26 ต.ค. 2019 เวลา 15:46 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
5G กับ เสรีกัญชา อะไรจะมาก่อน เอ๊ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน
2 สิ่งนี้ดูเหมือนจะต่างกันสุดขั้ว แล้วมันจะเป็นสิ่งที่ช่วยกู้วิกฤติเศรษฐกิจและสังคมไทยได้อย่างไร
5G กับ เสรีกัญชา ถ้าจะเกิดต้องมีอะไรที่ต้องใส่ระบบความคิดชุดใหม่ ความกล้าหาญ และต้องลงมือทำอย่างรวดเร็ว
มาว่าเรื่อง 5G ก่อนละกัน
ก่อนมาว่ากันเรื่อง 5G มาดูสถานการณ์ของค่ายมือถือตอนนี้ก่อน
4G ถึงทางตัน? ตอนนี้แต่ละค่ายต่างติดกับดัก ว่าด้วยเรื่องข้อจำกัดของเทคโนโลยี 4G และ spectrum ที่ราคาสูงและมีอย่างจำกัดทำให้ต้องมีการลงทุนในอุปกรณ์เครื่อข่ายที่มากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยข้อจำกัดที่กล่าวมา ส่งผลให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ 4G ได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย
คาดว่าถ้ารวมกัน 3 ค่าย เฉพาะค่าอุปกรณ์และ service ในการขยายเครือข่ายนั้น มีเงินไหลออกนอกประเทศเเหยียบแสนล้านแล้ว
ปลดล็อคข้อจำกัดและเปิดโอกาสใหม่ด้วย 5G?
สิ่งสำคัญที่สุด ของ 5G คือ spectrum ซึ่งดูเหมือนรัฐบาลจะมองเรื่อง spectrum ได้เข้าใจลึกซึ้งกว่าเดิม ไม่ใช่ขายทรัพยากรราคาสูงๆ เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าครั้งเดียวอีกแล้ว อันนี้ต้องชื่นชม แต่ยังต้องดูการเคาะราคาและเงื่อนไขอีกที ว่าจะส่งเสริมให้เกิด 5G ในไทยได้มากน้อยแค่ไหน
ต้องปลดล็อคอุปสรรคทุกอย่างและทำทันที รีบหยิบฉวยโอกาสการเป็นผู้นำ 5G มาสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน สร้าง infrastructure จะดึงดูดนักลงทุนและรายได้เข้าประเทศมหาศาลอีกไม่รู้กี่ร้อยพันเท่า มันถึงขั้นพลิกประเทศด้วย 5G ได้เลยทีเดียว เพราะ 5G นั้นช่วยลดต้นทุน ส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆ และต่อยอดในอุตสาหกรรมได้อย่างมหาศาล ตรงนี้นักลงทุนเขารู้ดี
เวลานี้ถือว่าเป็นโอกาสเรื่องต้นทุนของไทยในการลงทุนกับ 5G มาก เพราะมีความไ้ด้เปรียบจากค่าเงินที่แข็งที่สุดในภูมิภาค ประหนึ่งว่า 5G กำลังลดราคาให้เลย
เรื่อง 5G ไม่ขอลงรายละเอียดทางเทคนิค แต่หากมีคนสนใจจะมาเขียนต่อนะครับ
มาต่อเรื่องเสรีกัญชากันพรุ่งนี้นะครับ
มาละ มาว่าด้วยเรื่อง เสรีกัญชา
กัญชาเลวร้ายจริงหรือ? โฆษณาภาพยนตร์เรื่อง Reefer Madness ค.ศ. 1936 – เนื้อหาในภาพยนตร์ที่นำเสนอการใช้ความรุนแรงของผู้เสพกัญชา
เพื่อความเข้าใจเรื่องของกัญชาอย่างถ่องแท้ มานั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากันครับ
2019 ประเทศไทยตื่นตัวเรื่องกัญชา จากการหาเสียงเรื่องเสรีกัญชา ของพรรคการเมืองหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ยังจำกัดไว้แค่ภาครัฐและการศึกษาวิจัยเป็นยารักษาเท่านั้น เป็นเสรีกัญชาแบบกล้าๆกลัวๆ ทั้งนี้จากความตื่นตัวทำให้ธุรกิจกัญชาใต้ดินเติบโตมาก ราคากัญชาในตลาดมืดพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
2018 แคนาดา เปิดเสรีกัญชาเพื่อสันทนาการอย่างเป็นทางการ ชาติที่ 2 ของโลก เพียงไม่กี่ชั่วโมงแรกหลังการอนุญาตให้ขายกัญชาได้ แค่รัฐออแทริโอนัฐเดียว มีคำสั่งซื้อถึง 38,000 รายการ คิดเป็นมูลค่าราว 19 ล้านบาท และมีคำสั่งซื้อต่อวันที่รัฐควิเบก 42,000 ออเดอร์ต่อวัน จนกัญชาทั้งประเทศไม่พอขาย หุ้นของ บ.กัญชาสัญชาติแคนาดา อย่าง Canoby Growth Corporation เพิ่มขึ้นเกือบ 40 เท่าในเวลาแค่ 2 ปี คือราว 160,000 ล้านบาท
2014 รัฐโคโรลาโด สหรัฐอเมริกา ประกาศให้กัญชาถูกกฏหมายอย่างเต็มรูปแบบ และอีกหลายรัฐได้เปิดเสรีกัญชาตามมา รวมแล้วถึงตอนนี้ มี 11 รัฐในอเมริกาสามารถซื้อขายกัญชาเพื่อสันทนาการได้ และอีก 33 รัฐ ให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
Corolado Cannabis station
2013 อุรุกวัย เปิดเสรีทางการแพทย์และเพื่อสันทนาการ โดยมีการควบคุมที่เข้มงวด คนต่อแถวยาวเพราะไม่เพียงพอด้วยข้อจำกัดบางอย่าง
กำลังฝึกเขียน เดี๋ยวมาต่อนะครับลูกชวนเล่น 555
1999 รัฐบาลสหรัฐแบบจดสิทธิบัตรกัญชาหมายเลข US6630507 B1 อ้างสิทธิ์ในการรักษาโรคต่างๆเช่น ระบบประสาท พาร์กินสัน หลอดเลือด หัวใจ เบาหวาน
สิทธิบัตรกัญชาของอเมริกา
1974 อดีตประธานาธิบดี Richard Nixon โกรธจัดเมื่อได้รับสรุปรายงานผลการวิจัยกัญชาจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียที่ทำมา 2 ปี ว่า THC ในกัญชา จะโจมตีเซลล์มะเร็งในร่างกายและคงรักษาเซลล์ที่ดีเอาไว้
1972 อดีตประธานาธิบดี Richard Nixon มอบหมายให้มหาวิทยาลัย เวอร์จิเนีย ทำการวิจัยว่ากัญชานั้นก่อมะเร็ง เพื่อสนับสนุนในการขอเงินเพื่อปราบปรามยาเสพติดมหาศาล แต่ผลกลับตาลปัต
1971 อเมริกา แบ่งบัญชียาเสพติดตามความรุนแรง และกัญชาคือยาเสพติดในบัญชีที่ 1 ที่รุนแรงที่สุด โดยไม่มีคุณสมบัติทางยาใดเลย
1951 อเมริกาเพิ่มความรุนแรงในการลงโทษคดียาเสพติด
1941 อเมริกา ลบกัญชาออกจากตำรับยา และไม่พิจารณาเป็นยาอีกต่อไปในอเมริกา
1938 บริษัท ดูปองท์ ของอเมริกา จดสิทธิบัตรกระบวนการสร้างพลาสติกจากถ่านหินและน้ำมัน และสิทธิบัตรการผลิตกระดาษจากเยื่อไม้ ซึ่งก่อนหน้านี้กระดาษที่ใช้ในการผลิต 70% มาจากกัญชง จากจุดนี้ ทัศนคติ มุมมอง และการทำให้กัญชาผิดกฏหมายจากสหรัฐอเมริกาก็แพร่กระจายไปทั่วโลก
เดี๋ยวมาต่อนะครับ
1937 สภาคองเกรซของอเมริกา ออกกฏหมายห้ามใช้กัญชาทุกรูปแบบ ไม่เว้นแม้แต่การใช้เส้นใยในอุตสาหกรรม แม้จะมีเสียงคัดค้านจากตัวแทนสมาคมแพทย?อเมริกันว่าไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ากัญชาคือยาเสพติดที่อันตราย และจะสูญเสียผลประโยชน์ทางด้านการแพทย์จากกัญชาแต่ก็ถูกปฏิเสธ
1934 หลังจากเหล้าถูกกฏหมายเพียง 1 ปี กองปราบปรามยาเสพติดนำโดย Harry J . Anslinger ก็เริ่มมีการผลักดันให้กัญชาเป็นสิ่งผิดกฏหมาย ทุกวิถีทาง ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจาก “Cannabis” ไปเป็น “Marijuana” เพื่อทำให้กัญชาเชื่อมโยงกับคนแม็กซิกันและคนดำ และอาชญากรรมที่เกิดจากคนชั้นล่าง มีการใช้สื่อและภาพยนต์ชวนเชื่อว่ากัญชาคือ ฆาตกร สร้างความหวาดกลัวให้กับสังคม เเอ. อ
ภายหลังมีการเปิดเผยว่าการกระทำใส่ร้ายกัญชาของ Harry J. เพียงเพราะต้องการเงินสนับสนุนในการปราบปราม และได้รับผลประโยชน์จากบริษัทยา บริษัทฝ้าย ฯลฯ ที่มีพืชกัญชาเป็นศัตรูทางเศรษฐกิจ
1933 เหล้ากลายเป็นสิ่งถูกกฏหมาย
1920 อเมริกา ประกาศให้เหล้าเป็นสิ่งผิดกฏหมาย ห้ามผลิต ครอบครอง หลังจากนั้นไม่นานเหล้าเถื่อนก็สร้างกำไรอย่างงาม ผู้ผลิตเหล้าเถื่อนก็เติบโตขึ้น มีอิทธิพล อาวุธและอำนาจเงินมหาศาล อำนาจมืดก็ตามมาและเป็นเหมือนกันในหลายๆประเทศจนในที่สุด ก็มีเสียงเรียกร้องให้เหล้าถุกกฏหมาย
ภาพจับเหล้าเถื่อน ค.ศ. 1925
1915-1927. ในอเมริกาเริ่มห้ามใช้กัญชาเพื่อความเพลิดเพลิน แต่ยังอนุญาตให้ใช้เป็นยาได้
1890 พระราชินีวิคตอเรีย ทรงได้รับยากัญชาเพทาอบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ยุคนี้ ยาจากกัญชาสามารถหาซื่อได้ทั่วไปในอังกฤษ
1856 อังกฤษ ยังเรียกเก็บภาษีกัญชาจากอินเดีย อิเกียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ
1850 กัญชา ถูกบรรจุเป็นตำรับยาในอเมริกา
1798 นโปเลียน ประกาศห้ามการใช้กัญชาในฝรั่งเศสทั้งหมด หลังจากที่กลับมาจากประเทศอียิปต์และเห็นว่าชนชั้นล่างของอียิปต์นั้นใช้กัญชากันมาก
1776 รัฐ Kentuckey ในสหรัฐเริ่มปลูก Hemp เพื่ออุตสาหกรรมเป็นครั้งแรก
1764 การใช้กัญชาทางการแพทย์เริ่มเกิดขึ้นในอเมริกา โดยรัฐแรกที่มีการใช้น่าจะเป็น New England โดยปรากฏการขายยาที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม
1700 เริ่มมีการแบ่งแยกสายพันธุ์กัญชากับการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรม มีการผสมพันธุ์เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อหลีกเลี่ยงความมึนเมา โดยเรียกกัญชาที่ใช้ประโยชน์จากเส้นใยว่า Hemp
1621 หนังสือชื่อ The Anatomy of Melancholy เขียนโดย Robert Burton ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคซึมเศร้าจากมหาวิทยาลัย Oxford ระบุว่ากัญชาอาจช่วยรักษาอาการของโรคซึมเศร้าได้
1563 Garcia da Orta แพทย์ชาวโปรตุเกสรายงานเกี่ยวกับคุณประโยชน์ทางด้านยาของกัญชา
1533 กษัตริย์เฮนรี่ ที่ 8 (King Henry VIII) แห่งเกาะอังกฤษต้องการยกระดับกองทัพเรือด้วยการสร้างเรือเพิ่มมากขึ้น จึงประกาศให้เกษตรกรปลูกกัญชาเพื่อใช้เส้นใยในการสร้างเรือ ซึ่งใครขัดขืนคำสั่งไม่ยอมปลูกจะมีโทษปรับ
1,300 พ่อค้าชาวอาหรับได้นำกัญชาไปเผยแพร่ ทำการค้าขายแลกเปลี่ยนกับประเทศโมซัมบิกซึ่งเป็นชายฝั่งของทวีปแอฟริกา และภายหลังกัญชาได้ขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว
1,000 เริ่มมีการถกเถียงกันทางด้านวิชาการถึงประโยชน์และโทษของการใช้กัญชา และการใช้กัญชาได้เริ่มขยายวงกว้างไปในประเทศอาหรับ
900 ประเทศอาหรับได้เริ่มใช้กระดาษที่ผลิตจากเส้นใยกัญชา
ค.ศ. 850 ชาวไวกิ้งได้เริ่มใช้เชือก และใบเรือที่ผลิตจากใยกัญชา ทำให้เรือของชาวไวกิ้งแข็งแรงและเดินทางได้ไกลกว่าเรือของประเทศในแถบเมดิเตอเรเนียนอื่นๆ เพราะเชือกและใบเรือจากใยกัญชาของชาวไวกิ้งแข็งแรงทนทานต่อการกัดกร่อนของเกลือจากทะเล เป็นเบื้องหลัง ความสำเร็จที่ทำให้ชาวไวกิ้งเข้าสู่ความยิ่งใหญ่ ในยุคสมัยนั้น
ค.ศ. 130-200 กาเลน(Galen) แพทย์ชาวกรีกที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ตะวันตกมาเป็นเวลานานกว่าพันปี จ่ายยาที่ทำจากกัญชา
ภาพวาดกาเลนในศตวรรษที่ 18 โดยเกออร์ก เพาล์ บัสช์
100 BCE ชาวจีนค้นพบวิธีการทำกระดาษจากใยของพืชกัญชาเป็นครั้งแรกของโลก
ค.ศ. (คริสต์ศักราช) 50 พลูทาร์ค (Plutarch) นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันเชื้อสายกรีกบันทึกว่าชาวเธรซ (Thrace) หรือชาวเมืองที่อาศัยอยู่บนเขตทางเชื่อมของพรมแดน 3 ประเทศ ได้แก่ กรีซ บัลแกเลีย และตุรกี ใช้กัญชาเพื่อความบันเทิง
ค.ศ. 70 ไดออสคอรีตส์(Dioscorides) แพทย์ทหาร ผู้เขียนหนังสือเรื่อง De Materia Medica ตำราพืชสมุนไพรในแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่ถือเป็นตำราทางด้านสมุนไพรรักษาโรคที่ดีที่สุดในยุคนั้น ได้บรรจุกัญชาเป็นส่วนหนึ่งในตำรับยาของเขา
ค.ศ. 100 ราชอาณาจักรอังกฤษได้มีการนำเข้าเชือกจากใยกัญชามาใช้ประโยชน์
6,000 BCE เมล็ดกัญชาถูกนำมาใช้ผลิตเป็นน้ำมันพืช และใช้เป็นอาหารในประเทศจีน
4,000 BCE ผ้าจากเส้นใยกัญชาถูกนำมาใช้ในแถบประเทศจีน และแถบประเทศของชาวเติร์ก
2,737 BCE กัญชาถูกใช้เป็นยาโดย จักรพรรดิ Shen Neng แห่งอาณาจักรจีน
2,000 BCE กัญชาเข้าไปเกี่ยวพันกับศาสนาที่เกิดในแถบทวีปเอเชีย ในฐานะ โอสถชโลมใจ เครื่องชำระล้างจิตใจ สื่อกลางในการเข้าถึงพระเจ้า ยารักษาโรค เครื่องสักการะพระเจ้า และใช้เป็นส่วนสำคัญในพิธีกรรมทางศาสนา ฯลฯ
1800 BCE ในประเทศอินเดีย “Bhang” “บัง” (ใบกัญชาแห้ง เมล็ด และดอก) ถูกกล่าวถึงในบันทึกลับของศาสนาฮินดูว่าเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถใช้เป็นยา และใช้สำหรับถวายแด่พระศิวะ
1,500 BCE เครื่องนุ่งห่มซึ่งเป็นผลผลิตจากเส้นใยกัญชา รวมถึงการทำการเกษตร กระจายอยู่ในแถบทวีปเอเชีย และลุกลามไปถึงทางตอนใต้ของรัสเซียในภายหลัง
500 BCE ชาวไซเทียน (Scythians) ชนเผ่าบนหลังม้า มีรกรากการเดินทางอยู่ในแถวฮังการี มองโกเลีย เป็นชนเผ่าที่ได้เข้าติดต่อกับเหล่าอารยธรรมโบราณต่างๆ เช่น กรีซ อียิปต์ อินเดีย จีน มีการบันทึกว่า ชาวไซเทียน เป็นชนเผ่าที่ใช้กัญชาเพื่อผลิตเชือก ใช้เสพเพื่อความบันเทิง และใช้ในพิธีกรรมทางความเชื่อต่างๆ และเชื่อว่าชาวไซเทียนคือชนเผ่าที่นำการใช้กัญชาในด้านต่างๆ เข้าสู่ยุโรป
ขอบคุณที่มาของข้อมูล

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา