6 พ.ย. 2019 เวลา 03:47 • ปรัชญา
"4ขวากหนาม...ที่ฉุดรั้งชีวิตให้ไร้ความสุข"
ทำไมชีวิตของคนเราจึงไม่มีความสุข..มีเหตุที่ทำให้คนเราต้องจมอยู่กับสถานการณ์ทุกข์ยาก..ช่างมากมายยิ่งนัก
แต่ก็มีข้อสงสัยว่าแล้วเราจะหาแนวทางออกเพื่อไม่ให้ชีวิตต้องตกอยู่ในสภาพเสมือนติดกับดักแบบนั้นได้อย่างไรกันบ้างหนอ
มักมีคนมาแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความทุกข์ใจบ่อยๆ..บางทีการแค่เป็นที่รับฟังก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้เอง..เลยคุ้มค่าเท่ากับราคากาแฟหนึ่งแก้วพอดีเพราะไม่ต้องทำอะไรเลย5555
แต่บางคนต้องทั้งคุยทั้งปลอบและคอยส่งกระดาษทิชชู่ให้..กาแฟแก้วเดียวที่เป็นค่าตอบแทนจึงน่าจะไม่ค่อยคุ้มค่ากับราคาที่คุยกันนัก55555
แต่จะว่าไปแล้ว..เพียงได้ความรู้สึกภูมิใจที่เขาให้เกียรติ์มาปลดปล่อยหาทางออกกับเราก็ปลื้มแล้ว
แม้บางคราวจะทิ้งร่องรอยความเครียดมาแพร่เชื้อให้เหงื่อซึมบ้าง ก็ต้องค่อยๆหาทางบรรเทาอาการติดต่อมาถึงบ้าง..
ความจริงแล้วเมื่อคนเราต้องเผชิญ..อุปสรรคหรือปัญหาใดๆ"ในชีวิตนั้น
หนทางเดียวที่จะช่วยเราได้ก็คือ..การรักษาทัศนคติให้ดีๆอยู่กับตัวเราเอาไว้ให้เหนียวแน่นเป็นพอ
เพราะว่าถ้าชีวิตคนเราจะต้องเสียทรัพย์สินหรือสิ่งใดอะไรก็ไม่เท่าการสูญเสียทัศนคติที่ดีในตนเองไป เพราะถ้าหากหมดไปแล้ว ชีวิตย่อมเท่ากับหมดหวังและหมดสิ้นทุกสิ่งไปเลย
จนยากยิ่งนักที่จะลุกขึ้น กลับมายืนหยัดต่อไปได้
ดังนั้นเมื่อใดคนเราพบอุปสรรคและปัญหาในชีวิต จึงจำเป็นต้องรักษาทัศนะการมองสิ่งรอบตัวให้ดีเข้าไว้..ชีวิตย่อมมีหวัง
เพราะเวลาผ่านไปจะทำให้เงื่อนไขต่างๆที่เข้ามารุมเร้าชีวิต..ลดน้อยลงและจะยิ่งเปิดทางเลือกให้คนเรามีทางออกต่อทุกปัญหาได้มากยิ่งขึ้น
เหมือนคนเราต้องเดินผ่านเส้นทางอันยากลำบากยามดึกดื่นในคืนเดือนมืด มองไม่เห็นหนทางเบื้องหน้าเลย แต่ก็ต้องอดทนก้าวเดินต่อไป
..ในที่สุดแล้วย่อมพบแสวงสว่างเมื่อเช้าวันใหม่มาถึงเสมอ เมื่อนั้นจึงจะสามารถเริ่มมองเห็นหนทางและสามารถเลือกทางเดินใหม่ให้ชีวิตได้
การมองโลกสวยงามอย่างมีสุนทรียภาพ บนฐานความดีงามและความถูกต้องได้ด้วยใจเราจึงมีคุณค่าเสมอ..
เพียงต้องเริ่มต้นอย่างสงบมั่นคงที่ใจเราเองก่อนเท่านั้น...ดังนั้นหากใครสามารถหยุด4สิ่งนี้ได้..ชีวีย่อมมีความสุขพ้นขวากหนามอุปสรรคได้..ดังนี้คือ
(1)จงหยุดความ"รู้สึกความหวาดกลัวในความล้มเหลว"
..ให้เปลี่ยนไปด้วยการมองว่าทุกสิ่งนั้นเป็นเพียงแค่บททดสอบเพื่อการเรียนรู้..ให้รู้จักแก้ไขและหมั่นสร้างสรรค์วิธีการให้ดีกว่าเดิมเป็นการพัฒนายกระดับชีวิต
ดังนั้นพึงหมั่นเตือนตนเองเข้าไว้เสมอว่าชีวิตคนเราจึงไม่จำเป็นต้องคิด พูด ทำ ทุกสิ่งให้สมบูรณ์แบบก็มีความสุขได้..ไม่ต้องเกร็งว่าต้องสำเร็จและตำหนิตนเองมากเกินไป
ใครๆก็มีข้อผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น..เรียกว่าหกล้มได้ก็ต้องลุกขึ้นมาเดินต่อไปให้ได้ "หกล้มหนึ่งครั้ง..ลุกขึ้นสามครั้ง"
(2)จงหยุด"ความรู้สึกหวั่นไหวต่อทุกการเปลี่ยนแปลง "
เพราะความจริงของชีวิตนั้นคือทุกสิ่งไม่เที่ยง ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุดเสมอ
เราไม่ใช่ตัวเราเมื่อวันวานเสมอ เพียงเปิดใจลดการสร้างเงื่อนไขข้อจำกัด พาให้ชีวิตเดินทางไปสู่ทางตันอย่างไม่รู้ตัว
ยิ่งคนเราพร้อมเผชิญและเปลี่ยนความหวาดหวั่นให้ลดลง ปรับวิถีชีวิตให้ดำเนินไปอย่างเปี่ยมความสอดคล้องกับสิ่งรอบตัว ด้วยการมีทัศนะเป็นกลางๆกับทุกสิ่ง
ไม่ให้ความรู้สึกรักโลภโกธรหลงจนสุดโต่ง..ย่อมพลิกชีวิต..พลิกสังคมให้ดีได้ตามความเป็นจริงและมีความสงบสุขในใจได้
(3)จงหยุด"ปล่อยความคิดชี้นำว่าชีวิตเรานั้นเต็มไปด้วยปัญหาอุปสรรคมากมาย"
ทุกสิ่งล้วนพุ่งมาใส่ตัวเราแต่เพียงผู้เดียวบนโลกใบนี้ เพราะทุกคนต่างก็ล้วนพบกับปัญหาทั้งสิ้นไม่มีใครไม่เคยเจอปัญหาเลยแม้แต่คนเดียว
เพียงแต่ว่าใครจะเลือกรับมือต่อทุกๆปัญหาที่ต้องเผชิญเช่นไรต่างหาก
ทุกปัญหาล้วนคือสิ่งสมมุติ..ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างความเจ็บปวดในชีวิตผู้คนจนรู้สึกหนำใจแล้ว..เขาก็จะจากเราไป..แล้วส่งปัญหาอุปสรรคเวอร์ชั่นใหม่ๆเข้ามาเยือนเป็นระยะๆ
เมื่อเรานิ่งแล้วค่อยๆคลี่ปมอุปสรรคให้ได้ที่ละปม เมื่อคลายปมได้เรื่อยๆปมปัญหาจะหลุดและคลายตัวไปได้เสมอ..แล้วชีวิตจะมีปัญหาลดลงเรื่อยๆ
(4)จงหยุด"คิดและกินลูกท้อทุกวันจนท้อแท้ห่อเหี่ยวพลอยหมดกำลังใจในตนเอง"
ลูกท้อมันมักทำให้คนเรากลายเป็นคนซึมเศร้าเหงาใจ
ชีวิตคนเรานั้นแปลกแต่จริงตรงที่ ใครคิดอย่างไรกับตัว มักจะส่งผลให้ตนเองเป็นไปตามเช่นนั้น..
เรียกว่าทุกคนเสมือนมีพลังศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ในตัว..เพียงใครจะใช้ออกมาให้เป็น"คาถาเพื่อสร้างชีวิต"หรือจะให้เป็น"คำสาปทำลายชีวิต"ของตนเอง..
เมื่อคนเราสามารถหยุดสี่สิ่งนี้ได้..ชีวิตจะยิ่งมีหนทางเลือกเพื่อแต่งแต้มสีสันให้ชีวิตเบิกบานเป็นสุขได้ดั่งใจเรา
..เป็นภาพสุขในชีวิตที่เราคือศิลปิน..สร้างได้ด้วยหัวใจที่มองเห็นโลกในแง่ที่มีความงดงาม ที่น้อยคนนักจะมองเห็น
ถือเป็นดินแดน Unseen Land ที่คนทีมีทัศนะคิดลบ..ยากจะเข้าถึงและเข้าใจได้..."
โฆษณา