27 ต.ค. 2019 เวลา 14:48
#เล่าเรื่องผี๘๗
"อะนิทัสสะนะอะปะฏิฆา(มหาอุด)"
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณแม่ผมท่านเล่าให้ฟังครับ
สาเหตุมาจากตอนที่ผมพาท่านสวดมนต์ก่อนนอน
เมื่ออาทิตย์ก่อน แล้วผมก็สวดคาถาต่างๆเสริม
ก่อนที่จะนั่งสมาธิและแผ่เมตตา พอแม่ผมท่าน
ได้ยินเลยยิ้มแล้วบอกว่าผมเหมือนคุณตามาก
ชอบสวดมนต์ท่องคาถาต่างๆ มีเรื่องของตาเล่า
ให้ท่านฟังอยากฟังไหม
ผมพยักหน้าให้แม่แล้วท่าน
ก็เริ่มเล่าให้ฟังว่า ย้อนกลับไปเมื่อ พศ.2470
คุณตาผมนั้นท่านชื่อ *ศรีอารย์* แต่คนทั่วไปจะ
เรียกท่านว่า *อารย์(อาน)* นิสัยของคุณตาผมคือ
เป็นคนนิ่งๆ ใจดีชอบช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน
ที่สำคัญท่านชอบสวดมนต์นั่งสมาธิมาตั้งแต่จำ
ความได้
เล่าให้แม่ผมฟังว่าครั้งหนึ่งเคยเข้าไปในป่าไผ่ลึก
บนภูเขาแล้วไปเจอพระสงฆ์ชรารูปหนึ่งครองจีวร
เก่าคร่ำสีหม่นๆ แต่ดูสงบนั่งอยู่หน้ากอไผ่ใหญ่
ท่านนั่งสมาธิอยู่ ตาเห็นก็แปลกใจมองหากลด
หรือใครผู้ติดตามก็ไม่มี พอเงยหน้าอีกทีก้นนี่
จ้ำเบ้าเลย เพราะภิกษุชรานั้นมายืนอยู่ตรงหน้า
"มองหาใคร พ่อหนุ่ม?"
"เอ่อ ขอโทษครับหลวงพ่อ ผมกำลังมองหาว่า
ท่านมายังไง มากับใครครับ!"
"ช่างสงสัยจริงๆ ไม่เคยเห็นพระธุดงค์เลยหรือ?"
"ผมขึ้นมาหาของป่าหลายครั้งแล้ว ยังไม่เคยเจอ
พระแบบท่านเลยครับ"
"หลวงพ่อเพิ่งจะมาถึงน่ะ ธุดงค์มาเรื่อยๆ"
"ถ้าไม่ได้รีบอะไร พรุ่งนี้ผมจะเอาของมาใส่บาตร
ให้ท่านแต่เช้าได้ไหมครับ?"
"ได้สิ แต่อย่าบอกใครก็แล้วหลวงพ่ออยู่ที่นี่
คนยิ่งมากมายความวุ่นวายก็จะตามมา"
หลังจากกราบลาท่านแล้ว ตาอารย์ก็เดินลงมา
ด้วยความดีใจ แต่มันก็ไม่อาจพ้นสายตาเพื่อน
สนิทกันที่ชื่อ *เมฆ* ที่เป็นคนฉลาดแกมโกง
เล่ห์เหลี่ยมเยอะ เมฆเดินตามตาอารย์ไปจนถึง
บ้าน พอไปถึงบ้านก็แกล้งเรียกบอกให้มาหามีเรื่อง
จะคุยด้วย ตาอารย์ก็เดินมาแล้วเมฆก็บอกว่าเมื่อ
กี้ไปบนภูเขาแต่ไม่ได้อะไรติดมือ แต่ทำไมยิ้มกริ่ม
ดูมีความสุขจังเอ็งไปเจออะไรมา ตาอารย์ท่านก็
อึกอักๆ ใจหนึ่งก็รับปากหลวงพ่อไว้แล้วแต่ใจหนึ่ง
ก็กลัวที่ตัวเองจะผิดศีลข้อมุสา คิดในใจว่าบอกแค่
เจ้าเมฆคนเดียวหลวงพ่อท่านคงไม่ว่าอะไรกระมัง
เลยเล่าให้ฟัง พอได้ยินดังนั้นเมฆก็บอกว่างั้นพรุ่งนี้
มันจะขึ้นไปหาหลวงพ่อด้วยเผื่อจะได้ของดีติดไม้
ติดมือ ตาอารย์ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ
เช้าวันต่อมาตาอารย์ทำการนึ่งข้าวเหนียวปิ้งปลาหลดกับปลาเข่งอย่างละตัวใส่ห่อใบตองพร้อมกับหมากส้มมอ(ลูกสมอ)ไปเพื่อจะใส่บาตรพระ เมฆมาดักรออยู่ตีนภูก่อนแล้ว ในตัวมีห่อใบตองอยู่สองห่อเป็น
ข้าวกับหนังวัวทุบปิ้งสุกแล้ว
ทั้งสองคนเดินไปลัดเลาะขึ้นไปเรื่อยๆ เมฆก็บ่นว่าทำไมขึ้นมาไกลจังสงสัยท่านต้องไม่ใช่พระธรรมดาเป็นแน่ พอไปถึงหลวงพ่อท่านยืนหันหน้าเข้าสู่กอไผ่ ค่อยๆหันมาเห็นตาอารย์กับเมฆพร้อมห่อข้าวที่มาถวายก็ยิ้มบอกว่า ท่านมีรูปเดียวทำไมเอามามากมายแล้วนี่ใครมาด้วยได้ยังไง พร้อมกับหันไปมองเจ้าเมฆที่บอกว่าเป็นเพื่อนกับตาอารย์ หลวงพ่อไม่ได้เอ่ยอะไรท่านมองทั้งสองคนแล้วบอกว่า ไหนๆเห็นแก่ที่เอาข้าวมาถวาย หลวงพ่อจะให้ของดีกันคนละอย่างอยากได้อะไร เมฆรีบชิงพูดขึ้นมาว่าผมอยากได้ของที่ทำให้มีเสน่ห์ใครเห็นแล้วรักแล้วหลง ส่วนตาอารย์บอกว่าไม่อยากได้อะไรแค่ได้มาถวายอาหารให้หลวงพ่อก็พอแล้ว
ท่านหยิบไม้แก่นหนึ่งมาไว้แล้วกำ หลับตาท่องคาถาแล้วพอคลายออกมาไม้ในมือหลวงพ่อกลายเป็นไม้ที่มีรูปร่างเหมือนนกตัวเล็กๆ ยื่นให้เมฆแล้วบอกว่าสาริกานกแห่งสวรรค์ ใครเห็นใครรักใครหลง จงใช้มันให้ถูกต้อง ได้เขาแล้วต้องเลี้ยงดูห้ามทิ้งขว้างและที่สำคัญห้ามผิดลูกเมียใคร
มิฉะนั้นจะเกิดผลร้ายกับตัวเอง เมฆไหว้แล้วรับมาใส่กระเป๋าเสื้อแต่ปรากฏว่าอยู่ๆ มีลมพัดเอาไม้นกสาริกากระเด็นไปไกล เมฆเดินตามไปเก็บจนไกล
ทีนี้หลวงพ่อหันมาหาตาอารย์บอกว่า นั่งคุกเข่าหน่อยสิเดี๋ยวหลวงพ่อจะให้พร พอตาอารย์นั่งลงท่านก็หยิบเอาก้อนหินเล็กๆมาจากในกอไผ่ เอามาวางลงบนศีรษะตาอารย์แล้วบริกรรมคาถา แล้วก้อนหินนั้นก็วิ่งลงมาที่หัวไหลลงมาที่แขนขาแล้ววนขึ้นมาที่กลางอก หลวงพ่อบอกว่านี่คือเหล็กไหลในถ้ำแห่งหนึ่งที่ลาว เทวดาที่นั้นถวายให้ท่าน หลังจากที่เจอกันเมื่อวานท่านได้เพ่งดูนิสัยตาอารย์แล้วมั่นใจว่าเป็นคนดีพอที่จะครอบครองได้ อีกอย่างต่อไปจะเกิดร้ายใกล้ๆกับหมู่บ้านที่อยู่เอาคาถานี้ไปคุ้มกันด้วย พอดีกับที่เมฆเดินมาถึงพอดี หลวงพ่อท่านให้พนมมือแล้วตั้งนะโมสามจบแล้วท่องคำว่า
*อะนิทัสสะนะอะปะฏิฆา*....
ซึ่งเมฆก็จำได้พอดี มันกระหยิ่มใจว่าตาอารย์ได้เพียงแค่บทสวดเท่านั้นที่มันก็ได้มาฟังทัน แต่มันได้นกสาริกาอีกอย่าง หลังจากมอบคาถาให้เสร็จหลวงพ่อบอกว่า คาถาเมื่อสักครู่ที่ให้ไปมีข้อห้ามไม่กี่ข้อ ห้ามผิดลูกเมียใคร ห้ามเนรคุณคน ห้ามด่าว่าบุพการี คาถาจะศักสิทธิ์หรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่ที่ว่าผู้ที่ใช้ผิดคำครูหรือไม่ แล้วท่านก็บอกว่าไม่ต้องขึ้นมาอีกแล้วนะ อีกไม่กี่วันท่านก็จะออกธุดงค์ไปต่อ ตาอารย์ก้มกราบท่านแล้วรีบเดินตามเมฆที่ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว ผ่านเหตุการณ์นั้นมา ก่อนที่จะไปทำงานตาอารย์มักจะท่องคาถานี้อยู่เสมอ ซึ่งมีหลายอย่างที่ทำให้ท่านเชื่อว่าคาถานี้ศักสิทธิ์จริงๆ เช่นไปช่วยเกี่ยวข้าวบ้านญาติอยู่ใกล้ๆ ก็ทำกันตามปกติ ไม่รู้ยังไงลุงของตาอารย์มองไม่เห็นแกจังหวะที่ก้มลงไปเก็บเคียวที่หล่นพื้น ลุงก็สับเอาที่คอดังฉับ!! คือคนที่อยู่ใกล้ๆทั้งป้า
น้าสาวกรีดร้องกันหมดคิดว่าท่านคอขาดแล้ว
แต่ตาอารย์ลุกขึ้นมายืนเฉย คอมีเพียงรอยแดงเล็กน้อยที่สำคัญเคียวอันนั้นงอเหมือนเอาไปสับก้อนหินมา
มีแต่คนถามท่านว่าทำไมไม่เป็นอะไร ก็ไม่กล้าบอกใครแค่ว่าดวงยังไม่ถึงฆาตกระมัง ส่วนเมฆหลังจากได้นกสาริกาแล้วปรากฏว่า เที่ยวเล่นบ้านสาวคนนั้นคนนี้ไปทั่ว บ้านไหนลูกสาวสวยนี่ไล่จีบดะหมด แล้วก็ติดด้วยพาไปเถียงนาประจำ ตาอารย์ก็เตือนว่าหลวงพ่อบอกอย่าผิดลูกเมียใคร ได้แล้วต้องดูแลห้ามทิ้ง เมฆก็ยักไหล่บอกว่ามันยังไม่เจอคนถูกใจจริงๆนี่นา
ถัดจากนั้นมาสามเดือนหมู่บ้านตำบลใกล้กันมีงานวัด เมฆมาชวนตาอารย์ไปเที่ยว ตอนแรกก็ว่าจะไม่ไปแต่ที่บ้านก็บอกว่าไปเถอะทำแต่งานไม่เคยไปเปิดหูเปิดตาเลย พอไปที่งานวัดก็มีหนังกลางแปลงขายยา เมียงูอะไรประมาณนั้น แต่ตาอารย์มาสะดุดกับสาวคนหนึ่งที่สวยยิ้มหวาน ก็ไม่กล้าไปทักได้แต่ยืนมอง สาวคนนั้นเดินไปหาผู้หญิงอีกคนที่หน้าตาคล้ายกันคาดว่าน่าจะเป็นพี่น้องกัน เมฆมองตามแล้วบอกว่าสวยทั้งคู่เลยอยากรู้จักเสียแล้วสิ มันเอาไม้สาริกามาพนมแล้วเป่าลมออกไปทางสองสาว พลันเธอหันมายิ้มให้แล้วเดินมาหา คนที่ตาอารย์สนใจชื่อว่า
*สีดา* (ซึ่งต่อมาคือคุณยายผมเอง) ส่วนอีกคนเป็นน้องสาวชื่อว่า *ศรีไพร* เมฆถามว่าบ้านอยู่ไหน ศรีไพรบอกอยู่ไม่ไกลจากนี้ แต่ตาอารย์มองเห็นชายหนุ่มสองสามคนมองมาทางเขาด้วยท่าทางไม่พอใจ ท่านเลยสะกิดเมฆบอกว่ามีคนจองแล้วมั้งสองคนนี้ สีดาหันไปมองแล้วบอกว่านักเลงที่หมู่บ้านเธอเอง ชอบศรีไพรมากเคยขู่ว่าจะฉุดไปทำเมียด้วย ตาอารย์เลยถามว่ามาเที่ยวนี่กับใคร กลับบ้านยังไงไม่กลัวโดนฉุดหรือ
สีดาบอกว่ามากับน้าชายแต่ตอนนี้แกไปเมาอยู่ไหนไม่รู้ ปรากฏว่าน้าของสองสาวเมามากไม่สามารถพากลับได้ เมฆเลยอาสาว่าจะไปส่งกับตาอารย์ หันมองดูชายกลุ่มนั้นหายไปแล้ว พากันเดินตามทางคันนามาเรื่อยๆ พลันชายนักเลงนั้นก็ออกมาพร้อมไม้คมแฝกครบมือ พูดว่าจะเอาสาวทั้งสองคนไปขืนใจที่กระท่อมปลายนา สีดากลัวมากกอดกับศรีไพร เมฆก็เข้าไปสู้พร้อมกับตาอารย์ ด้วยความที่พอเป็นมวยทำให้นักเลงพวกนั้นสู้ไม่ได้แต่ก็โดนไม้คมแฝกตีจนบอบช้ำพอสมควร สาวๆพากลับมาบ้านพร้อมเล่าให้พ่อแม่ฟัง ก็นอนอยู่แคร่บ้านนั้นเลย
ผ่านไปสองวันอาการฟกช้ำเริ่มดีขึ้นจึงขอตัวกลับบ้านกัน พ่อแม่สาวทั้งสองก็เตือนว่าถ้าเจอพวกนั้นอีกให้รีบหนี มันอาจเอาถึงตายได้ ตาอารย์กับเมฆเดินกลับมาช่วงโพล้เพล้แล้ว เห็นวัดอยู่ไกลๆ แต่ต้องตกใจเมื่อเจอโจทย์เก่า นักเลงนั้นอยู่ไกลๆมองดูในมือมันถือปืนมาด้วย ตาอารย์คิดในใจซวยแล้วรีบจับมือเมฆวิ่งหนี ซึ่งเมฆก็วิ่งแต่สบถออกมาว่า
"แม่ง! ตามล้างตามผลาญจังนะไอ้พวกจัญไร!"
"เมฆ มึงอย่าพูดแบบนั้น!"
"กูน่าจะขอคาถาคงกระพันกับหลวงพ่อท่าน
ชิบหายเสน่ห์เหี้ยอะไรโดนปืนยิงแม่งไม่ช่วยอะไรเลย ห่าเอ้ย!"
"อย่าว่าท่านสิ ท่านให้ของดีมึงนะ"
"ถ้ากูโดนยิงตาย ของดีนี่ช่วยกูได้ไหม!"
"เราแยกกันดีกว่า ถ้าไปพร้อมกันเสร็จมันแน่"
"กูไปทำอะไรพ่อแม่มันวะ แค่ไปคุยกับสาวที่มันชอบแค่นี้"
*ปัง!!!!!!!!*..
เสียงปืนไล่หลังมา ตาอารย์วิ่งไปหลบที่กุฏิในวัด ส่วนเมฆเข้าไปหลบในโบสถ์ แล้วกุฏิที่ตาอารย์หลบมันสามารถมองเห็นภายในโบสถ์ได้อย่างชัดเจน เมฆเข้าไปนั่งหน้าพระประธานหอบด้วยความเหนื่อย แต่แล้วนักเลงนั้นก็มาหยุดที่หน้าโบสถ์ พวกมันถามกันว่าไปไหนวะเห็นหลังไวๆ อยู่ๆมีลมพัดประตูโบสถ์เปิดออกทำให้เห็นว่าเมฆนั่งอยู่ข้างใน สองคนวิ่งไปหิ้วปีกมา คนที่เป็นหัวหน้าขึ้นลำกล้องปืนแล้วบอกว่าเก่งนักนะมึงตายเสียเถอะ
"อะนิทัสสะนะอะปะฏิฆา"
*ปัง!!!!!!!*
เสียงลั้นไกปืนหลังจากสิ้นคำท่องคาถาของเมฆที่ร่วงลงไปกองกับพื้นจมกองเลือดตายทันที ตาอารย์ข้องใจทำไมท่องคาถาแล้วยังถูกยิงเข้า
"เฮ้ย! มันอยู่นั่นอีกคนนึง!"
มันชี้มาตรงที่ตาอารย์มองอยู่ ท่านรีบวิ่งลงกุฏิทันที ในใจก็ภาวนาคาถานี้ไปเรื่อยๆ หันหลังกลับไปมองทั้งสามคนกำลังวิ่งตามมา
*ปัง!!...ปัง!!...ปัง!!*
เสียงปืนยิงใส่ตาอารย์ซึ่งท่านยืนยันว่ามันถูกตัวท่านสองนัด แปลกที่มันเจ็บเหมือนแค่คนขว้างก้อนหินใส่ วิ่งมาจนถึงกอไผ่ใหญ่กอหนึ่ง
ท่านเหนื่อยเลยไปแอบอยู่ข้างหลัง อยู่ๆกอไผ่ก็อ้าออกแล้วสิ่งที่ตาอารย์เห็นก็คือหลวงพ่อท่านนั้นยืนยิ้มให้ ท่านกวักมือเรียกให้ตาอารย์เข้าไปหา แล้วก็พูดว่าที่เมฆตายก็เพราะผิดคำครู ท่านสอนว่าอย่าผิดลูกเมียใคร ได้แล้วต้องดูแล และที่สำคัญมันไปด่าบุพการีเขา แม้เขาจะเป็นศัตรูก็ห้ามไปว่าเด็ดขาด ต่อให้มันท่องคาถามหาอุดตลอดเวลาพุทธคุณก็ไม่อาจช่วยได้หรอก ส่วนตาอารย์ที่ไม่เป็นอะไรเพราะเป็นคนดีมีศีลธรรม คนดีมีศีลอยู่แห่งไหนก็เจริญ คนชั่วช้าห่างเหินศีลธรรม อยู่ต่อหน้าพระประธานก็มิอาจต้านกรรม
ตาอารย์ไหว้ท่านแล้วก็เหมือนมีแสงเข้าตาวูบไป รู้สึกตัวอีกทีคือฟื้นที่บ้านสาวสีดาเสียแล้ว เธอบอกว่าไปเจอท่านนอนสลบอยู่ใต้กอไผ่ปลายนาโน่น น้าชายเลยเอาใส่รถไถมาที่บ้านนี่ล่ะ
ส่วนนักเลงสามคนนั่นไม่รู้เพราะกรรมหรือเหตุใด ตามไปจนสุดทางออกมาถนนเจอรถสิบล้อชนตายคาที่ทั้งหมดเลย ตาอารย์ได้แต่ขอบพระคุณหลวงพ่อรูปนั้น แล้วหลังจากนั้นตาอารย์กับยายสีดาก็ไปมาหาสู่กันจนแต่งงานมีลูกด้วยกันหลายคน หนึ่งในนั้นคือคุณแม่ผมนี่ล่ะครับ ท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าคนเราจะเป็นอย่างไร มีของดีคาถาอาคมมากมายเท่าไร แต่หากไร้ซึ่งศีลธรรมและคำสั่งสอนของบุพการีครูบาอารย์แล้ว คนๆนั้นก็จะไม่ต่างอะไรกับสัมภเวสีที่มีลมหายใจ ศีลคือกลิ่นหอมอันดีงามเนื้อนาบุญที่โลกทิพย์จะสามารถรับรู้จากการกระทำของคนที่มั่นในความดี เรื่องราวมีเท่านี้ครับ.......
โฆษณา