15 พ.ย. 2019 เวลา 04:30
ห้างสรรพสินค้า ยังจำเป็นหรือไม่
ปัจจุบันนี้คนไทยเรา เริ่มมีเงินมีทอง เพื่อ จับจ่ายใช้สอย กินอาหารนอกบ้าน และซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยกัน มากขึ้น
สมัยผมเป็นเด็ก ราวๆปี2530 เนื่องจากเป็นเด็กต่างจังหวัด โอกาสที่จะได้มาห้างสรรพสินค้า ในสมัยนั้น
ก็ต้องเป็นโอกาสพิเศษ ปีละครั้ง อย่างมากก็ 4เดือน (1เทอม)คือช่วงที่ต้องตามแม่มาซื้อของ
พวกรองเท้า กระเป๋า และเสื้อผ้านักเรียน เพื่อ เตรียมวันเปิดเทอม
ห้างสรรพสินค้าที่ เชียงใหม่ สมัยนั้น ที่ดังๆยังมีแค่ ห้างท้องถิ่น
เช่น ริมปิงซูปเปอร์เซนเตอร์ สีสวนพลาซ่า ไม่นับ กาดหลวง(ตลาดต้นลำไย )และยังไม่มี พวกค้าปลีก
อย่าง เซนทรัล หรือบิ้กซี โลตัส อย่างสมัยนี้
ยังจำได้ว่ากิน เคเอฟซี ครั้งแรกยังต้อง ดูโต๊ะข้างๆว่ากินยังไง ไม่กล้าใช้มือจับ
ใช้ช้อนส้อม ลำบากน่าดู และกว่าจะได้กินก็ต้องโอกาสพิเศษ อย่างเช่นวันเกิด เป็นต้น
ปัจจุบัน กลายเป็น อาหารอย่างสุดท้ายที่จะกิน หากคิดอะไรไม่ออก
การเกิดขึ้นของห้างสรรพสินค้า อย่างเซนทรัล จึงได้เปลี่ยนวิถีชีวิต ของผู้คนในหัวเมือง หลักๆ
ไปอย่างสิ้นเชิง
สังเกตุ ว่าวันหยุด จะมีปริมาณรถมาก กว่าจะได้เข้าไปจอด ก็หาที่จอดยากมาก
คนต่างหลั่งไหลกันเข้าไปใช้บริการ อย่างไม่ขาดสาย
และมีข่าว มีคลิป แย่งที่จอดกันอยุ่เรื่อยๆ และมักจะไม่ค่อยเห็นเรื่องทำนอง นี้ ในห้างอื่น
ทำให้เห็นว่า ธุรกิจตัวนี้มี คนใช้บริการมาก และขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1 ของกลุ่ม ห้างสรรพสินค้าได้ไม่ยาก
และห้างนี้ก็ได้กินส่วนแบ่งทางการตลาดมานานเกือบ 20 กว่าปีแล้ว
ไม่ว่าจะไปสร้างที่ใหน ร้านค้าย่อยก็ต้องตามไปเปิดร้านด้วย เพราะหากไม่ตามไป ก็อาจเสียสิทธิ์ ในการเช่าได้
จนคู่แข่งห้างอื่นๆ ก็ทยอยปิดตัวลงไป
เช่น ห้างท้องถิ่นอย่าง ริมปิง ต้องเปลี่ยนแนวมาเป็น มินิมาร์ท ขายของพรีเมี่ยม และสีสวน ต้องปิดตัวลงไป
เมื่อมองอย่างนี้ ดูเหมือน ห้างชื่อดัง อาจจะไร้คู่แข่ง และขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งต่อไปอีกนาน
แบบไร้เทียมทาน ด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่พูดไป
แต่เทคโนโลยี ทุกวันนี้ก็ทำให้ยักษ์ใหญ่หลายๆตัว ก็โดน Disrupt ล่มสลายลงไปต่อหน้าต่อตา
-กลุ่มสื่อ ก็โดน facebook Youtube เล่นงานจนอ่วม
-กลุ่มธนาคาร ก็ทยอย ลดจำนวนสาขา ลง หันไปให้บริการทาง Payment Gateway ฟรีแทน
เพราะอาจจะได้ฐานข้อมูลการ จับจ่ายใช้สอยของลูกค้า เพื่อนำไปต่อยอดทางธุรกิจอื่นแทน
แต่ถ้าเทคโนโลยี Block chain เกิดขึ้นเต็มรูปแบบ ก็ไม่แน่
(เงินสกุลBitcoin และ Libra ที่กำลังจะออกมา ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Block chain)
-กล้อง แบบฟิลม์ก็โดนกล้องดิจิตอล เล่นงาน และกล้องดิจิตอล และ DSLR ก็กำลังโดน มือถือ เล่นงาน
และปัจจุบัน ห้าง ก็กำลังมีความเสี่ยง ในเรื่อง พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป
คนอาจจะไม่ซื้อของ ในห้างอีกแล้ว เพราะเสียเวลา หาที่จอดยาก ร้อน และไม่สะดวก
คนอาจจะไปแค่ กินข้าว ดูหนัง หรือดูของ ที่อยากได้ แต่ไม่ซื้อ เวลาซื้อจะเช็คราคาจากเวปเอา
และอาศัยสั่งผ่าน Platform ทางมือถือแทน เช่น ลาซาด้า shopy อเมซอน ซึ่งของราคาถูกกว่า
เพราะไม่ต้องเสียค่าเช่า ค่าบริหารจัดการ ค่าเอาสินค้าเข้าไปวางขาย ค่าตกแต่งร้าน
ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ถ้าไม่ต้องจ่าย ก็สามารถลดต้นทุน และเอาไปเป็นส่วนลดให้ลูกค้าได้
ความเสี่ยงเหล่านี้ ได้เกิดขึ้นแล้วในอเมริกา ห้างค้าปลีกดัง เบอร์หนึ่ง อย่าง วอลมาร์ท
กำลังแย่ ลดพนักงานมากขึ้น และอาจปิดตัวลงไปในอนาคตอันใกล้
เหมือนกับห้าง SEARS ซึ่งมีตำนานกว่า 126ปี ต้องปิดและล้มละลายไปแล้ว
และเมื่อดูจากงบการเงินของบริษัท(ปี58-62)ก็พบว่า
-รายได้เพิ่มขึ้น จาก 2.6หมื่นล้าน เป็น 3.7 หมื่นล้าน(เพิ่มทุกปี)
-กำไรสุทธิราวๆ 7พันล้าน เป็น 1.1 หมื่นล้าน(เกือบ2เท่าใน 4ปี)
-อัตรากำไรสุทธิ เฉลี่ยอยุ่ราวๆ 30% ทุกปี (สูงมาก)
-มูลค่าของบริษัท ที่นักลงทุนให้ คือ 2.9 แสนล้าน
จากมูลค่าบริษัท 1.6 แสนล้าน(สินทรัพย์รวม ในนี้มีหนี้9.2 หมื่นล้าน)
-มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 45 บาทเป็น 64 บาท ใน 4 ปี
-อัตราเงินปันผล ราวๆ 1.5-1.8%
ดูจากงบการเงินก็ยังถือว่าบริษัทยังทำได้ดี ถึงแม้เงินปันผลจะน้อยไปหน่อย(1.5-1.8%)เมื่อเทียบกับฝากธนาคารและเงินเฟ้อ
และเมื่อชั่งน้ำหนักด้วยความเสี่ยงจากการโดน disrupt
ที่อาจเกิดขึ้น เหมือนที่เกิดในอเมริกาแล้ว
หากเราลงทุน ไป ตอนนี้ ก็อาจมีความเสี่ยง ตามเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้ว
หรืออาจลองมองหา หุ้นตัวอื่น การลงทุนแบบอื่น ที่อาจใด้ผลตอบแทนมากกว่านี้ และอาจมีความเสี่ยงน้อยกว่านี้ เป็นต้น
โฆษณา