26 ต.ค. 2019 เวลา 03:22 • ไลฟ์สไตล์
เรื่องสั้นชุด "ชีวิตต่างแดน" ตอน "Don't Be Serious" โดย...ตุ๊กดุ๋ย เลิฟลี่...
ฤดูหนาวของอเมริกานั้นค่อนข้างยาวนาน
เดือนพฤศจิกายนก็เริ่มเข้าบรรยากาศของความเย็นยะเยือก และในบางปี...ช่วงกลางเดือนนี้ ก็มีหิมะมาเยี่ยมเยือนแล้ว หนาวยืดเยื้อไปถึงเดือนมีนาคมโน่นเลยทีเดียว
คนชอบอากาศหนาวอย่างผมก็รู้สึกยินดี เพราะเข้าคอนเซ็ปต์หนีร้อนมาพึ่งเย็น
แต่การไม่ได้เห็นแสงแดดสวยใสละไมตานานๆ นั้น
ก็ทำให้หดหู่ ดูซึมเศร้าได้เหมือนกัน
คิดถึงแดดจัดๆ สะบัดบิ้นที่บ้านเรา แม้จะดูมากมาย หรือยาวนานเกินพอดีไปหน่อย
แต่มันก็เข้ากับหาดทรายสวย ทะเลใส ได้ดียิ่งนัก
ท้องฟ้าครึ้ม ซึมเศร้า มันจะเข้ากับทะเลได้อย่างไร !!
ผมนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นทิวหิมะยาวเหยียดเป็นทุ่งกว้างไกลลิบตา
มีฝูงกวางวัยละอ่อนเดินเรียงแถวกันมาประมาณ 10 ตัว
หาเลาะเล็มหญ้า ซึ่งแทบจะไม่มีแล้ว เนื่องจากถูกหิมะปกคลุมไปเกือบทั้งหมด
นี่น่าจะเป็นภาพธรรมชาติที่สวยที่สุดเท่าที่จะหาได้ในยามนี้แล้ว
คนเราสุขบ้าง ทุกข์บ้าง เป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน
“ขอให้อยู่อย่างมีความสุขนะคะ”
คำพูดของ จนท.DO หญิงวัยกลางคน ที่มาส่งผมถึงห้อง
ในวันแรกที่มาอยู่ที่นี่ ผมยังจำได้เสมอ และพยายามทำให้มันเป็นอย่างนั้น
อย่าซีเรียส อยู่อย่างมีความสุข และสนุกไปกับมัน !!
เอเลี่ยน 60 กว่าคนที่อยู่ด้วยกันที่ห้องนี้ มาจากต่างถิ่น ต่างที่ ร้อยพ่อพันแม่
ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม และต่างจิต ต่างใจ
ไม่มีอะไรดีไปกว่า การให้อภัยกัน
มีพี่ดำคนหนึ่ง ผมไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม ไม่เคยพูดคุย
รู้แต่ว่ามาจากแอฟริกา แต่ประเทศไหนก็ไม่ทราบแน่ชัด
พี่คนนี้ แกจะมีเอกลักษณ์ประจำตัวคือ ต้องใส่เสื้อแจ็คเก็ตตลอดเวลา
ไม่รู้ว่ามันจะหนาวอะไรนักหนา เพราะเขาก็ปรับฮีทเตอร์ให้อุณหภูมิห้องพอดีๆ แล้ว
แต่คิดไปอีกนัยหนึ่ง มันอาจจะมาจากประเทศทางตอนกลางของทวีปที่เส้นศูนย์สูตรลากผ่าน ภูมิอากาศร้อนแบบขี้แตกขี้แตน พอมาเจอหนาวของอเมริกาที่ไม่คุ้นเคย ก็เลยต้องสวมเสื้อกันหนาวไว้ตลอดก็เป็นได้
อายุอานามก็ประมาณสัก 50 ปี วุฒิภาวะ ความคิดความอ่านน่าจะเพียงพอ
แต่มันเป็นคน “นิสัย” มาก !!
คือนิสัยชอบ “ลัดคิว”
ประเทศที่เจริญแล้ว หรือยังไม่เจริญ หรือยังไม่พัฒนาอะไรก็ตามเถอะ
มันก็น่าจะรู้จักคำว่า ก่อน หลัง หรือตามคิวบ้าง
แต่มันไม่สนอะไรทั้งนั้น !!
พอเวลาอาหารเช้า จะมีคูลเลอร์กาแฟ 1 ถังใหญ่ ให้บริการ ส่วนขนมปัง แยม เนย เบคอน ผลไม้ และอื่นๆ ก็อยู่อีกด้านหนึ่ง
จะไปเอาอะไรก่อน ก็ตามสะดวกของแต่ละคน
แต่ก็ต้องเข้าคิว ก่อน หลัง เสมอ
ผมนั้น ชอบที่จะไปเอากาแฟก่อน แล้วมาเอาอาหารทีหลัง
แล้วพี่ดำคนนี้ แกก็เหมือนกัน
ลุกจากที่นอนปุ๊บ ก็ตรงดิ่งมาที่ถังกาแฟทันที !!
ใครต่อคิวอยู่ก่อนแล้ว กูก็ไม่สน !!
กูถือแก้วกาแฟไปอยู่ด้านหน้าเลย โดยไม่ใส่ใจที่จะมาต่อแถวตามคิว คนอยู่ด้านหน้าผม 2 คน มันไม่ยอมให้พี่ดำแทรก มันเอาแล้วก็ไป โดยไม่ยอมให้มีช่องว่างที่จะเบียดได้ พอมาถึงคิวผม ผมผายมือให้พี่ดำเอาก่อน
ในใจผมคิดว่า มึงรีบใช่มั๊ย !! มึงอยากได้ มึงก็เอาไปเลย
มันพยักหน้า และขอบคุณผมทางสายตา แล้วก็เอาไปสบายใจเฉิบ !!
คงมีเพื่อนหลายๆ คนอยู่เหมือนกัน ที่ไม่ชอบมัน และเห็นมันทำแบบนี้บ่อย ๆ
แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร
ผมก็ไม่พูดอะไร ไม่ซีเรียส
ถึงแม้จะรู้ว่า มันเป็นการสะสมนิสัย 5 ส ที่ไม่ดีนัก
แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งเหมือนกัน มันก็โดนต่อว่าจนได้
“Hey man, you have to come in line.” “เฮ้..เพื่อน..นายต้องมาเข้าแถวนะ”
หนุ่มบราซิลคนหนึ่ง พูดอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“Hey..it’s a little bit my friend.” “เฮ้..เล็กน้อยน่า..เพื่อน”
ดูมันสิ ตอบหน้าตาเฉย !! แทนที่จะสำนึก
หนุ่มบราซิลก็ส่ายหัว ทำหน้าเบื่อโลกในความ “นิสัย” ของมัน
ส่วนผมนั้น ก็ยังเป็นคนดีของพี่ดำสม่ำเสมอ
คราใดที่มันตื่นขึ้นมาลัดคิวแล้วเจอผม ผมกราบเรียนเชิญมันก่อนทุกครั้ง !!
มึงหน้าด้านลัดคิวได้ กูก็ให้มึง !!
จนหลายๆ ครั้งเข้า คงทำให้มันละอายใจอยู่บ้าง
มีวันหนึ่ง...ผมผายมือให้มันเอากาแฟก่อน เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“Thank you sir.”
พูดเพราะซะด้วย สัสส!!
มันขอบคุณผม แล้วก็พยักหน้าเป็นเชิงให้ผมเอาก่อน
ผมแปลกใจทีเดียว คิดในใจว่า มึงไม่อยากลัดคิวกูอีกแล้วเหรอ?
แล้วผมก็เอากาแฟไปก่อนมันเป็นครั้งแรก !! ครั้งแรก และครั้งเดียวจริง ๆ !!
หลังจากนั้น มันก็กลับมาลัดคิวผมและคนอื่นอีกต่อไปเหมือนเดิม เฮ่ออ...!!
ผมมีความสุขไปกับมันนะ ที่มันได้กลับมาลัดคิวอีกครั้ง
เห็นเพื่อนมีความสุข ผมก็พลอยยินดีไปด้วย ไม่ซีเรียสครับ !!
เนื่องจากบางเวลา ที่ฐานบัญชาการเตียงของผมไม่ได้มีสมาชิกมาชุมนุม
เพราะบางคนอาจจะไปทำธุระส่วนตัว เข้าห้องน้ำห้องท่า
บางคนก็ไปคุยกับคนอื่น กลุ่มอื่นบ้าง บางคนก็ไปทำภารกิจตามที่ศูนย์ฯสั่งการมา
คราใดที่อยู่คนเดียวเงียบ ๆ ผมก็จะนั่งเขียนหนังสือ หรือคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย
แล้วเวลาปล่อยความคิดไปตามอารมณ์ ก็จะดูเหมือนคนเหม่อลอย บางครั้งก็อาจจะแอบยิ้ม บางครั้งก็อาจจะดูเศร้าสร้อย ซึ่งมันแสดงออกมาโดยเราไม่รู้ตัว
“มูซ่า” หนุ่มซาอุดิอาระเบีย ก็มาทักผมบ่อยๆ ว่า
“You look serious, Mr. Mike.”
เขาชอบใช้คำว่า “มิสเตอร์” หน้าชื่อผมเสมอ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มึงจะทางการไปทำไมนักหนาวะ แม้แต่ “ซาบา” น้องชายของเขาก็เรียกผมแบบนี้
“You look sad, Mike.” นังผินก็เอากะเขาด้วยเหมือนกัน เวลาเห็นผมเหม่อลอย
แล้วผมก็ตอบพวกเขาไปเหมือนๆ กันแหละว่า
“No, I’m just thinking, not serious.”
“ไม่นะ..ฉันก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย..ไม่ซีเรียสหรอกน่า”
แต่วิลสัน หนุ่มล่ำจากฮอนดูรัส ดูจะมาหนักกว่าเพื่อน
“Hey Mike, are you okay?”
“Yeah, I’m okay man.” ผมโอเคอย่างที่ตอบไปจริงๆ ไม่ได้ซีเรียสแบบที่มันทักสักหน่อย
“You pray to God.” “คุณสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าสิ”
“No, I’m Buddhist.” “ไม่หรอก..ฉันเป็นชาวพุทธ”
“Why not? God bless everyone and God has only one.”
“ทำไมล่ะ..พระเจ้าอวยพรให้ทุกคนนะ และพระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว”
“I don’t know him.” “ฉันไม่รู้จักเขาว่ะ!!”
ผมตอบวิลสันไปตามความจริง ประสาคนบ้านนอก ที่ไม่รู้จักคำว่าหลอกลวง
วิลสันชะงัก!! และก็อึ้งรับประทานไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบว่า
“No matter, believe me, he will bless you.”
“ไม่เป็นไรหรอก..เชื่อฉันสิ..พระองค์จะอวยพรให้คุณ”
“Thank you, my friend.”
ผมพยักหน้าและขอบคุณวิลสันไป แม้เราจะต่างศาสนากัน แต่ความปรารถนาดีสามารถส่งให้กันได้เสมอ
วิลสันก็เป็นคนหนึ่งในหลายๆ คน ที่ไม่ซีเรียส
คำพูดของเขาจะเจือปนด้วยเสียงหัวเราะเสมอ
แล้วก็ทำให้คนได้ยินพลอยอารมณ์แจ่มใสไปด้วย
ผมไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร เสียงหัวเราะของเขาเหมือนกระรอกแทะต้นไม้
แคร่กๆๆๆๆ ครี่ๆๆๆๆ ประมาณนี้แหละ
แต่ว่าบางที ความไม่ซีเรียสของเขา ก็อาจจะทำให้คนอื่นซีเรียสขึ้นมาอย่างนึกไม่ถึงก็เป็นได้ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ครั้งหนึ่ง...ที่ฐานบัญชาการเตียง
ผมกลับมาจากอาบน้ำ เห็นนังผินกับวิลสันนั่งคุยกันอยู่ก่อนแล้ว
เรื่องก่อนหน้านั้น ผมไม่รู้ว่าสองคนนี้มันคุยอะไรกัน
แต่เรื่องปัจจุบันที่ผมได้ยิน เป็นเรื่องที่สุภาพสตรีกระแดะแดดอย่างนังผินไม่ชอบที่จะสนทนานัก
“ขอถามเธออย่างตรงไปตรงมาอีกครั้งนะ เธออายุเท่าไหร่?”
ความหมายนั้นก็คือ วิลสันเคยถามนังผินมาหลายครั้งแล้ว แต่หล่อนก็ไม่เคยตอบจริงๆ จังๆ สักที วันนี้ได้โอกาส ก็เลยถามอีกครั้ง
“30” นังผินตอบสั้นๆ ทำหน้าเชิดหน่อยๆ เพื่อจะได้ดูเด็กสมวัย
“ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันรู้นะว่า เธอเกิดปีไหน” วิลสันพูดดักคอ เพื่อจะต้อนให้นังผินเข้ามุม และยอมสารภาพความจริง
“ไม่มีทาง เธอไม่รู้หรอก” นังผินตอบแบบมั่นใจ ไม่สะทกสะท้าน
“ฉันรู้ ฉันไปทำงานห้องครัวทุกวัน ที่นั่นมีรายชื่อ และข้อมูลทุกคน” วิลสันอ้างแหล่งที่มาของข้อมูล ทำให้นังผินสะอึกไปเล็กน้อย
“ไม่จริงหรอก ข้อมูลโกหก” นังผินแถออกข้างไปดื้อ ๆ
อันที่จริง ผมเองนั้นก็ไม่รู้หรอกว่า ในห้องครัวมีข้อมูลของทุกคนตามที่วิลสันพูดหรือเปล่า
ผมรู้แต่ว่า นังผิน..มึงจะโกหกอายุของมึงไปทำไมวะ !!
ผมนั่งฟังไป แล้วก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน
แถมยังให้อายุตัวเองแค่ 30 โถ...อีห่าราก...!!
มึงช่างไม่ดูหนังหน้าของตัวเองซะบ้างเลย
หน้ายังกะหนังไก่วัยใกล้เกษียณแล้ว !! ยังจะอวดอ้างว่าตัวเองเป็นสาวอีก
เฮ้อ...นังผินนะนังผิน...สาวฟิลิปปินส์ขวัญใจสัปเหร่อจริงๆ..มึงเนี่ย...!!
แต่บทสรุปข้อสนทนาระหว่างสองคนนี้ ก็ยังเหมือนเดิม
วิลสันก็ไม่ได้คำตอบอะไรจากนังผิน
นังผินก็ยืนยันในความ 30 ยังแจ๋วของมัน !!
แต่สุดท้าย...ทุกคนก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก รวมทั้งผมเองด้วย !!
Let it be….
Don’t be serious !!!
โปรดติดตามตอนต่อไป ; "ห้องสมุด...สุดช้ำ"
โฆษณา