31 ต.ค. 2019 เวลา 12:29 • บันเทิง
เรื่องสั้น : พรหมลิขิตแห่งความคิดถึง
ถ้าจะให้ขึ้นต้นเรื่องแบบที่น่าเบื่อและจำเจเป็นที่สุดในการบอกเล่าเรื่องราวความรักของคนเรา คงไม่พ้นประโยคที่ว่า
"คุณเชื่อในพรหมลิขิตบ้างไหม"
เห็นไหมครับ มันโคตรน่าเบื่อเลยเจ้าประโยคที่ว่ามา แต่อันที่จริง ผมต้องถามคำถามนี้กับตัวเองมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา คุณอยากรู้ใช่ไหมว่าคำถามคร่ำครึที่ว่ามันเกิดขึ้นกับผมยังไง ผมจะเล่าให้ฟัง
ช่วงปิดเทอมหน้าร้อนปีก่อน ผมเก็บกระเป๋า บอกที่บ้านว่าจะไปท่องเที่ยวพักผ่อนเพียงลำพัง จุดหมายปลายทางของผมอยู่ไม่ไกล แค่เมืองที่ในความรู้สึกของผม มันคือส่วนผสมที่ลงตัวอย่างประหลาด ระหว่างความทันสมัยและวัฒนธรรมดั้งเดิมแบบพื้นถิ่น นั่นคือ เชียงใหม่
ผมนั่งรถไฟจากหัวลำโพงตอนช่วงหัวค่ำ ถ้าไม่นับว่านอนไม่ค่อยหลับจากรถไฟไทยที่เหวี่ยงไปมาราวกับเครื่องทดสอบแผ่นดินไหว กับเสียงเอะอะของชาวต่างชาติในที่นั่งใกล้ ๆ ที่นั่งคุยกันจนดึกดื่น การมาถึงเชียงใหม่ตอนสาย ๆ ก็นับว่าเป็นการเดินทางที่ไม่เลวทีเดียว เพราะฆ่าเวลาช่วงเดินทางที่น่าเบื่อได้อย่างรวดเร็วดีโดยไม่ต้องออกแรงอะไรมากมาย
ผมนั่งรถสี่ล้อแดงในตำนาน พร้อมหัวฟู ๆ ที่ไม่ได้ผ่านการอาบน้ำตอนเช้าเพื่อไปเดินเล่นที่กาดหลวง เดินหาอาหารเช้าทานตามแบบที่นักท่องเที่ยวควรจะทำ ผมได้ไส้อั่วกับข้าวเหนียวร้อน ๆ เป็นมื้อเช้าที่ต้อนรับคนกรุงได้สไตล์ล้านนาดีเหลือเกิน
พอจากเดินวนกาดหลวงอยู่จนอิ่มแล้ว ผมมุ่งหน้าต่อไปที่วัดพระสิงห์ วัดที่ถูกแนะนำในคู่มือนำเที่ยวทุกเล่ม ผมคงพลาดไม่ได้ และเมื่อไปถึงผมก็พบกับนักท่องเที่ยวมหาศาลทั้งไทยและเทศ กระจายอยู่แทบทุกมุมของวัด
ผมเพิ่งเดินกลับลงมาจากวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ผมเดินไปทางพระเจดีย์สีทองอร่ามที่เห็นอยู่ไม่ไกล ขณะที่กำลังหันซ้ายหันขวาชมวิวทิวทัศน์รอบ ๆ อยู่นั้น ผมถูกใครบางคนเรียกอยู่ข้าง ๆ
"Excuse me" เสียงเล็กใส ดังขึ้นข้างหลังผม
ผมหันกลับไปมอง ผมเห็นผู้หญิงสาว ผิวขาวละมุน เธออยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มกางเกงสีขาว สวมหมวกปีกกว้างสีฟ้าอ่อนดูเข้าชุดกัน เธอยืนเก้ง ๆ กัง ๆ อยู่ข้างทาง โบกมือเล็ก ๆ นั่นเบา ๆ พอให้ผมสังเกตุว่าเธอกำลังส่งเสียงนั่นให้ผม
"เอ่อ..Me?" ผมชี้นิ้วที่อกตัวเอง ด้วยความสับสนเล็กน้อย
"yes, can you...take the pictures for me,please" ดูเธอก็ไม่ได้จะถนัดภาษาอังกฤษไปกว่าผมสักเท่าไหร่
"O..ok" ผมเดินเข้าไปใกล้ ยื่นมือเพื่อรับกล้องถ่ายรูปในมือเธอด้วยใจเต้นตุบๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ คงเพราะเธอน่ารักด้วยกระมัง ผมจึงประหม่าเล็กน้อย
ผมถ่ายภาพให้เธอสักสามสี่ท่า ชวนให้เธอเปลี่ยนมุมไปมา เพื่อจะได้ภาพในหลาย ๆ มุมมอง เธอก้มหัวขอบคุณทุกครั้งที่ถ่ายให้ ท่าทางขอบคุณกับรอยยิ้มที่อยู่ท่ามกลางแก้มสีชมพูระเรื่อนั้ทำเอาผมแอบยิ้มตามอย่างควบคุมไม่ได้
"Where do you go..next?" ผมถามเธอขณะยื่นกล้องคืนให้
"umm back to hostel..yes hostel" เธอก้มหัวขอบคุณพร้อมเอ่ย "คัมซาฮัมนีดา"
ถ้าจำไม่ผิดมันน่าจะแปลว่า "ขอบคุณ" ในภาษาเกาหลี
"You come from korea?" ผมยิ้มพร้อมเอ่ยถามเธอ
"Wow, you understand my word" เธอกล่าวพร้อมทำตาโต
"Yes, thais people love korea's movie so much" ผมหัวเราะร่วน เพราะผมก็ชอบดูหนังเกาหลีจริง ๆ
"So nice, thank you" เธอยิ้มน่ารักอีกครั้งแล้ว
ผมชวนเธอคุยอีกเล็กน้อย จนรู้ว่าเธอเดินทางมาเพียงลำพัง และพักอยู่แถวโฮสเทลย่านประตูท่าแพ ส่วนผมก็อยู่ห้องพักแบบแอร์บีแอนด์บีที่แชร์กันในกลุ่มท่องเที่ยว เพราะราคาย่อมเยาว์เหมาะกับเงินในกระเป๋า ผมจึงชวนเธอกลับที่พักด้วยกันเพราะที่พักไม่ห่างกันนัก
พวกเราแนะนำตัวและนั่งคุยกันในรถสี่ล้อแดงมาตลอดทาง ใครกันที่ว่ารถสี่ล้อแดงที่เชียงใหม่ขับรถได้แย่มาก ผมว่าเปล่าเลย ผมแทบไม่รู้สึกตัวตลอดการนั่งมาถึงที่พัก หรือเพราะผมจดจ่ออยู่แต่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าแค่นั้น ก็คงอาจเป็นได้
ก็เธอน่ารักเสียขนาดนั้น
ก่อนแยกย้ายเข้าห้องพัก ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมด พยายามหยุดใจที่สั่นระรัว กลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากเพราะความตื่นเต้น แล้วเอ่ยออกไปจนได้
"Meso, can i ask you for dinner tonight?" ภาษาอังกฤษห่วย ๆ ของผมสั่นระรัวจนแทบไม่เป็นคำ
"Ok, please recommend thai food for me too." เธอยิ้มพร้อมทำท่าคีบตะเกียบเข้าปาก
"Sure, can i have your phone number?" ผมยื่นโทรศัพท์ในมือให้เธอ แล้วเธอก็กดหมายเลขจากมือถือเธอแบบเก้ ๆ กัง ๆ เล็กน้อย เพราะคงยังจำหมายเลขที่เพิ่งซื้อซิมการ์ดมาใหม่ยังไม่ได้ถนัดนัก
"Ok see you, Pop" เธอโบกมือเบา ๆ ก่อนหลังเดินไปยังที่พัก
ผมอยากจะกระโดดหมุนตัวสักสิบรอบในตอนนั้น เธอชื่อ มีโซ สาวเกาหลีตัวจริงเสียงจริง นอกจากจะน่ารักแล้วเธอยังมีความเป็นมิตรมาก ๆ ผมชักเริ่มรู้สึกดีกับเธอมากจริง ๆ
ตลอดเวลาที่เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บของในกระเป๋าเป้ใบเดียวที่ติดตัวมาในห้องพัก ผมแทบอดคิดถึงรอยยิ้มของเธอไม่ได้เลย
มิน่า เธอถึงชิ่อ มีโซ ที่แปลว่า 'รอยยิ้ม'
หลังจากมื้อเย็นเป็นร้านอาหารข้างทางแบบสตรีทฟู๊ดง่าย ๆ มีโซ เลือกทานผัดไทย เธอบอกว่าชอบผัดไทยกุ้งสดมาก ๆ รสชาติไม่เหมือนอาหารที่เกาหลีอย่าง จาจังเมี่ยน แต่ก็อร่อยไปอีกแบบ
ส่วนผมทานผัดกระเพราหมูสับไข่ดาว ผมแบ่งให้เธอชิมนิดหน่อย แต่เธอบอกว่ารสจัดและเผ็ดจนน้ำตาไหล เธอซับน้ำตาพลางหัวเราะตัวเองไปด้วย จนผมอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ จนมีโซถึงกับค้อนที่ผมขำเธอที่เป็นแบบนั้น และสุดท้ายเราก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน หลังผมทำหน้าถอดสีที่เห็นเธอทำหน้าค้อนใส่
"Just kidding" เธอพูดพร่ำซ้ำ ๆ
ผมรักรอยยิ้มของเธอ ผมพูดได้เต็มปากเลยตอนนี้
เราชวนกันหาอะไรดื่มต่อนิดหน่อย ผมเสนอร้านแถวริมแม่น้ำปิง เพราะรีวิวในทริปแอดไวเซอร์นั้นคะแนนดีเยี่ยม พวกเรามากันแต่หัวค่ำ จึงได้ที่นั่งมุมเล็ก ๆ ที่เห็นวิวแม่น้ำพอดี
ผมถามเธอถึงเหตุผลของการมาเที่ยวเมืองไทยเพียงลำพัง เธอตอบสั้น ๆ ว่า
"I need to rest" พร้อมสายตาที่มองออกไปไกล น่าจะไกลกว่าสุดฟากแม่น้ำปิง และอาจจะไกลไปถึงเกาหลีเลยก็ได้ ถ้าผมเดาไม่ผิด
"I see" ผมตอบ
หลังจากเงียบไปได้ราว ๆ สิบวินาที มีโซก็เอ่ยแทรกเพลงของร้านที่เปิดคลอเบา ๆ ออกมา
"And why you come here alone?"
เธอหันมาสบตาผม ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าผมตาฝาดหรือเปล่า ที่ผมเห็นน้ำตาที่เอ่อคลอบาง ๆ ในดวงตาคู่นั้น
"I need to forget something" ผมหยิบเบียร์ขึ้นดื่มหลังสิ้นประโยค
"I see" เธอตอบสั้น ๆ
เราเปลี่ยนไปคุยเรื่องท่องเที่ยว และประสบการณ์ที่พบเจอแปลก ๆ มากมาย แต่เรื่องเหตุผลที่คุยกันก่อนหน้าเรากลับทิ้งไว้ราวกับว่า เราเข้าใจคำตอบสั้น ๆ ของกันและกันเป็นอย่างดี
สี่ทุ่มแล้ว ผมชวนเธอกลับที่พักก่อนจะดึกไปกว่านี้ เธอเห็นดีด้วย ระหว่างทางผมอาสาพาเธอเที่ยวด้วยกันอีกในช่วงอีกสองวันที่เหลือ ซึ่งผมรับปากเป็นมั่นเหมาะจะถ่ายรูปให้เธอตลอดทริปนี้ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมยินดีเป็นอย่างมาก และเธอรับคำ
วันต่อมาเราไปเที่ยวปางช้าง เดินเที่ยวคาโนปี้วอล์คเวย์ที่สวนพฤกษศาสตร์ และกลับมาไหว้พระธาตุดอยสุเทพ รอดูแสงพระอาทิตย์ตก และจบวันด้วยถนนคนเดินเชียงใหม่ เป็นวันที่สนุกมาก ๆ เลยทีเดียว
คืนนี้เธอขอเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนที่พาเที่ยวและถ่ายรูปให้ ผมก็ไม่พลาดที่จะตอบตกลงในทันที
หลังมื้อเย็นผมชวนเธอไปนั่งทานของหวานที่ร้านรถเข็นข้างทาง ดูเธอสนอกสนใจทับทิมกรอบในถ้วยมาก เธอบอกว่ามันสวยเหมือนอัญมณี ผมจึงบอกเธอว่าเจ้าบัวลอยสีชมพูในถ้วยของผมก็น่ารักไม่แพ้เธอเหมือนกัน
นั่นทำให้เธอขำกลิ้งและอายจนหน้าแดง
เรานั่งเคี้ยวขนมกันจนแก้มป่องและอิ่มแปร้ มีโซเสนอว่าอยากไปนั่งเล่นชมวิวอีกสักพัก ผมจึงชวนเธอไปที่ดาดฟ้าห้างเมญ่า ที่นั่นมีที่นั่งให้นั่งชมวิวเมืองเชียงใหม่ยามค่ำคืนอย่างเต็มอิ่มทีเดียว
มีโซนั่งทอดสายตาออกไปไกลเหมือนเมื่อคืนก่อน ผมยังอดสงสัยเล็ก ๆ ไม่ได้ว่าคำว่า 'พัก' ของเธอคือเรื่องอะไร แต่คงเป็นการเสียมารยาทหากจะถามเธอตรง ๆ
"I want you to listen this" มีโซยื่นหูฟังข้างหนึ่งในมือมาให้ผม
เสียงร้องเป็นภาษาเกาหลีฟังไม่เข้าใจ แต่ผมกลับคุ้นเคยกับเสียงและดนตรีในเพลงมาก ๆ ผมนั่งฟังจนเพลินแล้วหันไปมองมีโซ เธอกำลังร้องไห้
ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งนิ่ง พยายามไม่ให้เธอรู้ว่าผมกำลังแอบมองเธออยู่
"I love this song so much, it make me miss someone" เธอเอ่ยขึ้นเบา ๆ
" Yes, i can feel from this song" ผมหันไปบอกเธอ
เธอหันมามองหน้าผม สายตาเราทั้งคู่จับจ้องกัน เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมใจเต้นรัว
"Thank you so much, Pop. I will never forget you" เธอเอ่ยขึ้นเบา ๆ ก่อนจะใช้จมูกสัมผัสที่แก้มผมเบา ๆ
ผมอ้าปากค้างทำตาปริบ ๆ ตัวแข็งเหมือนหิน แต่หัวใจเต้นเร็วกว่าไฟกระพริบที่ประดับอยู่หน้าร้านอะไรสักอย่างที่อยู่ไกลออกไปหลายช่วงตึก
"That...that my pleasure. Thank you for your smiles too." ผมรีบพูดจนติด ๆ ขัดๆ แต่มีโซยิ้มพร้อมคราบน้ำตา
เรากลับที่พักหลังจากนั้น คืนนั้นผมแทบนอนไม่หลับ ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เธอคิดคืออะไร เธอคงคิดถึงใครสักคนละมัง หรือเพียงแค่ผมดีกับเธอตลอดสองวันที่ผ่านมา เธอจึงแสดงออกแบบนั้น
แบบที่จะให้ความหวังก็ไม่ใช่ จะบอกปัดก็ไม่เชิง ผมนอนถอนหายใจอยู่หลายครั้ง จนเผลอม่อยหลับไปจนได้
เช้านี้ผมอาสาไปส่งเธอที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ มีโซจะกลับไปที่กรุงเทพแล้วต่อเครื่องบินกลับโซลเลย เพราะนี่คือช่วงสุดท้ายของทริปในไทยแล้ว
เราแลกที่อยู่กัน แต่เธอไม่ได้ให้แอ๊คเคาท์เฟสบุ๊คหรือโซเชียลอื่นใดอีก ซึ่งผมก็ไม่กล้าจะละเมิดความเป็นส่วนตัวของเธอแต่อย่างใด เราจึงมีเพียงที่อยู่สำหรับส่งจดหมายเพียงเท่านั้น
"Thank you for all of your kindness,Pop." เธอเอ่ยคำอำลาสุดท้ายก่อนจะจะเดินหันกลับเข้าไปที่เกทด้านหลัง
ผมได้แต่ยืนยิ้มและโบกมือลา เหมือนเด็กหนุ่มที่ยืนทื่อเหมือนโดนสาปต่อหน้าสาวน้อยที่ไม่กล้าแม้แต่จะสารภาพความในใจ
"Bye. Meso" ผมเอ่ยขึ้นได้เพียงเท่านั้น
"โพโกชิพตา" มีโซเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนเธอจะหันกลับไปพร้อมคล้ายเอามือเช็ดหยาดน้ำตา นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราได้คุยกัน
ผมพยายามส่งโปสการ์ดไปหาตามที่อยู่ของเธอหลายใบ แต่ก็เปล่าประโยชน์ ทุกการมาถึงของบุรุษไปรษณีย์ นั่คือความว่างเปล่าจากกรุงโซล
ผมคิดว่าทุกสิ่งอย่าง ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นที่เชียงใหม่ มันก็คงเป็นเพียงความใกล้ชิดที่อาจทำให้หัวใจเราหวั่นไหว เธอและผม อาจเป็นเพียงคนเหงาสองคนที่บังเอิญมาเจอกัน ก็เพียงเท่านั้นจริง ๆ
แต่แล้ววันหนึ่งมีจดหมายเขียนส่งมาจากกรุงโซล ผมรู้ได้ทันทีว่าเป็นจดหมายของใคร ผมรีบแกะซองอย่างเบามือ ภายในมีกระดาษขาวสะอาด เขียนด้วยลามมือภาษาเกาหลี มีคำที่ผมอ่านออกเพียงสองสามคำ
[ Thank you for everything and miss you so much, Pop. ]
ผมดีใจ รีบติดต่อหาเพื่อนที่พออ่านภาษาเกาหลีได้ให้ช่วยแปล
เพื่อนผมพอเห็นจดหมายกับหน้าบาน ๆ ของผมก็อดแซวไม่ได้ มันจึงรีบอ่านอย่างกระตือลือล้น แล้วพลันสีหน้าก็เปลี่ยนไป
"ไอ้ป๊อป มึงจะให้กูแปลให้มึงจริง ๆ ใช่ไหม" นั่นคือที่ผมพอจำได้ก่อนหน้าที่สติจะดับวูบไป
ผมนั่งฟังเพลงในวันนั้น วันที่เธอยื่นหูฟังให้ผมบนดาดฟ้าที่แสงดวงดาวส่องลงมาแทนดวงไฟ ดวงจันทร์แทนสปอร์ตไลท์ และเพลงที่เธอฟังแล้วร้องไห้ และตอนนี้ผมก็ร้องไห้
จดหมายถูกส่งมาหลังจากเธอเสียชีวิตด้วยมะเร็งสมองชนิดลุกลาม เธอตัดสินใจไม่รักษาและออกเดินทางครั้งสุดท้าย เธอเลือกเมืองไทยเพราะเธอเคยมีความทรงจำที่ดีกับแม่ของเธอที่เสียชีวิตไปแล้วก่อนหน้าหลายปี และผมคือความทรงจำที่ดีอีกครั้งและเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเธอ จดหมายถูกส่งมาตามพินัยกรรมที่เธอทำไว้ก่อนจากไป เพื่อการกล่าวอำลาครั้งสุดท้าย...ให้ผม
ผมปล่อยโฮอย่างไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป
เพลงบางเพลงเคยบอกไว้ว่า เวลาเพียงนาทีอาจทำให้คนคุ้นเคยกัน เพียงหนึ่งชั่วโมงอาจทำให้คนชอบพอกัน และเวลาเพียงแค่หนึ่งวันอาจผูกพันจนรักกัน แต่ทั้งหมดชีวิตคงไม่พอใช้ที่จะลืมเธอได้จากใจผมจริง ๆ
ลาก่อน มีโซ รอยยิ้มของผม แล้วพบกันบนสวรรค์นะ ผมจะคิดถึงคุณตลอดไป
อยากลองฟังเพลงที่เธอให้ผมฟังในคืนนั้นไหม มาฟังเป็นเพื่อนผมสิ แล้วคุณจะคิดถึงใครคนนั้นเหมือนกัน...กับผม

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา