5 พ.ย. 2019 เวลา 11:27 • บันเทิง
เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้
เป็นชีวิตจริงของนักเรียนมัธยมในกรุงเทพฯ แห่งหนึ่ง..
ที่ผมได้ประสบด้วยตนเอง จะโดยเหตุบังเอิญ หรือ กรรมลิขิตก็สุดแท้
พวกเขา เป็นเพียงเด็กวัยรุ่นธรรมดาๆ
แต่..พวกเขาล่วงรู้ถึง
กรรม
ภพชาติ
ว่าที่แท้แล้ว
พวกเขาเป็นใคร?
มาจากที่ไหน?
และไม่ได้ยึดติดกับพลังพิเศษเหนือคนธรรมดา
ตรงข้าม กลับพยายามละทิ้ง เพราะรู้ว่า ไม่ใช่หนทางที่แท้จริง
สำหรับการหลุดพ้น
เป็นอุทธาหรณ์ที่ดี
สำหรับผู้ปฎิบัติธรรม ที่กำลังติดกับอิทธิปาฏิหาริย์
และเหมาะสำหรับคนธรรมดา ที่กำลังหาทางก้าวเข้าสู่ทางธรรม
คำขอขมาพระรัตนตรัย
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต
กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินองค์พระรัตนตรัย อันมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ โดยมี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปฐม บรมครู ทรงเป็นองค์พระประธาน สิ่งทุกรูปทุกปาง และเจ้ากรรม นายเวร เจ้าบุญนายคุณ ทุกภพทุกชาติ ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และไม่มีชีวิตอยู่ สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกภพทุกภูมิ ทั้งที่ทราบก็ดี ไม่ทราบก็ดี ทั่วทุกจักรวาล อนันตจักรวาล ขอได้โปรดมารับ และอนุโมทนา และอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้า ที่ได้ล่วงเกินด้วย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ในภพชาติใดก็ตาม ด้วยอานิสงส์ผลบุญนี้ ขอให้พ้นจากทุกข์ทุกๆอย่าง สมปรารถนาทุกอย่าง ชนะมารภายใน และมารภายนอก เห็นผลทันตา เห็นทุกชาติ สาธุ สาธุ สาธุ
คำนำ
กว่า 10 ปี ที่ข้าพเจ้าได้อยู่ในวงการโทรทัศน์ ในฐานะมือปืนรับจ้าง เขียนบทละคร ทั่วราชอาณาจักรไทย อาทิเช่น แหมไม่อยากจะเอ่ย เพราะกลัวจะถูกฟ้อง เนื่องจากงานเขียนที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวของชีวิตอันประโลมโลก เน้นความเฮฮา เบิกบาน แต่เจือจางสาระ เปรียบเสมือนลูกอม ที่มีแต่ความซ่าส์ แต่ขาดคุณค่าทางสารอาหาร
กระทั่งวันหนึ่ง สมองซีกซ้ายได้ตะโกนก้องในกระโหลกว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ข้าพเจ้าควรจะสร้างสรรค์ งานที่มีคุณประโยชน์ต่อสังคม โดยใช้เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อเป็นการเตือนตน และคนรอบข้าง ให้ใช้สติในการดำรงชีวิตโดยไม่ประมาท
“ ปาฏิหาริย์ ห้อง 138 ” คือเรื่องราวการถ่ายทอดประสบการณ์ของกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม ที่รวมตัวกัน ณ สถาบันศึกษาแห่งหนึ่ง เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ทั้งบุคคล หรือสถานที่ ล้วนแล้วแต่เป็นจริงทั้งสิ้น แต่ด้วยความจำเป็นบางประการ ทำให้ข้าพเจ้ามิอาจสามารถเปิดเผยนามบุคคล หรือสถานที่ๆ แท้จริงได้ แต่มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอยู่ประการหนึ่งที่ว่า หากเราลองนำเอาเลข 138 มาบวกรวมกันไปรวมกันมาสุดท้ายจะได้ผลลัพธ์คือเลข 3 อันหมายถึง กฏไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันเป็นสัจธรรมในทุกทั่วสากลพิภพ
ท่านที่อ่าน “ ปาฏิหาริย์ ห้อง 138 ” บางทีท่านอาจจะรู้สึกตั้งคำถามในใจว่า เป็นไปได้หรือ? โกหกหรือเปล่า? ถ้าท่านคิดเช่นนั้น ผมก็อยากจะถามท่านว่า ผีมีจริงหรือไม่? ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องเฉพาะตน เหมือนการปฏิบัติธรรม ใครทำใครได้ พูดง่ายๆ เหมือนทานอาหาร ใครกินคนนั้นก็อิ่ม...
“ ปาฏิหาริย์ ห้อง 138 ” เป็นจริงหรือไม่? ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคนเราก็คือ กรรม ที่ตนเองทำไว้ ทั้งดี..และทำชั่ว..กรรมเป็นของตรงๆใครทำสิ่งใดไว้..ก็ต้องรับสิ่งนั้นตอบแทน ไม่ว่าคุณจะเต็มใจ หรือไม่ก็ตาม...
สวรรค์ และนรก มีจริงในโลกนี้ ไม่ต้องรอถึงโลกหน้า เมื่อใดที่เราทำความดี เมื่อนั้นก็เกิด ปิติขึ้นในใจ แต่ยามใดคิดชั่ว...ทำชั่ว จิตใจของเรา..ก็จะเกิดร้อนรุ่ม ...
ใช่ หรือไม่ ลองถามตัวท่านเอง (อย่าหลอกตัวเอง) สวรรค์คอยอยู่ข้างหน้า เพียงแต่ว่าท่านจะไขว่คว้าหรือไม่
หากกุศลกรรมอันใดๆ ได้เกิดขึ้นภายในจิตใจของท่านผู้อ่าน ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนา และขอน้อมมอบแก่ มารดา บิดา ของข้าพเจ้าในทุกภูมิ ชาติ ภพ รวมทั้งเหล่าเจ้ากรรมนายเวร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก จงได้รับโดยถ้วนทั่วกัน..และโดยเฉพาะอย่างยิ่งขอถวายกุศลบารมีอันพึ่งเกิดขึ้นจากการสร้างงานในครั้งนี้แด่ทุกดวงจิต ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ณ ห้อง 138.... .สาธุ... (ขอขอบพระคุณตบท้าย คุณ นงนุช กุลธน และคุณ รัตนสุธรรม โสภณกุล)
 
ศุภณัฐ ทัตกาน
“กรรมเป็นของตัวตน...
กรรมเป็นของเผ่าพันธุ์...
กรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย”
 
1.โองการสวรรค์
9โมงเศษ...
จุดเริ่มต้นที่นำผมเข้าไปพบกับปาฏิหาริย์
“จะบีบแตรไปหา.....มึงเหรอ?”
เสียงตะโกนด่าของคนขับรถเมล์ ดังสนั่นไปทั่วรถ โชคไม่ดีที่ผมดันยืนอยู่ใกล้ กับคนขับพอดี จึงได้รับคำอวยพรเข้าไปเต็มๆ... เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำสองอีก จึงตัดสินใจเดินเบียดเสียดผู้คน ลื่นเลื้อยจนมาถึงบริเวณกึ่งกลางของรถ
จะด้วยเหตุจงใจ หรือบังเอิญก็ไม่ทราบ ผมได้เห็นเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่ง อายุราวๆ 15 ปี กำลังนั่งอ่านบันทึกอย่างจดจ่อ แม้ภายในรถคันนั้นจะแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ซึ่งส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว แต่ก็ไม่สามารถทำลายสมาธิของเธอให้ละสายตาไปจากสมุดบันทึกในมือได้ ที่สำคัญในบางช่วง ผมแอบเห็นเธอ...เผยรอยยิ้ม แต่มีหยาดน้ำตาคลอเบ้าในขณะเดียวกัน
ด้วยนิสัยสอดรู้สอดเห็น ผมตัดสินใจทั้งเบียด ทั้งแทรกตัวเอง เพื่อเข้าไปใกล้ เด็กหญิงคนนั้นให้มากที่สุด อยากรู้ว่า เธอกำลังอ่านอะไร?
ผมมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเบาะที่นั่งของเธอ ดวงตาเริ่มทำหน้าที่ ทั้งเล็ง ทั้งเพ่งไปที่ตัวอักษรในสมุดบันทึกของเด็กหญิงผู้นั้น...แม้การอ่านตัวหนังสือซึ่งเป็นลายมือเขียนจะค่อนข้างทุลักทุเล เพราะอยู่บนรถเมล์ แต่ก็พอจับใจความสำคัญได้ว่า...
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนกำชับให้เราบอกเพื่อนๆ ว่า
ถ้าต้องการให้การปฏิบัติธรรมรุดหน้า
ต้องขยันถอดจิตขึ้นไปเรียนธรรมะที่เบื้องบน
เพราะในโลกมนุษย์นั้น ล้วนเต็มไปด้วย ราคะของกิเลส ตัณหา
ที่จะฉุดลากพวกเรา ให้มัวเมา
และไม่สามารถทำหน้าที่ที่ถูกสวรรค์มอบหมายมาได้”
ข้อความดังกล่าว แปลกประหลาด คำถามมากมายผุดขึ้นมาในใจ นี่มันเรื่องตลกของเด็กสมัยนี้หรือ?
หรือว่า เด็กคนนี้ไม่ใช่คน แล้วเธอเป็นอะไรล่ะ? มนุษย์ต่างดาว?
...???...
แล้วความคิดฟุ้งซ่านก็ต้องถูกสลัดทิ้ง...เมื่อมือของเด็กหญิงผู้นั้น มาสัมผัสที่มือของผมเบาๆ พร้อมกับกล่าวว่า “ขอทางหน่อยนะคะ หนูจะลงป้ายนี้”
ผมฉากตัวหลบ เปิดทางให้เด็กหญิงผู้นั้นลงได้โดยสะดวก...รถเมล์ กำลังจะเคลื่อนตัวออกตัวไปอย่างช้าๆ ความคิดบางอย่างในหัวผมก็ประทุขึ้นมาทันที
“ขอโทษครับๆ ขอลงป้ายนี้ด้วยคนครับ”
ผมสาวเท้าลงจากรถ รีบวิ่งตรงปรี่ไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้นทันที
“น้องครับ!!ๆๆ น้องไม่ใช่ คนหรือครับ”..ผมร้องถาม
เด็กคนนั้นหันรีหันขวาง แล้วหันมาตอบผม “พี่พูดอะไรของพี่ หนูไม่รู้เรื่อง”
ผมสวน “ก็ในสมุดของน้องบอกว่า น้องถูกส่งลงมาจากสวรรค์”
เด็กหญิงคนนั้นแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด “พี่อย่าพูดเสียงดังซิคะ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”
“พี่ไม่พูดเสียงดังก็ได้ แต่น้องต้องบอกพี่มาก่อนว่า ที่พี่พูดเมื่อตะกี้นี้..มันใช่หรือเปล่า? ”
เด็กหญิงค่อยๆ พยักหน้ารับช้าๆ อย่างไม่เต็มใจ ผมเริ่มออกความคิด “เอายังงี้ดีไหม ถ้าน้องพอมีเวลา พี่อยากจะขอคุยกับน้องสักหน่อย”
เด็กหญิงทำหน้าตาฉงน ปนระแวง “พี่จะคุยกับหนูเรื่องอะไร? หนูไม่มีอะไรจะคุยกับพี่ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนะ พี่คิดไม่ดีกับหนูหรือเปล่าก็ไม่รู้?”
ผมรีบชูมือห้าม “..อ้าว...ใจเย็นๆ ก่อนซิ...ถามเป็นชุดอย่างนี้แล้วใครจะตอบทันล่ะ ที่พี่อยากจะคุยกับน้องก็เพราะว่า พี่สนใจมากๆ ในเรื่องของน้อง แล้วเรื่องราวของน้องถ้ามีโอกาสได้เผยแพร่ไปให้กับคนอื่นๆ ได้รู้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยนะ”
เด็กคนนั้นจ้องมองหน้าผมตาไม่กะพริบ แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“หนูไม่มีอะไรจะเล่าให้ฟัง ขอตัวก่อนนะคะ หนูต้องรีบกลับไปทำงานต่อที่บ้าน” ว่า
แล้วเธอก็หันหลังรีบเดินผละจากไป ผมพยายามที่จะรั้งตัวเธอไว้ แต่ก็ไม่สำเร็จ
คืนนั้นทั้งคืนในหัวของผมมีแต่เสียงก้องว่า
“ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนกำชับให้เราบอกเพื่อนๆ ว่า ถ้าต้องการให้การปฏิบัติธรรมรุดหน้าต้องขยันถอดจิตขึ้นไปเรียนธรรมมะที่เบื้องบน เพราะในโลกมนุษย์นั้นล้วนเต็มไปด้วย ราคะของกิเลส ตัณหา ที่จะฉุดลากพวกเรา ให้มัวเมา และไม่สามารถทำหน้าที่ๆ ถูกสวรรค์มอบหมายมาได้”
“เป็นไงเป็นกัน..พรุ่งนี้เราต้องรู้เรื่องเด็กคนนั้นให้ได้” ผมพูดกับตัวเอง และผล่อยหลับไปด้วยความเพลีย
โฆษณา