1 พ.ย. 2019 เวลา 13:50 • ไลฟ์สไตล์
Pay it forward
ขณะที่กำลังก้าวขึ้นบันไดรถไฟฟ้า bts ไปทีละขั้นๆ ในใจของหญิงสาวยังคงนึกถึงนัดหมายในตอนเย็นนี้อย่างใจจดใจจ่อ
ปลายทางแรกที่สีลม ทำฟันเสร็จแล้ว เธอต้องต่อรถไฟฟ้าใต้ดินที่สีลมไปอีกนัดหนึ่งย่านสาทร...เธอหมกมุ่นอยู่แต่กับความคิดและลำดับการเดินทางของตัวเอง จนไม่ทันได้สังเกตชายหนุ่มที่กำลังเดินสวนกับเธอที่ขั้นสุดท้ายของบันได
เขาเรียกเธอให้หยุด
"ขอโทษนะครับ ไปรถไฟฟ้าหรือเปล่าครับ พอดีผมมีตั๋วหนึ่งวัน แต่ผมไม่ได้ใช้แล้ว ยังใช้ได้อยู่เลย เอาไปใช้มั้ยครับ...เสียดาย..." เขายิ้มพร้อมกับส่งตั๋วในมือให้กับหล่อน
หญิงสาวรับไว้อย่างงงๆ แต่ก็ไม่ลืมกล่าวขอบคุณกลับไป ส่วนชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วเดินจากไปแบบหล่อๆ...
อย่างกับฉากหนึ่งในหนังรักโรแมนติก แล้วก็ไม่ใช่เรื่อง pay it forward ด้วย แต่นี่คือเหตุการณ์จริงที่ไม่มีภาคต่อของฉันเอง..
...สุดท้ายเราก็แยกจากกัน ฉันขึ้นรถไฟฟ้าไปตามนัดหมาย ส่วนเขาก็หายเข้าไปในคอนโดซักแห่งละแวกนั้น...
ระหว่างนั่งอยู่บนรถไฟฟ้า ฉันยังมโนต่อด้วยความเสียดายที่ไม่ได้ตั้งใจแสดงความขอบคุณเขาให้มากกว่านี้ ตอนนี้แหละที่หนังเรื่อง Pay it forward ผุดขึ้นมาในหัว
เรื่องของเด็กชาย แทรเวอร์ ที่คิดการบ้านส่งครูในหัวข้อ "หาแนวทางเปลี่ยนแปลงโลก แล้วนำไปปฏิบัติ" ซึ่งเขาได้เสนอครูด้วยทฤษฎี pay it forward เปลี่ยนการตอบแทนความดี ด้วยการทำดีแก่ผู้อื่นต่อไปอีกสามคน แล้วเด็กชายก็นำไปปฏิบัติจนเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตเขาและคนรอบข้าง รวมไปถึงคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักเขาอีกมากมายในวงกว้าง
เอาล่ะ...เดี๋ยวฉันจะส่งต่อความดีที่ได้รับนี้ให้คนอีกสามคน
พอฉันแตะบัตรออกจากรถไฟฟ้าก็หาทางส่งบัตรต่อให้ผู้อื่นทันที น่าแปลก...มากกว่าสามคนแล้วไม่มีใครกล้ารับ...
ทำไมไม่มีใครเอาไปฟระ!!
ไหงทำความดีมันยากอย่างนี้เนี่ย?!!
เรื่องง่ายกลับกลายเป็นเรื่องยากเพราะคนเราไม่รู้จัก "เปลี่ยน"
ถ้าเปลี่ยนจากการตั้งคำถามว่าฉันได้อะไร หรือฉันเสียอะไร ทฤษฎีนี้จะทำได้ง่ายมาก
ก่อนเข้าไปทำฟันฉันแวะกินกาแฟร้านดังที่อยู่ติดกับร้านหมอ โชคดีมีโปรโมชั่นเครื่องดื่มซื้อหนึ่งแถมหนึ่งพอดี แต่โชคร้ายตรงที่ฉันไปคนเดียวเนี่ยสิ! ไม่รู้จะเอาอีกแก้วให้ใคร
แล้วก็นึกได้...เอาให้หมอฟันดีกว่า
คนให้ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน ส่วนคนรับก็ไม่ได้เสียอะไร
แถมหลังจากได้เครื่องดื่มเย็นๆคนไข้ของหมอคนต่อๆ ไปน่าจะได้อานิสงส์ไปด้วย
ทฤษฎีของแทรเวอร์ เชื่อว่า ทุกคนสามารถสร้างโลกให้น่าอยู่ได้ โดยเริ่มจากการช่วยเหลือคนรอบข้าง ขณะผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือก็ตอบแทนด้วยการส่งมอบความช่วยเหลือให้แก่ผู้อื่นต่อไปเรื่อยๆ เมื่อมีโอกาส เพียงเท่านี้การทำความดีก็จะเพิ่มทวีคูณและสามารถเปลี่ยนโลกให้น่าอยู่ได้
เปลี่ยนโลกเลยมันอาจดูยิ่งใหญ่และไกลตัวเกินไปมั้ย?
การช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้ประโยชน์โดยไม่หวังผลตอบแทน ใกล้ตัวที่สุดมันคือเราได้เปลี่ยนตัวเองจากข้างในก่อน
เราได้รู้สึกดีกับตัวเอง
เมื่อไหร่ที่เรารู้จักทำให้ผู้อื่นได้ประโยชน์โดยไม่มีเงื่อนไขแล้ว เมื่อนั้นเราได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น แล้วโอกาสที่จะเปลี่ยนความคิดผู้อื่นหรือเปลี่ยนโลกมันจะตามมาเอง
#หมึกหวาน
โฆษณา