23 ต.ค. 2019 เวลา 00:12
คำสารภาพบาปของนักโทษประหาร (เรื่องจริง)
คำนำ
เรื่อง “คำสารภาพบาปของนักโทษประหาร” นี้ เป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่ผมหยิบอ่านโดยไม่ตั้งใจที่ไต้หวัน แม้จะเป็นการอ่านโดยไม่ตั้งใจ แต่เรื่องราวของผู้เขียนก็ชวนติดตามจนอยากรู้ว่าจุดจบจะเป็นเช่นไร ซึ่งความจริงเราทุกคนก็มีจุดจบไม่ต่างอะไรจากเขาเท่าไรนัก
เมื่อผมอ่านจบ ผมก็เกิดความคิดที่อยากจะแปลเรื่องราวของเขาสู่สาธารณะ หนึ่งคือต้องการให้เรื่องราวของเขาได้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนอีกมากมายที่หลงผิด สองคืออยากจะช่วยให้เขาได้มีโอกาสผ่อนผันการรับทัณฑ์ในขุมนรกให้ทุเลาลงบ้าง และสามคือต้องการให้ชาวโลกได้ตระหนักว่า “กฎแห่งกรรม” นั้นคือความจริง
เท่าที่สอบถามดู หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือที่มีอายุประมาณยี่สิบกว่าปีเห็นจะได้ (ปัจจุบันคือปีค.ศ. 2011) ทราบว่าคดีของชายหนุ่มในหนังสือเป็นคดีที่ใหญ่มากในสมัยนั้น หลังจากเขาถูกจับกุม เขาเกิดความรู้สึกสำนึกก่อนที่กระสุนจะเขียนบทสรุปชีวิตให้กับเขา สิ่งที่เขาเขียนจึงเป็นการเขียนออกมาจากใจจริง ผมจึงหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นอุทาหรณ์สอนใจให้กับสังคมได้ไม่มากก็น้อย
ผมคือนักโทษประหารชีวิตที่ได้ถูกพิพากษามาแล้วทั้งสามศาล อีกไม่นานก็จะถูกยิงเป้าประหารชีวิตแล้ว ผมมีลางสังหรณ์ที่แรงกล้ามาก ก็คือเวลาเช้าตรู่ของวันนี้ ผมกับผู้ร่วมก่อการอีกคนหนึ่งจะต้องถูกคุมตัวไปที่ลานประหารเป็นแน่ กระสุนสามนัดกำลังจะปิดฉากความชั่วร้ายของผมทั้งหมด
เมื่อก่อนผมชอบไปเที่ยวชกต่อยกับพวกพ้อง ได้เคยบุกฝ่าคมดาบห่ากระสุนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จึงมักทะนงตนว่าเป็นคนที่ไม่เคยกลัวความตาย และผมก็ไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตจะมีคุณค่าอะไร แต่ในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายในครั้งนี้ ผมกลับมีความรู้สึกหวาดกลัวจากขั้วหัวใจอย่างแท้จริง และตอนนี้กลับมีความรู้สึกกระหายในการมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างแรงกล้า ในเวลานี้ หากผมสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้สัหน่อย ต่อให้มีเพียงไม่กี่นาที อะไรผมก็ยอมทั้งนั้น
ก่อนนี้ไม่นาน ผู้ที่ก่อการร่วมกับผมได้ถูกจับกุมตัว มันได้ทำลายโอกาสที่ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างป่นปี้ ผมรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผู้ร่วมก่อการถูกกุมตัวแล้วทั้งหมด คดีใหญ่นี้จะต้องถูกปิดคดีในเวลาอันรวดเร็วเป็นแน่ และก็เป็นจริงตามนั้น สามศาลพิพากษาคดีจบสิ้นในเวลาไม่นาน เริ่มตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิตผมเป็นต้นมา จิตใจของผมแทบจะถึงขั้นพังทลาย เสียงย่ำเท้าของมฤตยูได้ใกล้เข้ามาทุกทีทุกที ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์การคุมตัวไปที่แดนประหาร ก็ทำให้ผมอดรู้สึกหนาวสะท้านและยากที่จะนอนหลับได้ในแต่ละค่ำคืน ความรู้สึกโหยหาการมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างแรงกล้าเช่นนี้ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน เพราะทุกอย่างได้สายเกินไปเสียแล้ว แต่มันก็ยากที่จะหักห้ามความคิดเช่นนี้ได้ ผมรู้สึกเสียใจเสียเหลือเกิน รู้สึกโกรธแค้นในสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ทำลงไป แต่ความเสียใจเหล่านี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว ฮ่าย ! หากรู้เสียแต่ทีแรกก็คงไม่ทำเช่นนี้หรอก
1
ระยะนี้ผมเริ่มมีความเชื่อเรื่องเทพผีแล้ว นับตั้งแต่ผมถูกคุมตัวไปคุมขังเป็นต้นมา ผมได้อ่านหนังสือธรรมะในคุกอยู่หลายเล่ม คิด ๆ ดูแล้ว เมื่อก่อนผมไม่เคยหยิบอ่านหนังสือเหล่านี้มาก่อนเลย แถมยังดูถูกว่าเป็นของไร้สาระและน้ำเน่าเสียด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกเจ้ากรรมนายเวรตามจองเวรในขณะที่ผมหนีคดี ตราบจนวันนี้ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่หาย ทั้งหมดนี้ก็เป็นประจักษ์พยานเรื่องกฎแห่งกรรมในหนังสือธรรมะแล้วมิใช่หรือ ? บัดนี้ สิ่งที่เขียนในหนังสือธรรมะทั้งหมด ผมยอมเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เมื่อลองคิด ๆ ดู หากผมยอมเชื่อเรื่องราวในหนังสือธรรมะเสียแต่ทีแรก มันก็คงจะดีไม่น้อย และเรื่องเหล่านี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
อยู่ในคุก ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “ท่องเมืองนรก” มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจและหวาดกลัวอย่างสุดที่จะพรรณนา ที่แท้เมื่อคนตายแล้วไม่ได้จบไปเสียทีเดียว ผมเป็นนักโทษประหารที่ทำความชั่วไว้เต็มประดา อีกเพียงไม่นาน ผมคงยากที่จะหนีพ้นการลงโทษอย่างสาสมที่ขุมนรกเป็นแน่ และเมื่อไหร่ที่ผมจะสามารถหลุดพ้นออกมาได้เล่า ? และก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไหร่ ที่ผมจะมีโอกาสได้เกิดเป็นคนได้อีกครั้ง ?
ลูกเมียมาเยี่ยมผม พวกเรารู้ดีว่านี่เป็นการพบหน้ากันครั้งสุดท้าย ต่อแต่นี้ก็คงจะต้องแยกจากกันไปสองภพ เราถูกกั้นออกจากกันด้วยลูกกรงแน่นหนา ตอนนั้นผมได้แต่หลั่งน้ำตาแห่งความสำนึกเสียใจออกมา แต่ต่อให้ผมต้องหลั่งน้ำตาออกมาจนเหือดแห้ง มันก็ยังมิอาจลบล้างความชั่วที่ผมทำลงไปได้หรอก
เวลาเยี่ยมญาติมีเวลาสิบห้านาที แต่เราก็ทำได้แต่เพียงจ้องมองตากันอย่างเงียบงัน ผมยังจะพูดอะไรได้อีก ? และผมควรจะพูดอะไรได้เล่า ? ภาพที่ภรรยาอุ้มลูกมาหาผม มันเป็นภาพที่เธอดูแสนเปราะบางไร้ที่พึ่ง ผมเองก็ไม่อยากจะทอดทิ้งพวกเขาไปหรอก แต่ผมยังจะมีโอกาสกำหนดชะตาของตนเองได้อีกหรือ ?
เวลาสิบห้านาทีหมดไปอย่างรวดเร็ว ผมได้บอกภรรยาให้ถนอมเนื้อถนอมตัว และก็ยังขอให้ภรรยาอภัยในสิ่งที่ผมได้ทำความเดือดร้อนให้ สุดท้ายยังกำชับอย่างหนักหนาว่าจะต้องอบรมเลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุด จะต้องเอาตัวอย่างของพ่อเป็นบทเรียน ห้ามเดินตามรอยพ่ออย่างเด็ดขาด เมื่อพูดสั่งเสียจบ ผมร้องไห้จนสิ้นเสียง ได้แต่มองเงาหลังของภรรยาและลูกเดินจากไปอย่างช้า ๆ หัวใจของผมในตอนนั้นแทบจะแหลกสลาย ได้แต่ร้องไห้ฟูมฟายกองอยู่กับพื้น
เมื่อก่อนผมไม่เคยห่วงใยลูกเมียเลย เธอแต่งงานกับผมมาหลายปี ก็ไม่รู้ว่าต้องรองรับอารมณ์ของผมไปมากน้อยเท่าไหร่ ต้องโดนผมดุด่าตบตีมามากน้อยขนาดไหน ? ผมไม่เคยทำหน้าที่ที่ควรมีของผู้เป็นสามีและบิดาเลย ผมรู้สึกติดค้างลูกเมียมากมายเหลือเกิน
1
“ผมมันไม่ใช่คน” ผมร้องไห้ตำหนิตนเอง นั่นเป็นความรู้สึกสำนึกก่อนที่จะถูกคุมตัวไปสู่แดนประหาร แต่ทว่า ตะเกียงได้สิ้นน้ำมันเสียแล้ว ทุกอย่างได้สายเกินไปเสียแล้ว ?
ในระยะนี้ ผมได้มีความเข้าใจบางอย่างจากหนังสือธรรมะ ผมขอยอมรับว่าตอนนี้ผมมีความรู้สึกกลัวความตาย และเป็นความรู้สึกที่กลัวเสียแทบตาย เหตุเพราะผมเชื่อแล้วว่าความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต มันเป็นเพียงดวงวิญญาณที่ออกจากร่างไปเท่านั้น ในอีกหนึ่งการเริ่มต้นใหม่ ผมจะต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์การลงโทษในขุมนรกที่เขียนไว้ในหนังสือ มันจะเป็นการลงโทษที่โหดร้ายทารุณมากยิ่งกว่ากฎหมายบนแดนมนุษย์นับร้อยพันเท่า ความหนาวเย็นยะเยือก ความโหดร้อยของยมทูต ยังจะมีใครที่จะมาช่วยผมได้อีกหรือ ?
ขณะนี้ ผมกำลังก้าวไปสู่ปลายทางของชีวิตอย่างช้า ๆ แม้ว่าบัดนี้จะรู้สำนึกแล้ว แต่บาปกรรมที่ผมได้สะสมไว้อย่างมากมายล่ะ ตอนนี้ แม้แต่โอกาสที่จะกลับเนื้อกลับตัว โอกาสที่พยายามจะไถ่บาปในสิ่งที่ได้ก่อก็ไม่มีเสียแล้ว มีเพียงแต่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างน้อยที่สุด ก่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่มี นำเรื่องราวความชั่วช้าในชีวิตอันแสนสั้นทั้งหมดเล่าออกมา หนึ่งคือจะได้สำนึกขอขมา สองคือจะได้เป็นบทเรียนให้กับเหล่าอาชญากรทั้งหลาย ก็หวังว่าคงจะพอดึงคนรู้ผิดให้สำนึกกลับใจ เผื่อว่าพระพุทธองค์จะทรงเมตตา อาจจะช่วยดลบันดาลให้ผมได้ลดบาปเวรในขุมนรกได้ไม่มากก็น้อย...
ผมเกิดอยู่ในครอบครัวที่มีอันจะกิน คุณพ่อคุณแม่มีผมเพียงคนเดียว ดังนั้นผมจึงถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมมาตั้งแต่ยังเด็ก ผมสามารถได้ทุกสิ่งที่อยากได้ ส่วนคุณพ่อท่านวัน ๆ ก็จะยุ่งอยู่แต่สังคมธุรกิจ และต้องสาละวนอยู่กับเรื่องลาภยศสรรเสริญตลอดเวลา ส่วนคุณแม่ก็สนแต่เรื่องเล่นไพ่นกกระจอก สำหรับผมแล้ว ท่านทั้งสองมีแต่ประคบประหงม แต่ไม่ค่อยจะดุด่าผมสักเท่าไหร่นัก เมื่อนานวันเข้า ผมจึงกลายเป็นคนที่มีอุปนิสัยฟุ้งเฟ้ออวดดี วัน ๆ มีแต่เรื่องกินเที่ยวเล่นเสพ ไม่เคยได้รู้สึกถึงความทุกข์ของชีวิตแต่อย่างใด
เมื่อสมัยที่ผมเรียนชั้นมัธยมต้น ผมก็เป็นขาประจำในแผนกเยาวชนที่สถานีตำรวจเสียแล้ว ทุกครั้งที่คุณพ่อประกันตัวผมออกมา อย่างมากก็ดุด่าไม่กี่คำ แต่ไม่นาน ผมก็จะกระทำเหมือนเช่นเดิมอีก คุณตำรวจเห็นผมก็ได้แต่ถอนใจส่ายหัวอย่างเอือมระอา
เมื่อผมฝืนเรียนจบชั้นมัธยมปลายแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี จึงได้แต่คบเพื่อนนักเลงเสเพลไปวัน ๆ ผมสูบกาวให้จิตใจลอยล่องไปอย่างเคลิบเคลิ้ม เพื่อจะได้เติมเต็มความอ้างว้างในจิตใจที่มี บางครั้งยังคบกับกลุ่มเพื่อนนักซิ่ง ผมถอดไส้ท่อไอเสียออก แล้วก็บิดมอเตอร์ไซด์จนเสียงดังสนั่นไปตามตรอกซอกซอย เสียงมอเตอร์ไซด์ทำให้ผู้คนบนท้องถนนต่างต้องหลบหลีกกันจ้าละหวั่น แต่ตอนนั้นผมกลับมีความรู้สึกภาคภูมิใจในเสียงก้องกระหึ่มนั้นเหลือเกิน
นอกจากนี้ ผมยังพกพาอาวุธไปเที่ยวล้างแค้นคนอื่นพร้อมกับเพื่อนฝูงอยู่เสมอ หากคนเดินถนนคนใดจ้องมองดูผมสักนิดเดียว คนนั้นก็จะถูกผมเล่นงานทันที หลายครั้งที่บุกดงดาบห่ากระสุน ผมก็จะบุกตะลุยเข้าไปอย่างบ้าระห่ำ แม้ว่าจะบาดเจ็บบ้าง แต่ผมก็ถูกพวกพ้องยกย่องว่าเป็น “ลูกพี่ใหญ่” ซึ่งตอนนั้นผมมีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น แต่ในสถานีตำรวจก็มีบันทึกคดีของผมอย่างมหาศาลเสียแล้ว
ในวงการนักเลง ตำแหน่งลูกพี่ใหญ่ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ นอกจากต้องโหดแล้ว ผมยังต้องมีแหล่งเงินที่คอยเลี้ยงดูลูกน้องได้อีกต่างหาก ดังนั้นผมจึงมักจะขอเงินกับคุณพ่ออยู่บ่อยครั้ง และหากคุณพ่อไม่ให้หรือมีสีหน้าไม่ดี ท่านก็จะถูกผมข่มขู่ดุด่าในทันที ในตอนนั้น ท่านทั้งสองเริ่มรู้สึกเสียใจที่ได้ละเลยการอบรมผมแล้ว นอกจากนี้ ผมยังมีรายได้จากการกินค่าหัวในบ่อนที่ผมเปิดขึ้นเองอีกต่างหาก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไปช่วยพรรคพวกทวงหนี้พนัน ผมได้ทุบตีลูกหนี้จนบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงต้องหนีออกจากบ้านเพื่อหลบหนีคดี แต่ไม่นาน ผมก็ถูกจับในขณะที่กำลังเล่นการพนันในบ่อนที่อยู่ทางภาคเหนือ ผมถูกตัดสินโทษจำคุกสองปีในข้อหาฆ่าคนตาย คุณพ่อคุณแม่ปวดร้าวใจอย่างที่สุด แต่ก็หวังว่าการลงโทษจากกฎหมายจะสามารถทำให้ผมกลับตัวกลับใจได้บ้าง แต่หลังจากผมพ้นโทษแล้ว ผมไม่เพียงแต่ไม่ได้กลับตัวกลับใจเท่านั้น หากแต่ยังหนักข้อมากขึ้นกว่าเก่าเสียอีก ท่านทั้งสองไม่รู้จะทำเช่นไรดี จึงได้แต่เกลี้ยกล่อมให้ผมแต่งงานมีครอบครัว ทั้งยังมีความคิดจะยกกิจการให้ผมดูแลทั้งหมดอีกด้วย ท่านหวังว่าการมีความรับผิดชอบในครอบครัวและกิจการงานอาจจะเปลี่ยนแปลงผมได้บ้าง
หลังจากที่แม่สื่อได้ช่วยแนะนำคู่ครองให้แล้ว สุดท้ายผมจึงได้แต่งงานกับผู้หญิงที่มีภูมิหลังครอบครัวที่เรียบง่ายคนหนึ่ง ภรรยาของผมคนนี้เป็นกุลสตรีเสียจริง ๆ แต่ก่อนแต่งงาน ผมได้คลุกคลีกับโสเภณีจนเคยเสียแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่เคยเห็นภรรยาอยู่ในสายตาเลย ผมมักจะดุด่าเธอเป็นประจำ และหากเธอปรนนิบัติไม่ถูกใจ ผมก็จะลงมือลงไม้ใส่เธอทันที ภรรยาผมมีความกตัญญูอย่างที่สุด เธอกลัวว่าคุณพ่อคุณแม่จะเสียใจ ดังนั้นเธอจึงกล้ำกลืนน้ำตาอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
หลังจากแต่งงานได้ไม่ถึงปี ผมก็ถูกจับกุมในข้อหาเรียกค่าคุ้มครองอีกครั้ง ครั้งนั้นผมถูกลงโทษให้ส่งตัวไปอบรมอยู่สองปี การติดคุกในครั้งนั้นนับว่าทรมานมากกว่าครั้งก่อนมากนัก แต่ผมก็พยายามอดทนจนครบสองปีเสียได้
หลังจากผมต้องโทษในครั้งนั้นได้ไม่นาน ภรรยาผมได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ในวันที่ผมออกจากคุก พ่อแม่และภรรยาได้มารับผม หลังจากที่ทานอาหารค่ำในคืนนั้นเสร็จ ภรรยาอุ้มลูกออกมา และคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าพ่อแม่และผม เธออ้อนวอนให้ผมกลับเนื้อกลับตัวอย่างเด็ดขาด อ้อนวอนผมให้คำนึงถึงพระคุณค่าน้ำนม และคำนึงถึงความรักความผูกพันของลูกและภรรยา อย่างน้อยก็ควรจะเป็นผู้ชายที่ดูดีกว่านี้สักหน่อย เพื่อจะได้ไม่ทำให้พ่อแม่ต้องอับอายขายหน้า
ตอนนั้นผมจ้องมองดูลูก รู้สึกว่าลูกผมดูน่ารักน่าเอ็นดูอยู่เหมือนกัน ความรู้สึกละอายใจจึงผุดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมคิดอยู่ในใจว่า “ตนได้หมกมุ่นอยู่ในวงการมานับสิบปี ชักเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายวงการอยู่บ้างเหมือนกัน” ดังนั้นผมจึงรับปากว่าจะหางานทำ เมื่อภรรยาเห็นผมรับปาก เธอก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ว่ากันตามตรง ผมไม่เคยเห็นภรรยายิ้มมานานแล้ว เพราะหลายปีมานี้ ผมไม่เคยดีต่อเธอเลย และก็ไม่รู้ว่าผมได้ดุด่าตบตีเธอไปมากน้อยเท่าไหร่ รอยยิ้มในครั้งนั้นได้ทำให้ผมรู้สึกว่าภรรยาของผมก็สวยงามไม่น้อย เหตุใดผมจึงไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยหนอ ? อาจเป็นเพราะความเศร้าโศกได้บดบังความงดงามของเธอก็เป็นได้
หลายวันต่อมา คุณพ่อได้จัดให้ผมทำงานในโรงงานของท่าน ท่านรู้ดีว่าผมไม่ใช่คนที่จะเป็นนักบริหารได้ ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะมอบหมายหน้าที่มากมายให้ผม ท่านจึงจัดตำแหน่งผู้บริหารระดับกลางให้ผมรับผิดชอบแทน
ในช่วงเริ่มแรก ทุก ๆ คนในโรงงานต่างเกรงใจผมทั้งหมด เพราะผมเป็นลูกเจ้าของโรงงาน แต่โบราณมีคำกล่าวอยู่คำหนึ่งว่า “ราชบัลลังก์เปลี่ยนง่าย หากแต่สันดานเปลี่ยนยาก” ผมใช้ชีวิตในวงการมานาน จึงยากที่จะแก้นิสัยนักเลงลงได้ทั้งหมด ผมเป็นลูกพี่ใหญ่จนเคยตัวเสียแล้ว นึกถึงสมัยก่อน ผมมีบารมีจนผู้คนต้องยำเกรง แต่บัดนี้กลับต้องมาฟังคำสั่งของผู้อื่น เรื่องแบบนี้จะให้ผมรับได้อย่างไรกัน ดังนั้นผมจึงมักเกิดการโต้เถียงกับหัวหน้าอยู่เสมอ หรือกระทั่งยังข่มขู่ว่าจะเล่นงานพวกเขาอีกด้วย พวกเขาจนปัญญาที่จะทำอะไรผมได้ เพราะผมเป็นลูกเจ้าของโรงงาน ดังนั้นพวกเขาจึงลาออกไปคนแล้วคนเล่า เพียงไม่นาน ผู้บริหารระดับสูงหลายต่อหลายคนต่างก็พากันลาออกไปจนแทบหมด โรงงานถูกผมกระทำยับเยินจนแทบจะต้องหยุดการผลิตไปเลยทีเดียว และครั้งนั้นก็ทำให้คุณพ่อโกรธจนถึงกับล้มป่วยลงในที่สุด เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นผมจึงไม่ยอมไปทำงานอีกเลย
ผมย้อนกลับใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาเหมือนเช่นอดีต ผมกลับไปเป็นลูกพี่ใหญ่และคลุกอยู่กับพวกนักเลงเหมือนเช่นเดิม รอยยิ้มอันสดใสของภรรยาปรากฏอยู่ได้ไม่ถึงสองเดือนก็กลับไปบึ้งตึงเหมือนเก่าอีกแล้ว คุณพ่อท่านล้มป่วยอยู่หลายเดือน กิจการจึงขาดการดูแล บวกกับประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ธุรกิจจึงต้องทยอยปิดลงไปทีและแห่งสองแห่ง ไม่ถึงปีครึ่ง ครอบครัวของผมก็ตกต่ำจนถึงขั้นไร้สมบัติพัสถานใด ๆ
ในเมื่อไม่มีที่พึ่งแล้ว แหล่งการเงินส่วนใหญ่ของผมจึงขาดตอน และเหตุการณ์เหล่านี้ก็กระทบกระเทือนคุณพ่ออย่างที่สุด ความดันโลหิตของท่านขึ้นสูงจนเสียชีวิตในภายหลัง ส่วนคุณแม่ก็เกิดความรู้สึกเครียดจนล้มหมอนนอนเสื่อไปอีกคน ครั้นผมเห็นเหตุการณ์เป็นแบบนั้นจึงตัดใจไม่ยอมกลับบ้านไปอีกเลย คิดอยู่ในใจว่า ในเมื่อไม่มีเงินแล้วยังจะกลับไปอีกทำไม
ในตอนนี้ ภรรยาได้ส่งลูกกลับไปให้ที่บ้านเลี้ยงดู เธอเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้นแบกหน้าที่ดูแลคุณแม่ผมขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง เธอจะตื่นขึ้นมาทำงานเย็บปักถักร้อยแต่เช้าตรู่ และมักจะต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำอยู่เสมอ และไม่ว่ายาจะแพงแค่ไหน เธอก็จะซื้อมาให้คุณแม่ผมทานโดยไม่รู้สึกเสียดายแต่อย่างใด เพื่อนบ้านรู้สึกเห็นใจเธออย่างยิ่ง พวกเขาจึงมักจะคอยช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวผมอยู่เสมอ แต่ภรรยาผมก็มักจะปฏิเสธความปรารถนาดีของพวกเขาไป สำหรับพฤติกรรมอันชั่วช้าเลวทรามของผมนั้น ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาได้แอบก่นด่าสาปแช่งผมไปมากน้อยเท่าไหร่
เพื่อที่จะรักษาตำแหน่งลูกพี่ใหญ่ให้คงอยู่ต่อไป ผมจึงต้องพยายามหาเงินให้มากที่สุด ดังนั้นผมจึงเปิดบ่อนการพนันและข่มขู่เรียกค่าคุ้มครองกับบรรดาพ่อค้าแม่ขายในพื้นที่ที่ผมดูแล หากใครตุกติกหรือไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครอง ผมก็จะไปสั่งสอนพวกเขาให้รู้สึกเข็ดหลาบ จึงทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายแค้นผมอย่างถึงที่สุด สุดท้ายพวกเขาจึงรวมตัวกันร้องเรียนกับตำรวจ หลังจากตำรวจตรวจสอบหาหลักฐานอย่างรัดกุมแล้วก็ออกหมายจับผมทันที ตอนนั้นผมไม่สามารถอยู่ในท้องที่ได้อีกแล้ว จึงได้แต่หลบหนีไปอีกครั้ง
ในระหว่างที่หลบหนี ผมได้ข่าวว่าคุณแม่ได้เสียชีวิตแล้ว คนเนรคุณอย่างผมไม่เคยรู้หรอกว่าอะไรคือความกตัญญู ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่เคยรู้สึกผูกพันกับพ่อแม่แต่อย่างใด อีกส่วนหนึ่งก็เพราะยังมีคดีติดตัวอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีความคิดที่จะกลับไปเลยแม้แต่น้อย เมื่อย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกว่าบาปกรรมเสียเหลือเกิน
ในห้วงเวลาที่ผมหลบหนีคดี ผมมักจะเข้าออกตามบ่อนการพนันที่ภาคเหนืออยู่บ่อยครั้ง แรก ๆ ก็ยังพออาศัยบารมีความบ้าระห่ำในอดีตขอค่าเดินทางได้สักสามหมื่นห้าหมื่น แต่เมื่อนานวันเข้า พี่น้องในวงการเห็นผมเริ่มเสื่อมอำนาจ พวกเขาจึงไม่สนใจผมอีกต่อไป แต่เนื่องจากผมใช้จ่ายมือเติบจนเคยตัว เมื่อไม่มีเงินใช้แล้วจะทำเช่นไรดี
ตอนนั้นผมจึงยึดอาชีพเป็นหัวขโมย ในระหว่างนั้นผมได้คบพวกหัวขโมยในบ่อนอยู่หลายคน ดังนั้นตอนที่ออกหากินในยามค่ำคืนจึงมีรายได้อยู่ไม่น้อย
หลังจากผมทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งก็เริ่มมีความกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ระยะหลังก็รู้สึกว่าการทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เป็นเรื่องยุ่งยาก อีกทั้งของที่ได้มาก็ปล่อยขายได้ยากมากขึ้นทุกที สุดท้ายจึงใช้วิธีปล้นเอาเสียเลย มีอยู่หลายครั้งที่ผมแอบซุ่มอยู่ตามหน้าธนาคาร หากผมหาเป้าหมายที่เหมาะเจาะก็มักจะสำเร็จราบรื่นเสมอมา ตอนนั้นผมไม่เคยสนใจเลยว่าการกระทำเช่นนี้จะมีความร้ายแรงถึงชีวิต ส่วนตำรวจที่แม้จะพยายามจับกุมตัวผมอยู่ก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่เคยรู้เลยว่าใครเป็นคนกระทำ และผลงานของผมก็มักจะถูกลงข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ ดังนั้นจึงทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานอย่างที่สุด
เมื่อครึ่งปีก่อน ผมกับพวกได้แอบเข้าไปในบ้านเศรษฐีคนหนึ่ง เราอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครอยู่บ้านเข้าไปรื้อข้าวรื้อของจนกระจัดกระจาย ตอนนั้นเราได้ทรัพย์สินเงินทองตั้งมากมาย ก่อนจะกลับเรายังเปิดเหล้านอกดื่มฉลองกันอย่างสนุกสนาน แต่ในขณะที่เริ่มเมามายและจะถอนตัวกลับ อยู่ ๆ หญิงเจ้าของบ้านกับลูกสองคนก็เข้ามาในบ้าน ครั้นเธอเห็นเราสองคนและข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น เธอก็ตกใจจนแผดเสียงลั่น ผมพยายามห้ามเธอก็ไม่ยอมฟัง ด้วยอารมณ์ที่กำลังเมาจากฤทธิ์สุรา ผมจึงคว้ามีดเดินมุ่งหาเธอทันที ครั้นหญิงเจ้าของบ้านเห็นมีดก็ร้องตกใจดังมากขึ้นกว่าเก่า ผมจึงเสือกมีดแทงเธอไปโดยไม่รอช้า เธอส่งเรียกร้องขอความช่วยเหลืออย่างสุดชีวิต ผมจึงรีบซ้ำมีดรัวแทงเธอเข้าไปอย่างสุดกำลัง เลือดสาดกระเซ็นไหลโชกไปตามเนื้อตัวของหญิงเจ้าของบ้าน ใบหน้าเธอชักกระตุก ดวงตาเบิกโต และล้มตัวเสียชีวิตไปในที่สุด ใบหน้าของเธอในตอนนั้นเป็นใบหน้าที่ผมไม่มีวันลืมเลือนได้
เรารู้ว่าได้ก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้ว เราทั้งสองจึงรีบทิ้งเด็กที่ยืนตกใจสองคนไปอย่างรวดเร็ว ข่าวชิงทรัพย์ฆ่าคนตายได้ถูกตีพิมพ์บนหน้าหนังสือพิมพ์อย่างครึกโครม มันเป็นข่าวใหญ่มากในขณะนั้น พวกเรารู้ตัวดีว่าหากครั้งนี้ถูกจับก็มีแต่ตายสถานเดียว ดังนั้นจึงตกลงกันว่าจะกบดานหายตัวไปสักพัก
ในช่วงเวลานั้น ผมจะใช้สุรากลบความรู้สึกหวาดผวาอยู่ทุกวัน แต่ใบหน้าอันสยดสยองก่อนตายของหญิงเจ้าของบ้านก็มักจะปรากฏอยู่ในห้วงความทรงจำไม่ยอมหาย
ต่อจากนั้นไม่นาน ผมเริ่มฝันเห็นรูปร่างที่โชกเลือดของเธออยู่ทุกค่ำคืน มันเป็นภาพที่เธอเบิกตากลมโตด้วยแสงสีเขียว เธอยืนอยู่เบื้องหน้าผมด้วยใบหน้าโกรธแค้น พร้อมตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “ไอ้ฆาตกร เอาชีวิตของกูคืนมา” จากนั้นเธอจะค่อย ๆ ก้าวหาผมอย่างช้า ๆ ผมกลัวจนขนพองสยองเกล้า ผมกระเถิบหลังชนฝาจนไม่มีที่จะหลบได้อีก และเธอก็พุ่งเข้าบีบคอผมในทันที ผมตกใจร้องลั่นและตื่นขึ้นมาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา จากนั้นผมก็จะไม่กล้าหลับตานอนอีกเลย
หญิงคนนั้นมาหาผมแทบทุกค่ำคืน และเธอก็ทำให้ผมตกใจจนแทบคลั่งได้ทุกครั้ง ในภายหลังเธอเพิ่มความร้ายกาจมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า เพราะเธอปรากฏเป็นตัวเป็น ๆ ให้ผมเห็นเลยทีเดียว อยู่ในห้องอาบน้ำ อยู่บนเตียงนอน หรือกระทั่งโผล่เป็นเงาในถ้วยเหล้าที่ผมดื่ม ผมตกใจจนคลานร้องขอชีวิตอยู่ตลอดเวลา
เนื่องจากผมถูกตำรวจหมายจับอยู่ ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนที่นอนอยู่บ่อยครั้ง แต่หญิงคนนั้นก็ยังตามรังควานผมไม่เลิกรา ผมหนีไปที่ไหนเธอก็จะตามไปถึงที่นั่น ผมมักจะมีความรู้สึกเย็นวาบเสียวสันหลังอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ผมเดินบนท้องถนน ผมมักจะรู้สึกว่ามีคนคอยสะกดรอยตามอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ข้างหลังผมเลย แต่ผมกลับได้ยินเสียงเท้าคนอย่างชัดเจน ในภายหลัง นอกจากจะได้ยินเสียงเท้าแล้ว ผมยังได้ยินเสียงโซ่ตรวนตามมาอีกต่างหาก เสียงนั้นสะกิดให้ผมนึกถึงโซ่เท้าในคุกขึ้นมาทันที “หรือว่าพญายมจะมาจับตัวผมแล้ว ?” เมื่อคิดดังนี้ก็มักจะทำให้ผมขวัญผวาขึ้นมาทุกที
สามเดือนที่ผ่านมา จิตใจของผมแทบจะถึงขั้นพังทลาย แต่ละวันมีแต่ความรู้สึกสะลึมสะลือเสมือนคนที่ไร้วิญญาณ ผมเริ่มมีอาการพร่ำเพ้อออกมาเหมือนคนบ้า เสื้อผ้าขาดวิ่น ใบหน้ามอมแมม สารรูปของผมในตอนนั้นดูเหมือนผีอยู่ไม่น้อย
มีอยู่วันหนึ่ง ผมรู้สึกหิวจนแทบขาดสติ เงินที่มีในกระเป๋าก็ใช้ไปจนหมดแล้ว ดังนั้นจึงไปฉกอาหารของแผงลอยแห่งหนึ่ง คนเดินถนนต่างร้องโหวกเหวกให้ช่วยจับขโมย ตอนนั้นผมรีบวิ่งหนีเข้าไปในซอยที่คุ้นเคยแห่งหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ ก็สะดุดล้มลงอย่างไม่มีสาเหตุ ชาวบ้านจึงช่วยกันจับตัวผมส่งที่สถานีตำรวจ เมื่อตำรวจทำการตรวจสอบประวัติ ประวัติทั้งหมดของผมก็ปรากฏออกมาในทันที ทางเจ้าหน้าที่สงสัยว่าในระหว่างที่ผมหลบหนีจะต้องมีการก่อคดีความอย่างแน่นอน ด้วยความรู้สึกที่ตื่นตระหนก บวกกับเหมือนจะมีพลังอย่างหนึ่งที่ควบคุมจิตใจของผมอยู่ ผมจึงสารภาพเรื่องราวที่เคยทำไปทั้งหมด รวมทั้งคดีใหญ่คดีนั้นด้วย
การสารภาพของผมได้ทำให้ตำรวจถึงกับตะลึง หลังจากที่ได้ผ่านการชี้ตัวจากผู้เสียหายและยืนยันความผิดของผมแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ก็ส่งผมไปควบคุมตัวและไม่อนุญาตให้มีการติดต่อใด ๆ กับภายนอกอีก ในคืนที่ผมถูกกุมขัง หญิงคนนั้นได้ปรากฏออกมาให้ผมเห็นอีกแล้ว เธอยังคงเผยดวงตาสีเขียวดุดัน ใบหน้าโกรธเกรี้ยว เนื้อตัวโชกไปด้วยเลือดเหมือนเดิม ในมือของเธอถือโซ่เส้นหนึ่ง เธอคือผีตายโหงตัวเป็น ๆ อย่างแท้จริง
เธอตวาดใส่ผมอย่างน่ากลัวว่า “ไอ้ฆาตกร มึงควรจะมีวันนี้ตั้งนานแล้ว ต่อให้มึงตอนนี้มีปีกก็หนีไม่พ้น กูจะไปคอยมึงที่แดนประหาร เอาชีวิตของมึงมา...” จากนั้นเธอก็โผเข้าใส่ผม ทำเอาผมขวัญกระเจิงจนคลานไปทั่วพื้น เธอยังพูดด้วยน้ำเสียงดุดันอีกว่า “ไอ้ฆาตกร พญายมรอมึงอยู่นานแล้ว วันที่มึงลงนรก มึงจะได้ลิ้มรสความทรมานอย่างสาสม”
จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่หนังสือเล่มที่มีปก “พระกษิติครรภพุทธเจ้า” บนชั้นหนังสือ เธออยากให้ผมรับรู้ว่าจะได้รับโทษอะไรในขุมนรกบ้าง หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า “ท่องเมืองนรก” ผมกราบวิงวอนเธอให้อภัย เธอเปล่งเสียงร้องไห้โหยหวนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา ตอนนั้นผมยังขวัญผวาไม่หาย นึกในใจว่าการที่วันนี้สะดุดล้มลงอย่างไม่มีสาเหตุจนถูกจับกุมตัว ดูแล้วคงจะเป็นฝีมือของเธอเป็นแน่
เดิมนั้น หากว่าผู้ร่วมก่อการยังไม่ถูกจับกุมตัว ผมก็ยังพอจะมีชีวิตต่อไปได้อีกสักระยะหนึ่ง
แต่ผมคงถูกลิขิตให้มีชีวิตอยู่ได้เพียงเท่านี้กระมัง เพราะเมื่อสามอาทิตย์ก่อนผู้ร่วมก่อการได้ถูกจับกุมตัว และเราก็ถูกอัยการส่งฟ้องในทันที คดีของผมถูกตัดสินจบทั้งสามศาลอย่างรวดเร็ว คดีที่สมรู้ร่วมคิดชิงทรัพย์จนทำให้เจ้าทรัพย์ถึงแก่ความตาย ศาลตัดสินโทษให้ประหารชีวิต และอีกไม่นานก็จะดำเนินคดีตามคำพิพากษาศาล ลางสังหรณ์อันแรงกล้าของผมบอกว่าคือเช้าวันนี้นี่เอง
เรื่องราวทั้งหมดเป็นคำสารภาพอย่างไม่มีการบิดเบือนอำพลาง ผมนำมันเขียนออกมา หวังว่าจะทำให้ผมรู้สึกสบายใจได้บ้าง ช่วงเวลาที่ผมถูกกุมขัง ผมได้อ่านหนังสือธรรมะไปหลายเล่ม โดยเฉพาะคือหนังสือท่องเมืองนรกเล่มนั้นที่ทำให้ผมรู้สึกขนลุกซู่ หวาดผวา และรู้สึกสำนึกเสียใจอย่างที่สุด ผมได้ทำการสำนึกผิดเป็นครั้งแรกในชีวิต แม้การสำนึกผิดในครั้งนี้จะเป็นการสำนึกที่จริงใจก็จริง แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
ผมลองนำพฤติกรรมของผมเปรียบเทียบกับเนื้อหาในหนังสือ ผมรู้อย่างแท้จริงว่า ผมนอกจากจะมีความผิดที่ต้องรับโทษอาญาตามกฎหมายแผ่นดินแล้ว ในด้านคุณธรรมจริยธรรมนั้น อย่างน้อยผมยังต้องรับผิดชอบเรื่องความไร้ความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองอีกด้วย สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ผมก็ไม่เคยแสดงความกตัญญูกตเวทีมาก่อน ทั้งยังแสดงวาจาก้าวร้าวต่อท่านอยู่เสมอ นี่จึงเป็นความอกตัญญูอย่างยิ่ง
สำหรับภรรยาและลูกนั้น ผมก็ไม่เคยให้เงินทองกับพวกเขาเลย มีแต่ดุด่าตบตีเธออยู่ตลอดเวลา นี่คือความไร้มนุษยธรรมอย่างที่สุด ส่วนตัวผมเองก็ไม่เคยใช้ความสามารถในการหาเงินหาทองเลยแม้แต่น้อย นี่ก็เป็นบาปในข้อหาเกียจคร้านการทำกิน สำหรับคนที่ไร้ความจงรักภักดี ความกตัญญู ไร้มนุษยธรรมและเกียจคร้านไม่ยอมทำกินเช่นนี้ หากเทียบกับหนังสือ “อวี้ลี่เป่าเชา” และหนังสือ “ท่องเมืองนรก” แล้ว นอกจากจะต้องปีนภูเขาดาบ ตกกระทะทองแดง กระชากเส้นเอ็น เถือเนื้อถลกหนังแล้ว หากยังต้องตกลงสู่อเวจีอย่างไม่ได้ผุดได้เกิดอีกด้วย หรือหากจะมีเหตุปัจจัยอันน้อยนิดที่จะได้ผุดได้เกิด แต่ก็ยังต้องเกิดเป็นวัวควายในภูมิเดรัจฉานและรับความทรมานจากมีดดาบอีกไม่รู้ยาวนานเท่าไหร่ แล้วจึงจะสามารถเกิดในครอบครัวของคนยากแค้น หรืออาจจะเกิดเป็นคนพิกลพิการได้
ผมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำเหลือเกิน บวกกับความหวาดกลัวต่อผลวิบากที่จะต้องได้รับในอนาคต ก็ยิ่งทำให้ผมมีความเพ้อฝันอยากมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้นไปอีก เพื่อจะได้รีบสร้างบุญสร้างกุศลไปชดเชยในบาปที่ทำให้มากยิ่งขึ้น
แต่ชีวิตของผมได้ถึงจุดจบแล้ว เวลาของผมเริ่มนับถอยหลังแล้ว ไม่มีใครสามารถช่วยผมได้อีกแล้ว ผมร่ำไห้อย่างเจ็บปวด แต่สิ่งเหล่านี้ยังจะมีประโยชน์อันใดอีก มันเป็นเรื่องป่วยการสำหรับคนที่มีความชั่วช้าสามานย์แล้วเพิ่งจะมารู้สำนึกในช่วงสุดท้ายของชีวิตเช่นผม ผมเพิ่งจะรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ผมมีในอดีต ผมไม่เคยรู้จักทะนุถนอมมันเลย ทุกอย่างที่ผมมีล้วนเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างสุดที่จะประมาณ ทั้งชีวิต พ่อแม่ ลูกเมีย ความดีงามทุกสิ่งในชีวิตของผม ฮ่าย ! ในเมื่อได้เกิดกายเป็นคน แต่เหตุใดจึงไม่ตั้งหน้าตั้งตาเป็นคนที่เที่ยงธรรมเล่า ? เมื่อพลาดโอกาสเป็นคนในครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้เกิดเป็นคนอีก
ครั้นผมเขียนจนถึงตรงนี้ ผมรู้สึกห่อเหี่ยวสิ้นหวังเสียเหลือเกิน
และก็เป็นจริงตามนั้น เรื่องที่ผมสังหรณ์กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว พวกเขามาแล้ว พวกเขามาตรวจสอบประวัติและจะกุมตัวผมไปที่แดนประหารแล้ว ผมอ้อนวอนพวกเขาให้เวลาผมอีกสักห้านาที ให้ผมได้เขียนคำสารภาพบาปก่อนตายให้จบเสียก่อน ด้วยอายุเพียงสามสิบกว่าปีเช่นผม แต่กลับได้ก่ออาชญากรรมแทบทุกอย่างที่มีในโลกใบนี้ และบัดนี้กำลังเผชิญหน้ากับการลงโทษของแผ่นดิน
นกที่ใกล้ตาย น้ำเสียงนั้นเศร้าสลาย ส่วนคนที่ใกล้วาย อันวาจาก็หวังดี
ผมอยากจะฝากให้เหล่าอาชญากรทั้งหมดบนแผ่นดิน ขอให้พวกคุณดูผมเป็นตัวอย่าง จงรีบกลับเนื้อกลับตัวเถิด อันชีวิตนั้นหายาก อันเวลานั้นยากรั้ง อย่าได้เหมือนเช่นผมเลย
แม้อยากจะขอประวิงเวลาสักหนึ่งนาทีเพื่อกลับตัวเป็นคนใหม่ อยากจะขอชดเชยความผิดพลาดในอดีตที่เคยทำ ก็ยังทำไม่ได้เลย ความรู้สึกของผมในตอนนี้ หากไม่ได้มาประสบด้วยตัวเองคงจะสัมผัสไม่ได้หรอก ผลลัพธ์ของผมในตอนนี้ก็สาสมแล้ว
ฮ่าย ! พลาดเท้าไปเพียงนิด แต่ต้องเสียใจตราบชั่วกัลปาวสาน
พวกเขาเร่งผมแล้ว แม้ผมจะยังมีความสำนึกผิดและความรู้สึกอีกมากมายที่อยากจะบรรยาย แต่ก็ยังจนด้วยปัญญาที่จะทำ จึงหวังให้ชาวโลกทุกคนจงเชื่อในกฎแห่งกรรม หวังให้ทุกคนได้เห็นหนังสือสารภาพบาปของผมฉบับนี้ และจงนำเรื่องราวของผมเป็นอุทาหรณ์ อย่าได้เดินตามรอยผมอีกเลย หากว่ามีใครที่ได้อ่านแล้วสำนึกกลับใจ กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่ ก็นับว่าเป็นบุญกุศลอย่างหนึ่ง บางทีอาจจะพอผ่อนผันการลงทัณฑ์ในขุมนรกของผมได้ไม่มากก็น้อย และนี่ก็เป็นความหวังเล็กน้อยสุดท้ายที่ตั้งใจ...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา