13 พ.ย. 2019 เวลา 00:40 • การศึกษา
คนส่วนใหญ่คิดว่า หากเป็นคนเก่งก็จะประสบความสำเร็จ แต่แค่ความเก่งอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องมีวิธีคิดที่ดีด้วย
โรงเรียนธุรกิจมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสอนวิธีคิดวิชาชีวิตนอกตำราให้คุณ ว่าจะเปลี่ยนแปลงตนเองด้านการเรียน การทำงาน เเละการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างอุปนิสัยที่โดดเด่นได้อย่างไร เป็นเคล็ดลับที่หาเรียนไม่ได้ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่ต้องมาจากประสบการณ์เท่านั้น
Harvard เขาว่านี่คือมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก
มหาวิทยาลัยที่ใครๆก็รู้จัก มหาวิทยาลัยแห่งนี้ถือเป็นมหาวิทยาลัยที่หลายๆคนรู้จักในแง่มุมของความเป็นเลิศทางด้านการศึกษา เรียกได้ว่าขอให้ได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยนี้ เมื่อเรียนจบออกมาก็มีโอกาสในการทำงานที่ดีกว่าคนอื่นอย่างแน่นอน แต่ยังมีแง่มุมอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ซึ่งแน่นอนว่ามีหลายๆสิ่งที่หลายๆคนอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน เช่น ชื่อของมหาวิทยาลัยนั้นมีที่มาอย่างไร ทำไมมหาวิทยาลัยนี้จึงได้ชื่อว่าดีมี่สุดแห่งหนึ่งของโลก หรือจำนวนเงินบริจาคที่ได้รับในแต่ละปีที่มากมายมหาศาลแบบไม่น่าเชื่อ
 
กำเนิดของ Harvard University
Harvard University ถือเป็นสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยก่อตั้งในปีค.ศ.1636 หรือปีพ.ศ. 2179 ซึ่งในเมืองไทยเป็นยุคที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงปกครองประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาซึ่งมีกษัตริย์อีก 9 พระองค์ทรงปกครองหลังจากท่านก่อนที่จะเสียกรุงครั้งที่ 2 แก่พม่า ซึ่งถือว่าเก่าแก่กว่ามหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทยหรือจุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัยอยู่ 281 ปี
2
ชื่อของมหาวิทยาลัยนั้นมาจากชื่อของ John Harvard ซึ่งเป็นชื่อของผู้เผยแพร่ศาสนาคนหนึ่งซึ่งบริจาคหนังสือจำนวนกว่า 400 เล่มและเงินจำนวน 779 ปอนด์ เพื่อเป็นทุนในการบริหารงานของมหาวิทยาลัย จุดประสงค์ในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยก็เพื่อให้ความรู้แก่นักสอนศาสนาเป็นหลักโดยยึดถือรูปแบบการสอนของมหาวิทยาลัยในอังกฤษเป็นแม่แบบเพราะในช่วงการก่อตั้งมหาวิทยาลัยนั้น สหรัฐอเมริกายังเป็นดินแดนที่อยู่ใต้การปกครองของอังกฤษอยู่
 
สถานที่ตั้ง
Harvard University ตั้งอยู่ที่เมือง Cambridge ของรัฐ Massachusetts โดยชื่อของเมื่อนั้นตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ University of Cambridge ของอังกฤษ เนื่องจากผู้ก่อตั้งเมืองนั้นได้รับการศึกษาและประยุกต์แนวคิดต่างๆมาจาก Cambridge นั่นเอง นอกจากนี้แล้ว John Harvard ซึ่งเป็นคนสนับสนุนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยในช่วงแรกๆโดยบริจาคหนังสือและเงินจำนวนหนึ่งแก่มหาวิทยาลัยนั้นก็จบการศึกษามาจาก Cambridge เช่นกัน นอกจาก Harvard University แล้ว เมืองนี้ยังมีสถาบันการศึกษาชื่อก้องโลกอีกแห่งคือ Massachusetts Institute of Technology หรือที่รู้จักกันในชื่อ MIT นั่นเอง
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมืองนี้ซึ่งคนไทยควรจะทราบก็คือเมือง Cambridge นั้น เป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชสมภพในปีพ.ศ.2470 ที่ Mount Auburn Hospital ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Harvard University มากนัก
อย่างไรก็ตาม บางส่วนของมหาวิทยาลัยได้แก่ Harvard Business School รวมถึงสนามกีฬาของมหาวิทยาลัยนั้นตั้งอยู่ที่เมือง Boston ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับเมือง Cambridge แค่เพียงถูกกั้นด้วยแม่น้ำชาลส์ แต่โดยทั่วไปแล้วสถานที่ส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยนั้นตั้งอยู่ในเมือง Cambridge
2
นักศึกษา Harvard จะรู้จักกับ Harvard Yard ดี ซึ่งหมายถึงลานสนามหญ้าที่ไม่กว้างมากนัก แต่เป็นสถานที่ที่สำคัญมากของมหาวิทยาลัยเพราะรายล้อมไปด้วยหอพักนักศึกษา ห้องสมุด อาคารทำการที่สำคัญหลายอาคาร รวมถึงรูปปั้นของ John Harvard ซึ่งว่ากันว่าใครที่มีโอกาสได้จับเท้าของรูปปั้นแล้วก็จะมีโอกาสเรียนที่นี่ในอนาคต!! ทำให้ปัจจุบันนั้นรองเท้าของรูปปั้น John Harvard ถูกใครต่อใครจับและลูบจนถลอกไปหมด ส่วนพื้นที่ใกล้กับ Harvard Yard นั้นมีอยู่บริเวณหนึ่งเรียกว่า Harvard Square ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญเพราะเป็นจุดที่มีรถไฟใต้ดิน (คนท้องถิ่นเรียกว่า “T”) ตลอดจนจุดจอดของรถบัสหลายสาย นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร สหกรณ์ของทั้ง Harvard และ MIT ตลอดจนร้านขายหนังสือและของที่ระลึกอีกมากมาย เรียกว่าเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจที่ดีของหลายๆคนเลยทีเดียว
 
การเรียนที่ Harvard University
สำหรับการเรียนในระดับปริญญาตรีหรือ Undergraduate นั้นเป็นลักษณะที่คล้ายกับการศึกษาแบบ Liberal Arts ซึ่งเน้นการเรียนในเชิงกว้างโดยทำความเข้าใจในหลายๆศาสตร์มากกว่าที่จะเรียนสาขาวิชาชีพแบบเฉพาะเจาะจง เช่น การบัญชีหรือการออกแบบ ดังนั้นนักศึกษาของ Harvard จึงมีโอกาสที่จะได้เรียนรู้วิชาที่แตกต่างออกไปเพื่อที่จะนำความรู้นั้นมารวมกันและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการศึกษาในระดับปริญญาตรีของ Harvard นั้นชื่อว่า Harvard College ซึ่งสังกัด Faculty of Arts and Sciences ดังนั้นปริญญาที่ได้จึงมี 2 ปริญญาคือ A.B. และ S.B. ซึ่งชื่อแรกก็คือ Bachelor of Arts ส่วนชื่อหลังก็คือ Bachelor of Science นั่นเอง
ส่วนการศึกษาในระดับสูงกว่าปริญญาตรีนั้นมีการแบ่งออกเป็นสาขาต่างๆมากมาย เช่น วิศวกรรมศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ นิติศาสตร์ ครุศาสตร์ และการบริหารธุรกิจ เป็นต้น ลักษณะการเรียนในระดับนี้ที่ Harvard จะเน้นการทำ Case Study มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ Harvard Business School ซึ่งได้ชื่อว่าเปิดสอนหลักสูตร MBA ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่ง Case Study ที่เรียนกันที่นี่นั้นได้รับการยอมรับจากองค์กรเอกชนและมหาวิทยาลัยอื่นๆอย่างมากมาย ขนาดหลักสูตร MBA ของ MIT ที่เป็นคู่รักคู่แค้นร่วมเมืองกันยังต้องใช้ Case Study ของ Harvard ในการเรียนกันเลยทีเดียว
วิชาที่น่าสนในของ Harvard ที่เป็นที่กล่าวขานกันมากก็คือวิชาที่ชื่อว่า “Positive Psychology” ซึ่งสอนโดยศาสตราจารย์ Tal Ben-Shahar ซึ่งเป็นวิชาที่สอนเกี่ยวกับความสุข กล่าวคือเราจะใช้ชีวิตให้มีความสุขได้อย่างไร ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายที่หลายๆคนกลับค้นหามันไม่เจอ โดยเฉพาะนักศึกษา Harvard ซึ่งเรียนกันจนเครียดและมีรายงานว่ามีนักศึกษาพยายามฆ่าตัวตายมาโดยตลอด วิชานี้เป็นวิชาที่นักศึกษา Harvard ลงทะเบียนมากที่สุดในปีค.ศ. 2006 โดยมีนักศึกษาเกือบ 900 คนนั่งเบียดเสียดกันในห้องเรียนซึ่งทำให้วิชานี้แซงหน้าวิชาฮิตดั้งเดิมอย่าง Introduction to Economics ไปได้ (Mabe, 2008)
 
ทำไม Harvard ถึงได้ชื่อว่าดีที่สุด
หนึ่งในสิ่งที่หลายๆคนสงสัยก็คือทำไม Harvard ถึงได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด เหตุผลหนึ่งก็คือ Harvard มุ่งเน้นการทำวิจัยสิ่งใหม่ๆมาโดยตลอด ไม่เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เรื่องพฤติกรรมมนุษย์และสัตว์ หรือแม้แต่เรื่องศาสนาก็ตาม แต่การวิจัยในแต่ละเรื่องให้ได้ผลที่สำเร็จก็ต้องใช้เงินไม่ใช่น้อย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะ Harvard ถือเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรที่ได้รับเงินบริจาคมากที่สุดเป็นลำดับสองของโลก (รองจากกองทุนของ Bill Gates และภรรยา) โดยในปีค.ศ. 2008 นั้น มีจำนวนเงินบริจาคมากกว่า 36,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นประมาณ 13% ของ GDP ของประเทศไทยในปีเดียวกัน!! ทิ้งห่างหาวิทยาลัยที่ได้รับเงินบริจาคเป็นอันดับสองคือ Yale University ประมาณ 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ Harvard ยังมีระบบห้องสมุดที่มีขนาดใหญ่มาก โดยเป็นระบบห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐฯและมีจำนวนหนังสือมากเป็นอันดับสามของห้องสมุดในสหรัฐฯรองจาก Library of Congress และ Boston Public Library เท่านั้น
การรับนักศึกษาของ Harvard นั้นถือว่ายากมากทีเดียวเพราะมีอัตราส่วนการรับนักศึกษาต่ำกว่า 10% และมีแนวโน้มที่จะลดลงเรื่อยๆด้วย Harvard นั้นมีนักศึกษาในระดับปริญญาตรีประมาณ 7,000 คนและมีนักศึกษาในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรีประมาณ 14,000 คน แต่พอหารเฉลี่ยเงินบริจาคต่อนักศึกษาแล้วพบว่ามีเงินบริจาคประมาณ 1.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อนักศึกษาหนึ่งคนทีเดียว
หากใครคิดจะเป็นนักศึกษาของ Harvard ก็ต้องทำผลการเรียนให้ดีในระดับ”สุดยอด” แต่แค่นั้นยังไม่พอเพราะอย่าลืมว่ามีคนที่ฉลาดรอบด้านมากมายที่คิดจะสมัครเรียนที่นี่ ดังนั้นควรจะมีผลงานในเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากเรื่องการเรียนด้วย เรื่องอื่นๆที่ว่านี้อาจเป็นการแสดง การร้องเพลง การทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรืออะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าขอให้เก่งจริงหรือแสดงให้คณะกรรมการคัดเลือกได้เห็นว่าผู้สมัครนั้นมีแนวความคิดที่ดีและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ก็พอจะมีโอกาสบ้าง นอกจากนี้ก็มี “ตัวช่วย” อื่นๆอีก เช่น การเป็นลูกของ ส.ว. ในสหรัฐอเมริกาหรือการเป็นลูกของศิษย์เก่า Harvard เองก็ได้ แต่ถึงแม้จะไม่มีตัวช่วยต่างๆที่ว่ามานี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสิทธิเรียนที่ Harvard เลย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหากรู้ว่าตัวเองมีจุดเด่นในด้านไหนก็พยายามเน้นจุดเด่นนั้นให้มากเพราะคณะกรรมการคัดเลือกก็เสาะหาคนที่มีความเก่งในด้านที่แตกต่างกันมาเรียนรวมกันที่นี่
 
สรุป
น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก Harvard หรือปฎิเสธความมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไปได้ ในปัจจุบันนั้น Harvard University เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆของ Cambridge/Boston ไปแล้ว ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากมุ่งหน้ามาที่นี่เพียงเพื่อจะได้มาชมว่ามหาวิทยาลัยที่หลายๆคนยอมรับกันว่าดีที่สุดในโลกนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร
การที่จะเป็นนักศึกษาของ Harvard นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากใครมีความคิดที่จะสมัครเรียนที่นี่จริงๆก็ควรที่จะมีการเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆโดยขั้นแรกเลยก็คือรักษาผลการเรียนให้ได้ในระดับสูง แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันก็คือความเก่งจริงในด้านใดก็ตามและสามารถนำเสนอสิ่งนั้นออกมาในแง่บวกเพื่อที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าเรามีโอกาสที่จะนำความสามารถนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์และมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ในอนาคต และหากว่าได้รับการตอบรับเข้าเรียนที่ Harvard จริงๆก็อย่าลืมนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศไทยของเราด้วย
โฆษณา