13 พ.ย. 2019 เวลา 09:58 • การศึกษา
อัจฉริยภาพ 8 ด้าน / พหุปัญญา ความเชื่อผิด ๆ ที่อยู่กับวงการการศึกษามาหลายทศวรรษ
นักการศึกษาในประเทศไทยจำนวนมาก ออกมาแสดงคงามเห็นและส่งเสริมให้ลูก ๆ ค้นหาอัจฉริยภาพของตนเอง โดยมีความเชื่อว่า การค้นหาอัจฉริยาภาพ ได้นั้นจะทำให้ลูกเป็นคนเก่ง และ เหนือกว่ามนุษย์สายพันธุ์เดียวกันทั้งปวง
ทฤษฎีพหุปัญญา หรือ Multiple Intelligences (MI) ของนักจิตวิทยา ชื่อ ดร. โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ ( Dr.Howard Gardner) คิดค้นขึ้นในปี 1983 โดยหลักการของทฤษฎีเป็นการโต้แย้งหลักการของ IQ โดยแบ่งความฉลาดออกเป็น 8 ประการ คือ
1. Interpersonal Intelligence (ด้านการปฎิสัมพันธ์)
2. Intrapersonal Intelligence (ด้านปฎิสัมพันธ์ต่อตนเอง)
3. Logical- methematical Intelligence (ด้านตรรกะ-คณิตศาสตร์)
4. Visual-Spatial Intelligence (ด้านการมองเห็น)
5. Bodily-kinesthetic Intelligence ( ด้านการเคลื่อนไหวของร่างกาย)
6. Linguistic Intelligence .(ด้านภาษา-ถ้อยคำ)
7. Naturalist Intelligence ( ด้านเข้าใจธรรมชาติ)
8. Musical Intelligence (ด้านตนตรี)
อย่าไงรก็ตาม นักวิจัยด้านการเรียน การสอน จำนวนมากในศตวรรษที่ 21 ได้ทำการพิสูจน์ ตามหลักการของทฤษฎีของ ดร. โฮเวิร์ด จึงพบว่า แท้จริงแล้ว หลักการนี้ เป็นเพียง การคาดการณ์ และ ข้อสันนิษฐานเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักประสาทเพื่อการศึกษา พบว่าสมองของมนุษย์ ไม่สามารถทำงานแยกกันเป็นส่วน ๆ ได้ แต่ต้องทำงานร่วมกัน
นอกจากนี้ ยังมี นักวิชาการจำนวนมาก ยังกล่าวอีกว่า ดร.โฮเวิร์ด ได้พูดถึง อัจฉริยภาพ แต่ไม่ได้ เสนอวิธีการวัด หรือ ค่นหา จึงทำให้หลักการนี้ เป็นหลักการที่นำไปใช้ไม่ได้จริง จากการศึกษาวิจัย สามารถสรุปโดยสังเขปได้ว่า “ทำไมหลักการ Multiple Intelligence “ คือ ความเข้าใจผิด ของนักวิชาการ และ โค๊ชเมืองไทย ที่นำมาเป็นเครื่องมือหากินตบทรัพย์คน
1. ทษฤฎีพหุปัญญา ไม่มี หลักฐานเชิงประจักษ์ ( Lack Empirical Support)
นักประสาทวิทยาเพื่อการศึกษา อย่าง Gottfreson (2004) , Waterhouse (2006), Brody (2006) และอีกหลายท่าน สรุปว่า สิ่งที่ ดร.โฮเวิร์ด เรียกว่า “intelligence” แท้จริง คือ Learning preference (ความชอบในการเรียนรู้) คนเรามีสิ่งที่ชอบต่างกัน และ กิจกรรมแต่ละชนิดก็ย่อมต้องใช้ทักษะต่างกัน เช่น หากเป็นกิจกรรมการอ่าน เราก็ต้องใช้ ด้านตรรกะ และ ด้านการมองเห็น หรือ อื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนั้น อัจริยภาพจึงไม่มี แต่เป็นเพียงศักยะภาพ ทักษะ หรือความชอบ
2. ทษฤฎีพหุปัญญา ไม่มีหลักฐานการวิจัยในชั้นเรียนที่สามารถพิสูจน์ได้ถึง การวัด ประเมิน หรือ พัฒนา ทักษะต่าง ๆ แยกออกไป
นักการศึกษาอย่าง Willingham (2004) กล่าวว่า หลักการของ intelligences ที่ใช้ในสถาบันการศึกษา ไม่ชี้ว่า มีประสิทธิภาพในการพัฒนาการเรียนรู้ ความฉลาด หรือ ,การเรียนของผู้เรียน เลย และ ดร. โฮเวิร์ด ก็ไม่เคยทำการทดลองในการใช้เพื่อพัฒนาผู้เรียนเลย ทุกอย่างเป็นเพียงคำบอกกล่าวต่อ ๆ กันมา
3. ทษฤฎีพหุปัญญา สร้างกลลวงให้ ผู้เรียน หลงผิดคิดว่า ตนเองเก่งสิ่งใด หรือ ไม่เก่งสิ่งใด โดยไม่ทีหลักฐาน หรือ ข้อพิสูจน์ได้ และ ยิ่งจะทำให้ผู้เรียน โตขึ้นมีความเชื่อผิด ๆ กับตนเอง จนไม่กล้าทำในสิ่งที่ตนเองค้นพบว่าชอบในภายหลัง หรือ อาจจะมีความคิดเชิงลบต่อการเรียนสิ่งอื่น ๆ และยิ่งทำให้ผู้เรียน ด้อยประสิทธิภาพ และ ผลสำเร็จในการเรียนรู้ ( Collin , 1998) (Willingham ,2004)
หลักการนี้กลายเป็นเครื่องมือ โค๊ช ต่าง ๆในประเทศไทยจำนวนมาก แลจะเห็นผลเสียอันใหญ่หลวงต่อ การพัฒนาตนเองของคนในสังคม เพราะ หลักการของ ดร. โฮเวิร์ด ไม่ถือว่า เป็นสิ่งที่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ และ ยังมีข้แก้อนจำนวนมาก แต่หาก ภายหลัง จะมีผู้ใด ทำการพัฒนาต่อ อาจจะมีประโยชน์ได้ แต่ ณ วันนี้ สรุปได้ว่า หลักการนี้ เป็นความเข้าใจผิด ความเขลา ความอยากโค๊ชของผู้ไม่รู้
โฆษณา