า คนบาปจะถูกพระเจ้าลงโทษ และให้ผู้คนเชื่อฟังพระเจ้า
1
แต่พระเยซูสอนให้คนรู้สึกละอายต่อสิ่งที่ทำผิด จากนั้นพระองค์ก็จะสอนเรื่องความรักของพระเจ้า ความเข้าใจ และการให้อภัย
ขณะที่พระเยซูออกเทศน์ ประชาชนต่างก็ฟังพระองค์และเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาชอบการเทศน์ของพระองค์ ทุกที่ๆ พระองค์ไปเทศน์ ประชาชนจะแห่กันมาฟังพระองค์เทศน์เป็นจำนวนมาก
1
ขณะเดินทางครั้งหนึ่ง พระเยซูได้เดินไปตามชายฝั่งทะเลกาลิลี พระองค์เห็นชาวประมงสองคนนั่งอยู่ พระองค์จึงเรียกชาวประมงทั้งสอง
ชาวประมงทั้งสองชื่อ “ปีเตอร์ (Peter)” กับ “แอนดริว (Andrew)”
พระเยซูเรียกปีเตอร์กับแอนดริว
พระองค์บอกให้ปีเตอร์กับแอนดริวตามพระองค์มา พระองค์ตรัสกับปีเตอร์และแอนดริวว่า แทนที่ทั้งสองคนนี้จะเหวี่ยงตะข่ายจับปลา พระองค์จะทำให้ทั้งคู่เป็นชาวประมงที่คอยตกผู้คน
ความหมายของพระองค์คือ ทั้งคู่จะพาคนมาฟังในสิ่งที่พระองค์สอน
ปีเตอร์และแอนดริวตามพระองค์ไป
ต่อมา พระเยซูได้พบกับพี่น้องคู่หนึ่ง ชื่อ “เจมส์ (James)” และ “จอห์น (John)” กำลังจับปลากับพ่อ พระเยซูได้ตรัสเรียกทั้งสองคน และเจมส์กับจอห์นก็ได้ตามพระเยซู
พระเยซูเรียกเจมส์กับจอห์น
ในเวลาต่อมา จอห์นก็สามารถรวบรวมผู้ติดตามได้จำนวน 12 คน ซึ่งทั้ง 12 คนนี้คือสาวกของพระองค์
ได้มีผู้หญิงติดตามพระองค์ด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมากในยุคนั้น ในเวลานั้น ผู้หญิงไม่ได้มีสิทธิเท่าผู้ชาย และตามกฎหมายโรมัน สามีและบิดาของผู้หญิงจะเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินและที่ดินของผู้หญิง แม้แต่ในโบสถ์ ผู้หญิงก็ต้องแยกไปทำพิธีคนละจุดกับผู้ชาย
แต่พระเยซูนั้นให้ความเท่าเทียมกับทุกคน จะชายหรือหญิง จนหรือรวย แต่พระองค์รู้สึกว่าทุกคนมีสิทธิในอาณาจักรแห่งพระเจ้า
2
พระเยซูได้ออกเทศน์สั่งสอนผู้คน โดยที่มีชื่อเสียงที่สุดคือการเทศน์บนภูเขา
อันดับแรก พระองค์ตรัสว่าผู้คนนั้นได้รับพร
“พรคือคนยากจน พรคือความเมตตา พรคือความบริสุทธิ์ในหัวใจ และผู้คนจะได้พบพระเจ้า”
คือคำสอนของพระองค์
ข้อความของพระองค์ได้ให้ความหวังแก่ผู้คน โดยเฉพาะคนที่ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจของโรมัน โดยแนวคิดที่สำคัญของพระองค์คือ
“จงปฏิบัติต่อผู้อื่นให้เหมือนกับที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา”
ปัจจุบันคำสอนเหล่านี้เรียกว่า “กฎทองคำ (The Golden Rule)”
พระองค์ยังโปรดการตอบคำถามของผู้คนด้วยการเล่านิทาน
การเล่านิทานทำให้ผู้คนเข้าใจในสิ่งที่พระองค์สอนมากขึ้น
นิทานที่พระองค์สอนมักจะเป็นเรื่องเรียบง่ายแต่มีข้อความซ่อนอยู่
เรื่องหนึ่ง พระองค์เล่าว่ามีชาวนาได้ทำการหว่านเมล็ดพืช บางเมล็ดหล่นลงพื้น ทำให้นกมาคาบไปกิน บางเมล็ดก็ตกลงบนพื้นที่เป็นหิน ทำให้ไม่มีดินพอให้เจริญเติบโต บางเมล็ดหล่นลงบนผืนดินและงอกงามเป็นพืชผล
ในนิทานเรื่องนี้ เมล็ดพันธุ์นั้นแทนคำสอนของพระเยซู ผืนดินก็แทนคนที่ฟัง พระเยซูกำลังสอนให้คนเป็นเหมือนผืนดินที่เต็มไปด้วยดินที่อุดมสมบูรณ์ คำสอนซึ่งเปรียบเสมือนเมล็ดจะได้เติบโตงอกงามต่อไป
อีกคำสอนหนึ่งของพระองค์คือเรื่องการรักเพื่อนบ้าน
ได้มีคนถามพระเยซูว่าใครคือเพื่อนบ้าน
พระเยซูได้ตอบด้วยการเล่านิทาน
ได้มีชายคนหนึ่งได้ออกเดินทางจากเยรูซาเลม ก่อนที่จะถูกโจรทำร้ายและขโมยทรัพย์สิน จากนั้นก็ปล่อยให้เขานอนบาดเจ็บอยู่ริมถนน
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างไม่มีใครสนใจจะช่วยชายผู้นี้ จนกระทั่งมีชายคนหนึ่ง มาจากดินแดนที่เรียกว่า “สะมาเรีย (Samaria)” ได้เดินผ่านมาและพบชายที่ถูกทำร้าย
ชาวสะมาเรียและชาวยิวนั้นมักจะเป็นศัตรูกัน แต่ชายชาวสะมาเรียกลับตรงเข้าช่วยชายชาวยิวที่ได้รับบาดเจ็บ
ชายชาวสะมาเรียพาชายชาวยิวที่ได้รับบาดเจ็บไปยังโรงเตี๊ยมพร้อมจ่ายเงินค่าที่พักให้ชายคนนี้ และยังกำชับให้พนักงานโรงเตี๊ยมดูแลชายที่ได้รับบาดเจ็บ หากเงินไม่พอ ให้มาเก็บกับเขา
ภายหลังเล่านิทานจบ พระเยซูถามกลับว่าใครคือเพื่อนบ้าน
คำตอบคือ “ผู้ที่แสดงความเมตตา”
นิทานของพระเยซูทำให้ผู้ที่ได้ฟังเข้าใจถึงการใช้ชีวิตที่ดี
พระองค์เริ่มจะเป็นที่ศรัทธาของผู้คนมากมาย แต่พระองค์จะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ตอนต่อไปครับ
โฆษณา