Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ปันอ่าน
•
ติดตาม
1 พ.ย. 2019 เวลา 09:30 • ปรัชญา
" ภาวะกตัญญูเฉียบพลัน "
เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง...ในสังคมสมัยนี้
เรื่องมีอยู่ว่า...
แม่ผัน มีลูก 5 คน ปีนี้ ย่างเข้า 74 ปีแล้ว เรียนจบประถมสาม สามีเสียชีวิตตั้งแต่ลูกคนเล็กอายุได้สองขวบ แม่ผันเลี้ยงลูกคนเดียว หนักเอาเบาสู้ ทำไร่ทำสวน รับจ้างทั่วไป เป็นคนขยัน ประหยัด มัธยัธถ์
ด้วยความที่คิดว่า ตัวเองด้อยการศึกษา ชีวิตจึงลำบาก แม่ผันจึงตั้งใจส่งให้ลูกได้เรียนตามความสามารถของแต่ละคน
จนจบปริญญาตรีกันได้ทุกคน
ยกเว้น "นุช" ลูกสาวคนโต ที่ต้องออกจากโรงเรียนเมื่อจบประถมต้น เพื่อมาช่วยแม่ปลูกผัก ขายของที่ตลาด และช่วยแม่ผันเลี้ยงน้องทุกคน ด้วยความอดทน แม้จะเคยนึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองบ้าง แต่แม่ก็พร่ำสอนให้เสียสละ ช่วยแม่ส่งน้องเรียน เพื่อทุกคนจะได้มีอนาคตที่ดีร่วมกัน
ลูกชายคนที่สองเรียนเก่ง เมื่อเรียนจบได้ทำงานบริษัทที่มั่นคง ไต่เต้าจนได้เป็นผู้จัดการโรงงานที่ต่างประเทศ มีฐานะที่ดี แต่งงาน มีครอบครัวที่นั่น ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ส่งเงินมาช่วยทางบ้านบ้าง เป็นช่วงๆ ลูกชายโทรมาคุยด้วย 2-3 เดือนครั้ง ทุกครั้งแม่ผันก็ดีใจ ตื่นเต้นจนไม่เป็นอันกินอันนอนไปหลายวัน
ส่วนลูกสาวอีกสามคน ก็มีครอบครัวแยกย้ายไปต่างอำเภอต่างจังหวัดกันหมด แม่ผันจึงอยู่กับนุชมาตลอด
จนเมื่ออายุย่างเข้า 71 ก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ ไอโขลกๆ ทั้งวัน กินอาหารได้น้อย ผอมลงมากรักษาตามบ้าน พบหมออนามัย เป็นครั้งคราว อาการทรงๆ ทรุดๆ มาเป็นปี สุดท้ายได้รับการส่งต่อไปตรวจที่โรงพยาบาลจังหวัด
ตรวจอยู่หลายวันจึงพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่สอง จึงได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดกับฉายแสงอยู่เกือบปี
ช่วงแรกแม่ผันแพ้ยา ผมร่วง มีอาการอาเจียนตลอดเวลา ระหว่างการรักษา นุชดูแลแม่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ ลูกสาวอีกสามคนผลัดกันมาเยี่ยม อยู่เฝ้าไข้ได้สองสามวันก็กลับ เพราะมีลูกเล็ก และต้องทำงาน ลางานไม่ได้ ส่วนลูกชาย แม่ผันสั่งลูกทุกคนห้ามบอกเรื่องป่วย เพราะไม่อยากให้เป็นห่วง จนต้องทิ้งงานกลับมาเยี่ยม
แม่ผัน อาการดีขึ้นไม่นาน ขาด้านซ้ายก็เริ่มไม่มีแรง ล้มบ่อย พูดไม่รู้เรื่อง สับสน และไม่รู้สึกตัวบ่อยๆ นุชเฝ้าพยาบาลแม่ด้วยความกังวล เวลาแม่ได้สติ
แม่บอกนุช ว่า "ลูก แม่เจ็บเหลือเกิน เจ็บคราวนี้ แม่คิดว่าคงได้เวลาของแม่แล้วนะ ปล่อยแม่ไปเถอะ แม่อยากกลับไปตายที่บ้านเรา"
นุชแอบร้องไห้ ไม่ให้แม่เห็น ปากก็บอกแม่ว่า "เดี๋ยวแม่ก็ดีขึ้น เหมือนคราวก่อนไง" ทั้งที่ใจเต็มไปด้วยความเวทนาแม่ที่ทุกข์ ทรมาน อย่างที่ไม่คิดว่า จะมีใครทนแบบแม่ได้ ใจหนึ่ง ก็อยากให้แม่อยู่ต่อ เพราะรักแม่มาก อีกใจก็คิดว่า ทรมานแบบนี้
ถ้าเป็นตัวเอง คงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ
แต่ก็ไม่กล้าพูดกับใคร
แม่ผัน อยู่ห้องผู้ป่วยหนัก ตรวจเลือด เอกซเรย์ หลายครั้ง สุดท้าย หมอบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ว่า มีก้อนในสมองด้านขวา อาจจะเป็นก้อนมะเร็ง ที่แพร่เข้า
สู่สมอง
สอบถามญาติว่าจะให้ส่งไปรักษาที่กรุงเทพหรือไม่ โดยแจ้งว่า ถ้าประเมินแล้วสามารถผ่าตัดได้ หลังผ่าตัดอาจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ใส่ท่อให้อาหาร และหากปัสสาวะเองไม่ได้ ก็ต้องคาสายยางไว้
นุชเองคิดว่าตัวเองเรียนมาน้อย ตัดสินใจไม่ได้ ขอหมอปรึกษาญาติ และน้องๆ ก่อน จึงโทรไปตาม น้องชายและน้องสาวทั้งสามคนมาดูอาการแม่
น้องสาวคนที่สามเป็นครู มาเห็นก็ร้อนใจ อยากเอาแม่ไปกรุงเทพฯ เผื่อจะมีวิธีอื่นที่ช่วยแม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จักใครที่กรุงเทพฯ ที่จะพอไปพักอาศัยได้
ส่วนอีกสองคน ว่าจะไปเอายาต้มมาให้แม่กิน จะพาไปรักษากับหมอพื้นบ้าน
แต่ทุกคนก็เข้าใจตรงกันว่า อาการของแม่ดำเนินมาถึงระยะสุดท้าย รักษาไม่หายแล้ว แพทย์พยาบาลที่ดูแลกันมานานก็แจ้งว่า ผู้ป่วยกำลังจะเสียชีวิตในเวลาอีกไม่นาน แนะนำให้เตรียมตัวรับมือกับความสูญเสีย รีบสะสางภารกิจที่คั่งค้าง
และหากประสงค์ จะให้แม่ไปโดยสงบ ก็ขอให้ร่วมกันทำหนังสือแสดงเจตนาปฏิเสธการยื้อชีวิตที่ผู้ป่วยไม่ต้องการ เช่น ปั๊มหัวใจ ใส่ท่อช่วยหายใจ การให้ยากระตุ้นหัวใจ ผู้ป่วย
ลูกทั้งสี่คน ก็ดูจะเข้าใจสถานการณ์ดี สุดท้ายตกลงยินยอมรับในสิ่งที่กำลัง
จะเกิดขึ้น
วันรุ่งขึ้น ลูกชายที่ทราบข่าว ลางานกลับมา เมื่อเห็นพบแม่อาการทรุดหนักก็โกรธ
ต่อว่าพี่นุชและน้องๆ ว่าดูแลแม่ยังไง
ให้อาการมากขนาดนี้ แล้วยังทำหนังสือ
ไม่ให้หมอช่วยแม่อีก
พี่นุช และน้องๆ นิ่งเงียบ ตระหนกกับความโกรธของลูกชายที่แม่รักที่สุด ลูกชายขอให้หมอส่งแม่เข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนด่วนที่สุด กำชับหมอให้ช่วยแม่ให้ถึงที่สุด ให้ปั๊มหัวใจ ใส่ท่อหายใจ ทำอย่างไรก็ได้ให้แม่รอดพ้นวิกฤติคราวนี้ให้ได้
ถึงตอนนี้ ครอบครัวแม่ผัน เกิดความลังเล หวั่นไหวอีกครั้งหนึ่ง นั่งซึมเหม่อ ร้องไห้กันทุกคน
แม่ผัน อยู่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนไม่นาน ก็ต้องย้ายกลับโรงพยาบาลเดิม เพราะปัญหาค่าใช้จ่าย ส่วนลูกชายอยู่ดูแลแม่ได้สิบกว่าวัน ก็ต้องถูกตามกลับไปต่างประเทศ เนื่องจากมีงานด่วนต้องสะสาง ก่อนไปกำชับให้ดูแลแม่ให้ดีที่สุด
แม่ผันนอนไม่รู้สติ ใส่ท่อหายใจ ใส่ท่ออาหาร ใส่สายปัสสาวะ น้ำเกลือ ระโยงระยาง นานอีก 2 เดือนกว่า อย่างทรมาน โดยเฉพาะเวลาต้องดูดเสมหะ แม่ผันเพ้อ ไม่ได้สติ มีแผลกดทับที่หลัง นุชจับตัวแม่ รู้สึกว่าแม่ตัวสั่นเทิ้ม ทรมาน กระสับกระส่าย ตลอดเวลา จนกลั้นน้ำตาไม่ไหว ร้องไห้ทุกวัน จนในที่สุด แม่ผันก็จากไปด้วยความทุรนทุราย ด้วยทุกขเวทนาเป็นอันมาก
นี่คือตัวอย่างของ ภาวะ "กตัญญูเฉียบพลัน"
ที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง ในการดูแลผู้ป่วยหนักระยะสุดท้าย ที่มักจะเกิดขึ้นกับลูกหลาน ที่ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีเวลา ไม่ค่อยได้ดูแลเอาใส่ใจพ่อแม่ ทั้งในเวลาปกติ และยามเจ็บป่วย
เมื่อถึงช่วงของการเจ็บป่วย ระยะสุดท้าย
ก็มักจะทุ่มเททั้งเงิน และ ความพยายามทุกอย่าง เพื่อให้แพทย์ ได้ให้การรักษา เพื่อให้รอดชีวิต
จนลืมคิดไปว่า ในกระบวนการรักษานั้น
ผู้ป่วยจะทรมานเพียงใด เพียงเพื่อจะยื้อยุดชีวิตจากความตายที่กำลังจะเกิดขึ้น
เพราะตัวเองตั้งรับไม่ทัน ทำใจไม่ได้
กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นในทุกสังคมมาตลอด แต่ในยุคปัจจุบันพบได้บ่อยขึ้น อาจเป็นเพราะความเจริญก้าวหน้าของโลกในปัจจุบัน ทำให้การโยกย้าย ถิ่นฐาน เพื่อการศึกษา และการทำงาน เป็นไปได้ง่าย ทำให้ความใกล้ชิด ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ระหว่างคนในครอบครัวลดลง
การที่จะได้มีโอกาสดูแลกันเมื่อเจ็บป่วยน้อยลง ประกอบกับความเจริญก้าวหน้าในวงการแพทย์ ทำให้ เราสามารถรักษาโรคยากๆ และซับซ้อนได้มากขึ้น
จนทำให้คิดได้ว่า ทุกโรครักษาได้
หากมีเงินและโอกาส โดยส่วนใหญ่ลืมไปว่า กระบวนการยื้อชีวิตไปนั้น มิใช่กระบวนการที่ราบรื่นเสมอไป และส่วนใหญ่เต็มไปด้วย ความเจ็บปวด ทรมาน
ดังนั้น เมื่อยามต้องจากกันด้วยความตายจริงๆ บรรดาลูกๆ หลานๆ ที่ต้องมารับทราบกระทันหัน ไม่เคยมีส่วนร่วมในการดูแลมาก่อน จึงเกิดความรู้สึกผิด และเสียใจที่รู้ตัวว่าไม่เหลือเวลาแล้วที่จะตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ผู้กำลังจะจากไป ไม่มีโอกาสทำดีตอบแทน
รวมไปถึงการเข้าใจว่า" ความกตัญญู "
คือการที่ต้องช่วยทำให้คนที่เรารักให้มีชีวิตอยู่ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และควรจะทุ่มเททุกอย่างทั้งหมดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไร ต้องเป็นหนี้สินเท่าไร ขอให้สามารถรักษาชีวิตของบุพการีให้นานที่สุด คือสิ่งที่ดีที่สุด
สำหรับ แพทย์ พยาบาล และทีมงาน ทางการแพทย์ ที่เห็นวัฎจักรชีวิต ตั้งแต่เกิด จนตาย ตลอดเวลาที่ได้เล่าเรียนศึกษา และช่วงที่ปฎิบัติงานซ้ำๆ ในทุกวัน จนเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี เพราะเห็นตัวอย่างมามากมาย
แต่การเข้าไปทำความเข้าใจกับญาติกลุ่มนี้ ที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ คับข้องใจ ปนเป กับ ความเสียใจ และที่สำคัญที่สุด คือความรู้สึกผิดในใจของคนเหล่านั้น เป็นเรื่องยากที่จะทำได้
นอกจากนี้ ปัญหาระหว่างความสัมพันธ์ ของผู้ที่กำลังจะเสียชีวิต ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นความบาดหมาง ความน้อยใจ เสียใจ ในวัยเด็ก ของแต่ละคน ล้วนทำให้เรื่องยิ่งยุ่งยากซับซ้อนไปอีก เพราะ การที่ยังมิได้ทันสะสาง ปรับความเข้าใจ ไม่ทันสั่งเสีย อโหสิกรรมให้กันและกัน ล้วนทำให้ ว้าวุ่นใจได้มากมาย หากต้องจากกันแบบกะทันหันเช่นนี้
มรณานุสติ สอนว่า เพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมกับการจากกัน แบบกะทันหัน ลองสำรวจตัวเอง
ลองถามตัวเราเองว่า ในปัจจุบันเราได้ดูแล ได้ทำดีที่สุด กับคนที่คุณรักแล้วหรือยัง เราได้ติดค้าง คำพูด คำถาม หรือสิ่งใด ที่อยากจะพูดให้รับทราบ เพื่อปรับความเข้าใจกันแล้วหรือยัง
ถ้ายังให้รีบทำเสีย เพื่อว่าเมื่อวันนั้นมาถึง เราจะได้ไม่ต้องเสียใจที่พลาดโอกาสนี้ไป โดยไม่มีโอกาสแก้ตัวใหม่
บทสรุปของเรื่องนี้
1) ความกตัญญูเป็นเรื่องสำคัญที่ควรมีในคนทุกคน โดยที่ มิใช่ต้องมีเพื่อที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์ของความเป็นคนดี เพราะความกตัญญู เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของคนดีทุกคน
2) การตัดสินใจเรื่องการยื้อชีวิต ยังคงอิงอยู่บนพื้นฐานสามัญสำนึกว่า "หากยังมีโอกาสกลับมามีชีวิตที่เป็นปกติได้ ให้ช่วยให้เต็มที่ และทำอย่างสุดความสามารถ"
3) หากเป็นการยื้อชีวิตในการป่วยหนักระยะสุดท้ายของชีวิตจริงๆ หากเราต้องตัดสินใจแทนผู้ป่วย ให้ถามตัวเองว่า ถ้าสมมติว่าเป็นเราป่วยเอง หากช่วยแล้วรอดชีวิต แต่ต้องทรมานต่อไปไม่รู้อีกนานเท่าไร ท่านจะคิดอย่างไร จะตัดสินใจอย่างไร
4) ทุกคนล้วนปรารถนา ให้เกิด...มีชีวิต...และจากไป อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น
No one knows that they will have the next minute or not. Let them have the fullest life anytime.
- หมอปันเฌอ -
*วลี ภาษาอังกฤษ ตอนท้าย ไม่ทราบที่มา ขออนุญาตเผยแพร่ด้วยครับ
*ชื่อ ในเรื่อง เป็น นามสมมุติ ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด หรือหมายถึงใคร
.
Cr : triemsob
บันทึก
3
10
3
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย