11 พ.ย. 2019 เวลา 00:15 • กีฬา
หงส์แดง แรงดีไม่มีตกเปิดบ้านตบ เรือใบ 3-1 ทิ้งห่าง 9 คะแนน
ลิเวอร์พูล ทำศึกนัดหยุดโลกกับ แมนฯ ซิตี้ ที่สนาม แอนฟิลด์ ในค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ต่อให้ยังไม่ถึงช่วงครึ่งฤดูกาลก็ตาม แต่ผลการแข่งขันในเกมนี้อาจส่งผลถึงการลุ้นแชมป์ได้เลยเพราะถ้า ลิเวอร์พูล ชนะขึ้นมา แมนฯ ซิตี้ จะถูกทิ้งห่างเป็น 9 แต้มทันที
"หงส์แดง" ปรับทัพ 5 ตำแหน่งจากเกมเชือด เกงค์ 2-1 แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, เดยัน ลอฟเรน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ กลับมาเป็นตัวจริงหลังได้พักมาเมื่อกลางสัปดาห์
ในระบบ 4-3-3 อลีสซง เบ็คเกอร์ ประจำการด่านสุดท้าย แบ็กโฟร์วาง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เดยัน ลอฟเรน, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน
แดนกลางจัด จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่ และ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม เชื่อมเกมร่วมกัน แดนหน้าฝากไว้กับ 3 เทพ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่
"เรือใบสีฟ้า" เปลี่ยนถึง 7 ตำแหน่งจากเกมเสมอ อตาลันต้า 1-1 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เอแดร์ซอน เจ็บจนไม่พร้อมเฝ้าเสาเลยเป็นโอกาสของ เคลาดิโอ บราโว่ แต่ก็ได้ โรดรี้ เอร์นานเดซ สลัดเดี้ยงกลับมาคุมแดนกลาง
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลือกใช้หมาก 4-2-3-1 เคลาดิโอ บราโว่ รับผิดชอบหน้าปากประตู คู่เซนเตอร์แบ็กเลือก แฟร์นันดินโญ่ ประสานงานกับ จอห์น สโตนส์ แบ็กขวา-ซ้ายเป็น ไคล์ วอล์คเกอร์ กับ อังเคลินโญ่
แดนกลางใช้ โรดรี้ เอร์นานเดซ จับคู่กับ อิลคาย กุนโดกัน โดย เควิน เดอ บรอยน์ ถูกดันขึ้นไปยืนหน้าต่ำ ตัวรุกริมเส้นจัด แบร์นาร์โด้ ซิลวา กับ ราฮีม สเตอร์ลิง สนับสนุน เซร์คิโอ อเกวโร่
เกมผ่านไปเพียง 6 นาที "หงส์แดง" ตีปีกนำก่อน 1-0 จากจังหวะสวนกลับเร็ว มาเน่ กระชากถึงริมเขตโทษฝั่งซ้ายแล้วเปิดเข้ากลาง กุนโดกัน ถอยไปสกัดไม่ขาด ฟาบินโญ่ เก็บได้ก่อนตะบันด้วยขวาเต็มหลังเท้าจากระยะ 25 หลาพุ่งเบียดเสาซ้ายมือเข้าไป
โดยแข้ง "เรือใบสีฟ้า" เข้าไปประท้วงไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ผู้ตัดสิน เพราะมองว่าพวกเขาควรได้จุดโทษจากจังหวะก่อนหน้านั้นที่บอลไปโดนแขนของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แต่สุดท้ายผู้ตัดสินไม่ว่าอะไร
2 นาทีต่อมา แมนฯ ซิตี้ เกือบตีเสมอเร็วจากฟรีคิกกราบซ้าย เดอ บรอยน์ เปิดไปเสาแรก สเตอร์ลิง โฉบโหม่งแต่โดนเหลี่ยมไม่ดีส่งบอลหลุดกรอบออกไป
นาที 11 ทีมเยือนได้ฟรีคิกหน้าเขตโทษฝั่งขวา เดอ บรอยน์ ปั่นโค้งไปหน้าประตูแต่ อเกวโร่ กับ สโตนส์ พุ่งเข้าชาร์จไม่ถึงอย่างน่าเสียดาย
ลิเวอร์พูล ฉวยโอกาสจากเกมสวนกลับเร็วจนขึ้นนำ 2-0 อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ วางข้ามฟากจากขวาไปให้ โรเบิร์ตสัน กระชากขึ้นมาทางซ้ายแล้วเปิดเข้าเขตโทษกระดอนพื้นหนึ่งจังหวะก่อน ซาลาห์ ตั้งหัวโหม่งย้อนศรเสียบเสาซ้ายมือ
นาที 24 แมนฯ ซิตี้ น่าได้ประตูตีไข่แตก อเกวโร่ ได้บอลในเขตโทษฝั่งซ้ายก่อนแตะหนี ฟาบินโญ่ แล้วกระหน่ำด้วยขวาไปเสาไกลแต่ อลีสซง พุ่งเซฟได้อย่างยอดเยี่ยม
5 นาทีต่อมา ทีมเยือนเกือบได้อีกครั้ง เดอ บรอยน์ แทงเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายให้ อังเคลินโญ่ สอดเข้าไปยิงแฉลบ ฟาน ไดค์ ไปชนเสาขวามือออกหลังไป
ครึ่งชั่วโมงแรกผ่านไป 5 นาที "หงส์แดง" เกือบทิ้งห่างจากจังหวะสวนกลับเร็วอีกแล้ว ซาลาห์ เปิดจากกราบซ้ายเข้าเขตโทษโดนสกัดออกมา ฟีร์มิโน่ เก็บบอลแถวสองก่อนล็อกหนี วอล์คเกอร์ แล้วยิงฉีดยาหน้าเขตโทษข้ามคานไปไม่ไกล
ลิเวอร์พูล โต้กลับเร็วมาอีกชุดใน นาที 37 อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ลากลุยจากขวามาถึงหน้าเขตโทษแล้วจ่ายให้ ฟีร์มิโน่ หาช่องสับไกด้วยซ้ายแต่ก็ตรงตัว บราโว่
ถัดมา 6 นาที แมนฯ ซิตี้ พลาดโอกาสไปอีกครั้ง เดอ บรอยน์ จ่ายให้ อเกวโร่ หลุดกับดักล้ำหน้าก่อนควบเข้าเขตโทษฝั่งซ้ายไปกดเรียดด้วยซ้ายแต่หักข้อมากไป บอลพุ่งหลุดเสาขวามือนิดเดียว
ก่อนหมดครึ่งแรกไม่เท่าไร เจ้าบ้านหวิดได้อีกเม็ด ฟีร์มิโน่ ไหลจากหน้าเขตโทษฝั่งซ้ายไปตรงหัวกะโหลก ซาลาห์ วิ่งเข้ามาปั่นโค้งด้วยซ้ายแต่ บราโว่ พุ่งปัดออกไปได้สวย
จบ 45 นาทีแรก ลิเวอร์พูล นำห่าง 2-0 โดย แมนฯ ซิตี้ ครองบอลมากกว่าและมีโอกาสยิงตีไข่แตกหลายครั้งก็จริง แต่ก็ไม่คมเอง ทว่าส่วนหนึ่งที่ได้บุกต่อเนื่องก็เป็นเพราะ "หงส์แดง" เลือกถอยต่ำเพื่อรอจังหวะสวนกลับเร็วและก็เกือบได้เพิ่มอีกหลายลูกเลย
ต่อกันในช่วง 45 นาทีหลัง แมนฯ ซิตี้ ยังยึด 11 ตัวจริงชุดเดิมต่อไป ยังรอดูสถานการณ์ต่อไปก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเปลี่ยนตัวแก้เกม
สถานการณ์ยังเหมือนเดิม "เรือใบสีฟ้า" เปิดเกมรุกเข้าใส่ต่อเนื่องแต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ได้เพิ่มใน นาที 51 เฮนเดอร์สัน กระชากขึ้นมาทางขวาก่อนครอสไปหน้าประตู บราโว่ ออกไปแบบกั๊กๆ เลยโดน มาเน่ พุ่งโหม่งตรงเสาไกลจมก้นตาข่ายเป็นประตู 3-0
แมนฯ ซิตี้ ยังไม่ยอมแพ้ นาที 54 สเตอร์ลิง พาบอลลุยจากซ้ายแหวกหนีดงแนวรับ "หงส์แดง" มาแถวๆ หน้าเขตโทษก่อนยิงติดปลายเท้าของ ลอฟเรน พุ่งข้ามคานออกไป
ลิเวอร์พูล กลับเป็นฝ่ายเปลี่ยนตัวก่อน เฮนเดอร์สัน ถูกถอดออกไปให้ เจมส์ มิลเนอร์ อดีตแข้ง "เรือใบสีฟ้า" ลงไปช่วยเกมรับในแดนกลาง
ด้วยสกอร์ที่นำห่างขนาดนี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งเกมเลยมากขึ้น พวกเขาเล่นไปตามจังหวะเกม พร้อมที่จะตั้งรับแล้วรอโอกาสเปิดเกมสวนกลับเร็ว แม้ว่า แมนฯ ซิตี้ โหมหนักแต่พวกเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเลย
กว่าทีมเยือนจะเปลี่ยนตัวก็รอจนช่วง 20 นาทีสุดท้าย กาเบรียล เชซุส ลงไปล่าประตูแทนที่ อเกวโร่ ที่ยังคงไม่สามารถยิงประตูใน แอนฟิลด์ ได้เลย
นาที 78 "เรือใบสีฟ้า" ได้ประตูจุดประกายขึ้นมา อังเคลินโญ่ เปิดเรียดจากริมเขตโทษฝั่งซ้ายเข้ากลางหลุดไปถึง ซิลวา ตวัดยิงด้วยซ้ายพุ่งเสียบเสาขวามือให้ทีมเยือนไล่มาเป็น 1-3
10 นาทีสุดท้าย ลิเวอร์พูล เปลี่ยนตัวเพิ่ม อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ลงไปแทน ฟีร์มิโน่ ชัดเจนว่าต้องการรักษาสกอร์นี้เอาไว้ให้ได้
5 นาทีต่อมา แมนฯ ซิตี้ หวังจะเอาจุดโทษอีกครั้งเมื่อ สเตอร์ลิง เปิดเข้าเขตโทษไปโดนมือของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แต่ผู้ตัดสินยืนยันชัดเจนว่าไม่ใช่จุดโทษ ทำเอา กวาร์ดิโอล่า ฉุนขาดอยู่ข้างสนามเพราะมองว่า อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำแฮนด์บอล 2 หนในเกมนี้แต่รอดตัวตลอด
ทีมเยือนได้เสียวอีกครั้งใน นาที 85 อังเคลินโญ่ บรรจงโยนจากกราบซ้ายไปหน้าประตู วอล์คเกอร์ สอดขึ้นมาโหม่งเต็มๆ แต่ดันโดนผิดเหลี่ยมเลยส่งบอลข้ามคานอย่างน่าผิดหวัง
นาที 88 ลิเวอร์พูล ส่ง โจ โกเมซ เป็นตัวสำรองคนสุดท้ายแทนที่ ซาลาห์
ช่วงเวลาที่เหลือ สถานการณ์อยู่ในการควบคุมของเจ้าบ้านและไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกม ลิเวอร์พูล กำชัยเหนือ แมนฯ ซิตี้ 3-1 พร้อมนำห่าง "เรือใบสีฟ้า" ที่หล่นไปเป็นอันดับ 4 ถึง 9 แต้มแล้ว
การที่ ลิเวอร์พูล ได้ประตูนำเร็ว ทำให้เกมพลิกโฉมหน้าอย่างแท้จริงเพราะมันทำให้พวกเขาไม่คิดที่จะเดินหน้าบุกเต็มสตีมเหมือนที่ผ่านๆ มา มันก็เลยแทบไม่มีการเปิดพื้นที่ให้ แมนฯ ซิตี้ ได้เจาะเข้ามาง่ายๆ
"เรือใบสีฟ้า" อุตส่าห์ปรับหมากด้วยการดันให้ เดอ บรอยน์ ขึ้นมาเล่นสูงกว่าเดิม แต่ยังไม่ทันไร เจอ "หงส์แดง" หันมาเน้นตั้งรับ มันเลยเหมือนว่าชวดใช้แผนที่วางไว้เลย
จะพูดว่าเป็นข้ออ้างก็ว่าได้แต่ แมนฯ ซิตี้ มาในสภาพที่ไม่ได้พร้อมรบเต็มอัตราศึก การขาดทั้ง เอแดร์ซอน กับ เอมเมอริก ลาปอร์กต์ ส่งผลชัดเจนในเกมนี้
แฟร์นันดินโญ่ ถอยมาเล่นกองหลังได้ก็จริง แต่พอต้องเจอบททดสอบจริงๆ ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น และการถอยเขามาเป็นกองหลัง ทำให้แดนกลางอ่อนลงไปด้วย ต่อให้ได้ โรดรี้ คืนสนามก็ตาม
ประตู 1-0 นับเป็นประตูที่ 4 แล้วที่ แมนฯ ซิตี้ เสียจากการยิงนอกเขตโทษ ทั้งที่พวกเขาเสียประตูจากสถานการณ์นี้เพียง 2 ครั้งตลอดซีซั่นที่แล้ว ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นว่าพื้นที่แดนกลางรวมถึงหน้าเขตโทษของพวกเขาขาดคนมาช่วยทำหน้าที่ปัดกวาดเกมรุกคู่แข่งนั่นเอง
ขณะเดียวกัน ในแดนหน้า แมนฯ ซิตี้ ก็ขาดความเฉียบขาด อเกวโร่ ก็ยังคงยิงประตูไม่ได้ในการมาเล่นในสนามนี้ เช่นเดียวกับ สเตอร์ลิง ที่ก็ไม่เคยใส่สกอร์ในการกลับมาเยือนถิ่นเก่าใน พรีเมียร์ลีก ได้เลย
ส่วนฝั่ง "หงส์แดง" จะบอกว่านี่เป็นชัยชนะที่ดูแล้วสบายกว่าเกมเจอทีมอย่าง แอสตัน วิลล่า เสียอีก มันเป็นเกมในแบบที่ เฮนเดอร์สัน เคยให้สัมภาษณ์ไว้เลยว่าพวกเขาอยากเจอเกมที่ทีมครองเกมได้ตั้งแต่ต้นบ้าง ไม่ใช่ว่าโดนนำก่อนจนต้องมาเร่งเครื่องยิงคืนทีหลัง
ลิเวอร์พูล เล่นไปตามเกมของ แมนฯ ซิตี้ ด้วยซ้ำ ไม่ได้คิดที่จะเร่งเครื่องเหมือนเวลาโดนนำเลย ฟูลแบ็ก 2 ฝั่งอย่าง อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ โรเบิร์ตสัน แทบไม่ได้เปิดโหมดเกมรุกเลย
"หงส์แดง" เน้นเกมสวนกลับเร็วเป็นหลัก พวกเขายินดีที่จะให้ แมนฯ ซิตี้ ปูพรมบุกใส่เหมือนไม่ได้กลัวเลยว่ากำแพงเกมรับจะพังทลาย แต่มันก็น่าเสียดายตรงที่พวกเขายังเก็บคลีนชีทไม่ได้อีกครั้ง โดยนี่เป็นเกมที่ 9 ติดต่อกันแล้วที่เสียประตู
ลองคิดดูแล้วกันว่าถ้า ลิเวอร์พูล ถูกบีบให้เปิดโหมดบุกเต็มตัวจากทุกทิศทางเหมือนเกมที่ผ่านๆ มา แนวรับของ "เรือใบสีฟ้า" จะอ่วมขนาดไหน เผลอๆ มันอาจเป็นความปราชัยที่ย่อยยับที่สุดของ กวาร์ดิโอล่า ในอาชีพกุนซือของเขาเลยก็ได้
มันเพิ่งผ่านไปเพียง 1 ใน 3 ของฤดูกาลก็จริง แต่การนำหน้า แมนฯ ซิตี้ 9 แต้ม รวมถึง เลสเตอร์ ซิตี้ กับ เชลซี อันดับ 2 และ 3 ในเวลานี้ที่ 8 แต้ม ก็ยิ่งชวนให้ฝันจริงๆ ว่าแชมป์ พรีเมียร์ลีก จะเป็นของ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกสุดในฤดูกาลนี้
เพราะไม่ว่าจะมองยังไง มันก็ไม่เห็นทางเลยจริงๆ ว่า ลิเวอร์พูล จะพลาดท่าสะดุดบ่อยๆ ถึงขั้นที่ทำให้ช่องว่างขนาดนี้ถูกลดลงมาจนกลายเป็นโดนแซงในท้ายที่สุด
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา