14 พ.ย. 2019 เวลา 04:43
หมอพจนีย์ #ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
แล้ววันหนึ่ง....☺☺☺
แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์....
เรียนจบมัธยมปลายที่เตรียมอุดมฯ
จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช
อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น
มีนิสัยร่าเริงสนุกสนาน
มีเพื่อนฝูงรักชอบหมอมากมาย
.
.
หมอเล่าว่า เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย
เที่ยวทุกคืน อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ
ดื่มพอมึน ๆ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน
มันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน
บ่อยครั้งที่ดื่มจนถึงเช้าแล้วค่อยแยกจากกัน
มันก็แปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็น
ผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่
แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่า ทำแบบนี้
เก๋มาก ภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน
.
.
ก่อนหน้านั้น หมอเป็นคนห่างไกลศาสนา
มองไม่เห็นความจำเป็นว่า ศาสนาจะเข้ามา
ช่วยชีวิตให้สมบูรณ์ได้อย่างไร
เพราะที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ดีอยู่แล้ว
ทำบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณี
ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
.
.
ยิ่งมาเรียนจบหมอก็ยิ่งเชื่อมั่น
ในความเห็นของตนยิ่ง ขึ้นไปอีก
คือ ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วยก็ไม่เคยเห็นเด็ก
ที่คลอดออกมาแล้วเดินได้ 7 ก้าวเลย
มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ว่าพระพุทธเจ้า
พอคลอดออกมาก็เดินได้ 7 ก้าว
ยังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ เลยว่า
สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่ง ๆ ที่คิด
จัดระเบียบทางสังคมให้ดีขึ้น
จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นมา
แล้วก็ใส่ปาฏิหาริย์ เพื่อเพิ่มความศรัทธาไปเท่านั้น
ตอนนั้นหมอคิดว่า อะไรที่พิสูจน์
ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือจับต้องไม่ได้
เราก็ไม่ควรเชื่อ
.
.
ในที่สุด วันร้ายคืนร้ายก็มาถึง
หมอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน
ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก
โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
ซึ่งเจ็บปวดทรมานมาก ถึงขั้นเดินไม่ได้
หมอต้องเข้ารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้น
อย่างยาวนาน
ฉีดยาเข้าไขสันหลังเพื่อบรรเทาปวด
ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่ง ๆ
ที่เชี่ยวชาญมาก ๆ ทั่วทั้งโรงพยาบาล
มารุมวินิจฉัยดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเราได้
.
.
ได้รักษาทุกวิถีทางแล้ว จนรู้สึกท้อแท้
หมดหวังเหมือนหมดหวังทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
กินยา ก็กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
น้ำหนักลดจาก 47 กิโลกรัม เหลือ 42 กิโลกรัม
ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า
ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ
แล้วเราก็จะชินไปเอง…
ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้
เลยหันมาตั้งสติใหม่ มาคิดว่า
มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตนี่…
ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง
น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้
.
.
อาจารย์หมอทุกคนและเพื่อนหมอด้วยกัน
ก็มาช่วยดูแลรักษาอาการของเราทั้งหมด
แต่เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย
มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย
หมอเก่ง ๆ ก็น่าจะรักษาให้หายได้
แต่ทำไมไม่หาย…ทำไมเรื่องแบบนี้
ต้องมาเกิดขึ้นกับเราเล่า…
ทำไมต้องเป็นเราด้วย…
.
.
วิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีที่ว่าแน่ๆ
วิชาหมอที่เรียนมาเกือบ 10 ปี
ก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริง
ของการป่วยของเราเองได้
ซ้ำถูกบอกได้แค่ว่าให้ทนรออีก 10 ปี
แล้วจะชินไปเอง……
มันน่าจะมีอะไร ที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง
ที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่……
.
.
ความรู้สึกเชื่อมั่นในทางวิทยาศาสตร์ตอนนั้น
ได้ลดลงไปเลย เพราะเราสู้มาทุกทาง
ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่าง
รักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้…..
โชคดีที่ช่วงนั้น คุณน้าแนะนำให้เรา
ใช้พุทธศาสตร์เข้ามาช่วย
ก็ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่
แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น
ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ
.
.
ลองหัดทำสมาธิ หัดทำใจให้สงบ
ขยันฟังธรรมะทุกวัน…รู้สึกโปร่งโล่ง
เบากายเบาใจขึ้น รู้สึกเริ่มเข้าใจ
ในเบื้องหน้าเบื้องหลังของชีวิตมากขึ้น
จนทำให้รู้ว่า เบื้องหลังของการป่วยของเรา
มันคือวิบากกรรมที่เราเคยทำไว้ในอดีตนั่นเอง
.
.
ก่อนหน้านั้น มีแต่คนบอกว่า
คนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม
มาชดใช้วิบากกรรมที่เคยทำไว้
ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเกิดมาเลยนะ
เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ
ก็รู้สึกห่อเหี่ยว คิดว่าเราจะไม่สามารถมีโอกาส
หรือหาหนทางแก้ไขได้เลยหรือ ?
แต่พอมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่พระองค์ทรงเน้นย้ำว่าเราเกิดมา
เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง……
พอรู้เป้าหมายอย่างนี้ ก็รู้สึกชุ่มใจ
เกิดมาเหมือนชีวิตมีโอกาสที่จะแก้ไข
และปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้
.
.
มีคำถามในใจว่า...
“ การรู้เพียงว่ามันคือวิบากกรรม
มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้บ้างล่ะ
หากยังไม่รู้ถึงวิธีการแก้ไข ”
ด้วยคำถามนี้เอง ทำให้หมอประทับใจ
ในคำสอนของพระพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น
เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ถึงวิธี
แก้ไขวิบากกรรม จากหนักให้เป็นเบา
จากเบาก็จะหาย ถ้าจะตายก็จะไปดี
ด้วยการบำเพ็ญบุญกุศลให้ถึงพร้อม
.
.
หมอขอยืนยันเลยว่า วิทยาศาสตร์
และวิชาหมอไม่ได้สอนไว้เลย
ซึ่งหมอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัด
ด้วยตัวเองแล้ว
ทั้งนี้เพราะอาการของหมอหมดหนทาง
ที่จะเยียวยาแล้ว แม้กินยา ก็ยังไม่ได้
เพราะแพ้ยา หมอจึงหันมารักษา
ด้วยการศึกษาและปฏิบัติธรรม
ทำบุญทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ
และอธิษฐานจิต...
.
.
ในที่สุด หมอก็พบว่าอาการของหมอ
ดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งสามารถทำงานเป็นหมอได้ดังเดิม
เมื่อก่อน หมอไม่เคยคิดเลยว่า
พุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่
และมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ คิดแต่ว่า
เป็นสิ่งเหลือเชื่อ งมงาย
แต่พอมาได้ศึกษาปฏิบัติแล้ว
ก็พบว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่
ยังล้าหลังพุทธศาสตร์อยู่มาก
.
.
อย่างเราเองเรียนหมอ วิชาแพทย์
ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคนจนถึงตาย
แต่ก่อนที่จะเกิด และหลังจากความตาย
เป็นอย่างไรนั้น วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้…
การเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็ง ความดัน
เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค
ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด
บอกได้แต่สมมติฐาน และพยาธิสภาพรวมๆ
ว่ามาจากหลายสาเหตุ ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้
.
.
แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์
มาหยั่งใจใคร่ครวญด้วยสมาธิ
ในเรื่องกฎของกรรม ก็สามารถตอบได้หมด
ถึงสาเหตุและต้นตอของโรคว่าที่เป็นโรคนี้
เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน
และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเอง
ก็อัศจรรย์ใจมาก
ทุกวันนี้ หมอเชื่อมั่นถึงการมีจริง
ของพระพุทธเจ้า เชื่อว่าพระพุทธเจ้า
ประสูติแล้วสามารถเดินได้ 7 ก้าวจริง ๆ
.
.
พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อหมอย้อนไปในอดีต
ก็อดนึกขำตัวเองไม่หายว่าทำไมเราหลงคิดผิด ๆ
ด้วยมานะทิฐิอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมเปิดโอกาส
ให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน
จนเกือบจะสายเกินไป
หรือหมดโอกาสไปเสียเลย
แต่พอมาศึกษาจริง ๆ จึงได้เข้าใจ
และเห็นพระคุณของพุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง
จนต่อให้วิชาทางโลก ที่ว่าเจ๋ง ๆ นั้น
แม้จะไม่รู้ก็ยังไม่เป็นไร
แต่หากไม่มาเรียนรู้พุทธศาสตร์แล้ว
ก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัย
ในวัฏสงสารได้เลย
.
.
พุทธศาสตร์นั้น จะสอนให้เรารู้จักเลือก
และเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนที่เรา
ยังมีชีวิตอยู่นั้น เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร
จึงจะมีชีวิตที่ดีและมีคุณค่า ตลอดจนวิธีการ
ที่จะกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร
การที่จะไม่เกิดอีกนั้น ต้องทำอย่างไร
ซึ่งสิ่งนี้เราสามารถเรียนรู้จากการศึกษา
ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา
เมื่อเราได้ศึกษาไป ปฏิบัติไป
เราก็จะเข้าใจชีวิตและโลกเพิ่มมากขึ้นๆ
แล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นความแตกต่างได้ชัด
อย่างที่ตัวของหมอเองได้ประสบมา…
.
.
สังคมทุกวันนี้ หมอสังเกตเห็นชัดว่า
เด็กที่ฝากท้องกับหมอ จำนวนของเด็กวัยรุ่น
16 – 17 ปี ที่กำลังเป็นวัยเรียนได้เพิ่มสูงขึ้น
กว่าเมื่อก่อนมาก บางคนมาขอให้หมอทำแท้งให้
ซึ่งเราก็ให้ความรู้เขาไปว่ามันเป็นบาปนะ
มันจะกลับมาเป็นเวรกรรมให้กับตัวเองด้วย
ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้น
เพราะสื่อทุกอย่างเป็นสื่อของกระแสกาม
พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยรายการทีวี
เด็กซึมซับพฤติกรรมอะไร ๆ
โดยได้รับอิทธิลจากทีวีสูงมาก
สังคมที่ยังขาดความรู้ทางพุทธศาสตร์
จะแก้ปัญหาให้เกิดความสันติสุขไม่ได้เลย
แผนพัฒนาประเทศชาติควรต้องคำนึงถึง
เรื่องนี้ให้มาก
.
.
หมอคิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง
ฉลาด ก็อย่าฉลาดอย่างงมงาย
อย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน คือ
ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน
แถมยังปิดกั้นสิ่งที่ดีนั้นไว้ นั่นจะทำให้เรา
ไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุด
ไปตลอดชีวิตเลย
.
.
คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต
คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้
และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง
แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสำหรับชีวิตนี้
ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา
แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเอง
1
.
.
การเปิดโอกาส ให้ตัวเองได้ศึกษาธรรมะ
เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษา
วิชาที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในชีวิต
ที่มิใช่เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องรู้
ถ้าไม่รู้ ก็เสียชาติเกิด…
/////////
ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับ
✨ แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ ✨
ที่ให้ประสบการณ์ชีวิตเป็นธรรมทานค่ะ
สำหรับผู้ได้อ่านแล้วเห็นว่าเป็นธรรมะที่ดี
ช่วยกันแชร์เป็นธรรมทานนะคะ 😊🙏✨
โฆษณา