28 ต.ค. 2019 เวลา 07:43 • ธุรกิจ
9 แนวคิดผ่านวิสัยทัศน์แต่ละด้านของชีวิตการทำงานตลอด 70 ปี ของในหลวง ร.9 จากหนังสือ “The Visionary ถอดรหัสกษัตริย์ผู้มองเห็นอนาคต” #สานต่อที่พ่อทำ
ตอนที่ 5: แย่แค่ไหนก็กลับมาดีได้
ภาพจาก www.greenlifeplusmag.com
“มาอีกแล้ว แบดแลนด์”
เป็นคำพูดติดปากของในหลวง เวลาที่มีผู้ถวายที่ดินแย่ๆ ให้พระองค์
แบดแลนด์ (badland) ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแบทแมน และไม่ได้หมายถึง
ที่ดินที่ไม่มีมูลค่า ที่ดินที่รกรุงรัง หรือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่หมายถึง
ที่ดินที่ตัวดินมีคุณภาพแย่จนไม่สามารถปลูกอะไรได้ ซึ่งมีอยู่มากใน
ประเทศไทย
คำพูดที่ว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ที่เปรียบเปรยให้เห็นภาพว่า ประเทศไทยช่างอุดมสมบูรณ์นั้น เป็นเรื่องไม่จริง เพราะจากการสำรวจ
สภาพดินระหว่างประเทศไทย เมียนมา มาเลเซีย และเวียดนาม พบว่าดินของไทยมีคุณภาพต่ำกว่าชาติอื่นมาก
ในหลวงก็ทรงทราบเรื่องนี้ดี เพราะหลายครั้งที่มีผู้ถวายที่ดินให้พระองค์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นดินสภาพแย่ ที่ผู้ถวายคิดว่าถ้าหากในหลวงทรงเอาไปสร้างวัง ก็น่าจะทำให้พื้นที่โดยรอบมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน
แต่ในหลวงกลับเห็นต่าง ด้วยคิดว่าการสร้างพระราชวังบนที่ดินผืนนั้นคงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น การทำให้ผืนดินนี้กลับมาใช้การได้อีกครั้งต่างหากคือคำตอบ
บทที่ 1 ร้ายก็รับ
จุดเริ่มแรกของการต่อสู้ระหว่างพระองค์กับดินคือที่เขาเต่า
พื้นที่ซึ่งครอบครองดินที่เลวที่สุดในโลกเอาไว้
เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อปี 2506 ในตอนนั้นในหลวงทรงริเริ่มโครงการอ่างเก็บน้ำที่เขาเต่า ประจวบเหมาะกับที่ ดร.แฟรงค์ อาร์ มอร์แมน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องดินระดับโลกเดินทางมายังประเทศไทยพอดี และได้มีโอกาสมาเข้าเฝ้าฯ
เมื่อ ดร.มอร์แมน เจาะดินตรวจดู ก็พบว่าดินที่เขาเต่าแย่มาก มีสภาพเป็นกรดจัด เรียกว่าดินเปรี้ยวจัด หรือดินกรดกำมะถัน (Acid sulfate soils)
เกิดจากตะกอนน้ำทะเลหรือตะกอนน้ำกร่อย ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ขาดสารอาหารสำหรับพืช ใช้เพาะปลูกไม่ได้ ชาวฮอลแลนด์เรียกดินแบบนี้ว่า แคต-เคลย์ (cat-clays) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นดินที่นำความโชคร้ายมาให้
สรุปว่าในวันนั้น ดร.มอร์แมน ก็อธิบายให้ในหลวงทราบความแตกต่างระหว่างดินประเภทต่างๆ จนพระองค์รู้จักดินมากขึ้นและเกิดสนพระทัย
ในศาสตร์ของดิน
ปัญหาดินเป็นเรื่องใหญ่ เพราะผืนดินเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดเสียยิ่งกว่าน้ำซะอีก
ถึงตรงนี้เราขอเปรียบเทียบให้เห็นภาพ สมมติให้มีห้องอยู่ห้องหนึ่งที่มีน้ำขังเจิ่งนองอยู่ครึ่งห้อง
ทุกคนในห้องต่างก็พยายามเลี่ยงไม่เหยียบพื้นที่เจิ่งน้ำนั้น แต่เมื่อมีคนเดินเข้ามาในห้องเยอะเข้า ก็จะต้องมีคนลงไปยืนย่ำอยู่ตรงบริเวณ
น้ำขังอย่างแน่นอน ไม่ว่าเราจะพยายามแบ่งปันพื้นที่หรือยืนกันอย่างเบียดเสียดยัดเยียดแค่ไหน
ก็เหมือนกับสถานการณ์ของประเทศไทย
ตัวห้องคือพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ พื้นที่น้ำขังคือแบดแลนด์ ส่วนคนก็คือประชากรของไทยที่เพิ่ม
มากขึ้นทุกวัน
จากข้อมูลเราจะพบว่าประเทศไทยนั้นมีที่ดินอยู่ 312 ล้านไร่เท่านั้น
ไม่มีทางเพิ่มขึ้นได้ สวนทางกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในหลวงทรงมองเห็นว่าสักวันหนึ่งก็ต้องมีคนใช้สอยพื้นที่แบดแลนด์เหล่านี้อยู่ดี
ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ พระองค์จึงทรงคิดหาทางปลุกปล้ำปรับปรุงพื้นที่เหล่านี้ให้กลับมาใช้เพาะปลูกได้อีกครั้งเพื่อประชาชนในอนาคต
ครั้นปี 2520 มีผู้ถวายที่ดินบริเวณเขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทรา
เพื่อให้ในหลวงใช้สร้างพระตำหนัก ซึ่งเมื่อได้ลองศึกษาดูพระองค์ก็ทรงพบว่าที่ดินตรงนี้ทรุดโทรมอย่างหนัก ป่าถูกโค่นหมดเพื่อปลูกข้าวโพดและ
มันสำปะหลังซ้ำๆ จนดินเสื่อมสภาพแทบไม่เหลือดี กลายเป็นดินจืดและดินทราย หลังจากทรงพินิจพิจารณาอยู่สองปี ในหลวงก็ตัดสินใจถามผู้ที่มา
ถวายว่าจะขอเปลี่ยนที่ดินตรงนี้เป็นสถานที่สำหรับศึกษาเรื่องการเกษตรแทนได้ไหม
เมื่อผู้ถวายไม่ปฏิเสธ พระองค์จึงโปรดให้สร้างศูนย์ศึกษาพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริขึ้นที่นี่เป็นแห่งแรกของประเทศ
แม้จะมีผู้ทัดทานเป็นจำนวนมากว่าทำโครงการดินนั้นไม่คุ้ม เพราะดินที่นี่ไม่ดี แต่ในหลวงก็ทรงอธิบายว่า
“หากบอกว่าที่นี่ดินไม่ดี ไม่ช่วยไม่ทำ ลงท้ายประเทศไทยทั้งประเทศจะกลายเป็นทะเลทรายหมด”
เพราะดินมีจำกัด ถ้าไม่หาทางพัฒนาดิน แล้วสุดท้ายเราจะหนีไปอยู่ที่ไหนได้
หนทางการแก้ปัญหาอาจเริ่มต้นได้ด้วยการยอมรับในความเลวร้ายที่เรามี
บทที่ 2 เปลี่ยน
เมื่อยอมรับได้แล้ว ก้าวต่อไปคือการปรับปรุง
ดินในประเทศไทยเต็มไปด้วยปัญหา ไม่ว่าจะเป็นสภาพดินเค็ม ดินจืด ดินทราย ดินดาน เป็นต้น แต่ดินเปรี้ยวเป็นปัญหาดินที่คนไทยประสบกันอย่างหนักหน่วง
ในหลวงเองก็ทรงตระหนักในเรื่องนี้ดี ด้วยความที่ทรงมีพระตำหนักที่นราธิวาส ที่ดินแถบนั้นล้วนแล้วแต่เป็นดินพรุ คือดินในป่าพรุที่มีน้ำขัง
เกิดจากการทับถมของซากพืชหนา 40 ซม. ขึ้นไป สภาพดินเป็นสีน้ำตาลแดงเข้มหรือคล้ำ เมื่อสูบน้ำออกเพื่อทำการเพาะปลูก ดินจะยุบตัวลงมาก
น้ำหนักเบา จนพืชไม่สามารถตั้งลำต้นตรงอยู่ได้ อีกทั้งยังมีความเป็นกรดสูงจนเปรี้ยวจัดจากกำมะถัน ทำให้เพาะปลูกอะไรไม่ได้เลย
ในหลวงจึงโปรดฯ ให้ศึกษาวิจัยเรื่องดินเปรี้ยวอย่างจริงจัง
ทรงเริ่มต้นโครงการพิกุลทองใกล้ๆ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ โดยมีโจทย์ว่าต้องเปลี่ยนดินเปรี้ยวให้เป็นดินดีให้ได้
อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ก็มีรับสั่งกับ อาจารย์สิทธิลาภ วสุวัต อดีตอธิบดีกรมพัฒนาที่ดินว่า
“สิทธิลาภ เราแกล้งดินกันไหม…”
ไอเดียก็คือทำให้ดินเปรี้ยวที่สุด ด้วยการทำให้ดินแห้งกับเปียกสลับกันเพื่อเร่งให้ดินปล่อยกรดกำมะถันออกมาโดยเร็ว
แล้วนำดินเปรี้ยวจัดนั้นมาทดลอง
ทรงแนะให้แบ่งที่ดินออกเป็นหกแปลง แปลงละหนึ่งไร่ มีคันดินคูน้ำล้อมรอบ แล้วก็จัดการแกล้งมันด้วยการปั๊มน้ำเข้าออกแปลงดิน
สลับกันไปประมาณสองปี จนดินกลายสภาพเป็นเปรี้ยวจัด
จากนั้นก็ทรงทดลองกำจัดกรดกำมะถันออกไปโดยมีเป้าหมายให้ดินแต่ละแปลงนั้นสามารถปลูกข้าวได้ วิธีการก็มีตั้งแต่ใช้น้ำชะล้าง ใช้ปูน
ปรับค่าความเป็นกรดของดิน ใช้ทั้งน้ำและปูนร่วมกัน ไปจนถึงปล่อยเอาไว้เฉยๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งผลที่ออกมาก็ปรากฏว่าการใช้น้ำร่วมกับปูนนั้น
ได้ผลดีที่สุด คือสามารถนำดินมาปลูกข้าวได้ภายในสามปี พระองค์จึงทรงให้นำวิธีนี้ไปทดลองใช้ในพื้นที่จริงอย่างบริเวณโคกอิฐ-โคกในซึ่งมีดินพรุมากมาย
ผลลัพธ์คือเกษตรกรที่นี่ปลูกข้าวได้เพิ่มขึ้น จากที่เคยปลูกได้ 4-5 ถังต่อไร่ ก็กลายเป็น 40-50 ถังต่อไร่ แถมข้าวพื้นเมืองที่นี่ยังกลายเป็นสินค้า
ขึ้นชื่อของจังหวัดด้วย
จากความสำเร็จในครั้งนั้น ในหลวงจึงโปรดฯ ให้จัดทำเป็นตำราแก้ไขดินเปรี้ยว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลก และยังนำวิธีการนี้ไปปรับใช้ที่จังหวัดนครนายก ซึ่งมีปัญหาคล้ายคลึงกันอีกด้วย
บทที่ 3 หาตัวช่วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
หากว่า น้ำกับไฟเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน น้ำกับดินก็คงเป็นเพื่อนซี้
ในช่วงที่ในหลวงทรงเริ่มศึกษาดินที่ศูนย์พัฒนาเขาหินซ้อน นอกจากกรมพัฒนาที่ดินแล้ว พระองค์ก็ทรงให้กรมชลประทานเข้ามาช่วยขบคิดแก้ปัญหาด้วย เพราะทรงยึดหลักว่า ดินแย่แค่ไหนก็แก้ไขได้ด้วยน้ำ
คราวนั้นทรงเริ่มต้นด้วยการสร้างอ่างเก็บน้ำขึ้นในพื้นที่ แล้วปลูกหญ้าเพื่อยึดดินเข้าไว้ด้วยกัน ร่วมกับการใช้ปุ๋ยเพื่อฟื้นสภาพดินกลับมา
น้ำเป็นส่วนสำคัญในการหล่อเลี้ยงให้ดินชุ่มชื้น ทำให้ดินกลับสู่สภาพดีเหมือนเดิม
เรียกว่าถ้ามีน้ำไหลริน ดินก็มีสภาพดี
แต่ดินในบางพื้นที่ก็ต้องการตัวช่วยมากกว่าแค่น้ำ
เดิมที พื้นที่ตรงห้วยทรายเป็นป่าโปร่ง แต่ภายหลังมีการทำไร่และปลูกสับปะรดจนดินจืดกลายเป็นทราย ต่อมาก็ถูกลมและน้ำชะล้างทราย
ไปจนหมด เหลือเพียงดินดานซึ่งเป็นดินที่แข็งตัวเมื่อถูกอากาศ ไม่มีแร่ธาตุที่มีประโยชน์จนถึงขั้นว่าในหลวงรับสั่งว่าดินที่นี่เป็น ‘แม่รัง’ ซึ่งสภาพ
เลวร้ายกว่าดินลูกรังหลายเท่าตัว
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น พื้นที่ตรงนี้ยังเป็นเขตอับฝน มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 800 มิลลิเมตรเท่านั้น แถมเมื่อฝนตกลงมา ลักษณะดินก็ไม่สามารถ
ช่วยกักเก็บน้ำเอาไว้ ยากที่จะปลูกพืชผลอะไรได้
ในหลวงจึงต้องหาตัวช่วย
แล้วพระองค์ก็ได้พบกับหญ้าแฝก
แต่เดิมคนไทยมักจะใช้ประโยชน์จากหญ้าแฝกเพียงแค่เอามามุงหลังคาเท่านั้น จนกระทั่งปี 2534 ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้รับเอกสารเล่มเล็กๆ ของธนาคารโลกเล่มหนึ่งเกี่ยวกับหญ้าแฝกมาอ่าน เมื่ออ่านจบก็ตัดสินใจทูลเกล้าฯ ถวายในหลวงทันที ครั้นพระองค์ได้อ่านก็พบว่า
หญ้าแฝก คือพืชวิเศษที่นำมาใช้แก้ปัญหาดินได้ โดยแทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรนอกจากแค่ลงแรงปลูกเท่านั้น เมื่อได้ทราบอย่างนี้ในหลวงจึงมีรับสั่งให้เอาหญ้าแฝกมาทดลองใช้งานทันที ซึ่งวันนั้น ดร.สุเมธ อยู่ที่ค่ายพระราม 6 จังหวัดเพชรบุรีพอดี
ก็เลยให้ ตชด. ไปหาหญ้าแฝกมาให้ ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ปรากฏว่าตำรวจเอาหญ้าแฝกมาเรียงเป็นตับเตรียมไว้ให้เรียบร้อย พร้อมมุงหลังคา
ดร.สุเมธจึงต้องบอกว่าขอใหม่ เอาแบบเป็นต้น ไม่เอาเป็นตับ
แล้วพอนำหญ้าแฝกมาทำการทดลองจริง ผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพึงพอใจ เพราะหญ้าแฝกนั้นมีประโยชน์หลากหลายมาก
เริ่มตั้งแต่ราก ที่สามารถชอนไชลงในดินได้ดี แถมยังยึดดินได้แน่นจนสามารถชะลอความเร็วของน้ำที่ไหลบ่าและรักษาหน้าดินได้อีกด้วย
กลับมาที่ห้วยทราย หลังจากในหลวงนำหญ้าแฝกมาปลูก ก็พบว่ารากของหญ้าแฝกชอนไชลงไปใต้ดินดานที่แห้งแข็งได้ แล้วยังทำหน้าที่
คอยยึดดิน ประสานกันเป็นเหมือนกำแพงอยู่ข้างใต้ ทำให้น้ำสามารถซึมและกักเก็บไว้ในดินได้ดีขึ้น ดินก็อ่อนนุ่มลง พอปลูกเสร็จก็ทรงปล่อยทิ้งไว้
ให้ป่าฟื้นฟูสภาพด้วยตัวเองต่อไป ตามหลักการปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก
นอกจากห้วยทรายแล้ว ในหลวงยังโปรดฯ ให้นำหญ้าแฝกไปปลูกตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาดิน เช่น ในโครงการหลวง ที่ทรงนำไปปลูกเป็นคันดินเพื่อเตรียมทำเกษตรแบบขั้นบันได หรือที่เขาชะงุ้ม ที่มีสภาพเป็นทรายจัด ไม่มีพืชขึ้นได้เลยแม้แต่หญ้า แต่ด้วยคุณสมบัติสำคัญของราก
หญ้าแฝกที่เป็นปล้องเหมือนหลอดกาแฟ ก็ทำให้หญ้าแฝกช่วยดินอุ้มน้ำเอาไว้ ทำให้ดินร่วนซุย และยังกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้จนถึงหน้าแล้ง
เลยทีเดียว
จากต้นหญ้าไร้ประโยชน์ที่ไม่มีใครสนใจ หญ้าแฝกกลายเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาดินสุดคุ้ม ราคาประหยัด ที่ช่วยทำให้ดินเลวๆ กลายเป็น
ดินดีอีกครั้งหนึ่ง
การกำจัดปัญหาด้วยการตัดส่วนร้ายทิ้ง น่าจะเป็นวิธีการที่สะดวกที่สุด
แต่ไม่ใช่ว่าทุกๆ ปัญหาจะจัดการด้วยการกำจัดได้ทั้งหมด ดังเช่น ปัญหาดิน ที่ไม่ว่าสภาพดินจะดีหรือเลว เราทุกคนก็ต้องใช้ชีวิตอยู่บนผืนดินด้วยกันทั้งนั้น อีกทั้งประชาชนหลายคนหรือหลายครอบครัวก็ล้วนต้องพึ่งพาอาศัยดิน
การยอมรับ เข้าใจ และศึกษาอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนแปลง จึงเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเลือกทำ แม้หลายคนจะคิดว่าในหลวงไม่อาจทำได้
ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ กราบทูลถามในหลวงว่า
ทำไมท่านถึงเลือกทำการทดลองเฉพาะแต่กับที่ดินยากๆ เช่นนี้ พระองค์ทรงตอบว่า
“ดินยากๆ ดินมีปัญหาไม่มีคนทำกัน เราจึงต้องทำ ถ้าทำได้ก็จะมีประโยชน์”
เพราะทรงรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะเลือกที่ยืนได้
แต่ทุกคนสามารถเลือกจะเปลี่ยนแปลงที่ยืนของตัวเอง ให้เป็นที่ที่เหมาะจะใช้ชีวิตได้
และเพื่อประชาชนของพระองค์ ในหลวงทรงเลือกที่จะทุ่มเทกำลังทั้งร่างกายและความคิด เพื่อให้ทุกคนยืนอยู่บนผืนดินของตนเองได้อย่างมีความสุข
โครงการปลูกหญ้าแฝกเพื่อรักษาหน้าดิน
KEY OF KEYS OF SUCCESS
1. ยอมรับเรื่องร้ายที่เราเป็น
แค่ยอมรับได้ ก็เท่ากับเริ่มแก้
2. การเลี่ยงปัญหาไม่ใช่ทางแก้
ถ้าเจออุปสรรคปัญหา ควรทุ่มเทแรงเพื่อแก้ไข ไม่ใช่หลีกเลี่ยง
3. เริ่มต้นจากปัญหาที่ยากที่สุด
แก้เรื่องยากได้ เรื่องง่ายก็แค่ขี้ผง
โฆษณา