15 พ.ย. 2019 เวลา 07:27 • ธุรกิจ
บทเรียนจากวิลเลี่ยม โอนีล ตอน วิธีการถอดรหัสตลาดหุ้น
บทเรียนจากวิลเลี่ยม โอนีล ตอน วิธีการถอดรหัสตลาดหุ้น
กลับมาเขียนเกี่ยวกับเรื่องคุ้นเคยกันบ้าง วันนี้เอาบทความของปู่บิลที่เขียนในช่วงปี 2000 มาให้อ่านครับ จริงๆ เป็นบทความยาวมาก ผมตัดและสรุปมาให้บางส่วน (ซึ่งก็ยังยาวอยู่ดี ฮาฮา) คิดว่ามีประโยชน์มากๆ ลองอ่านกันดูนะครับ
การที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มันไม่ใช่เพียงแค่ว่าคุณซื้อหุ้นที่ดีเท่านั้น คุณต้องซื้อหุ้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเวลาที่ถูกต้องที่สุด และมันไม่เพียงพอที่คุณจะศึกษาเพียงแค่หุ้นรายตัว แต่คุณจำเป็นจะต้องวิเคราะห์สถานะของตลาดโดยรวมด้วย
กว่าห้าทศวรรษที่ผมได้ทำการศึกษาวัฏจักรของตลาดมันแสดงให้ผมเห็นว่าสามในสี่ของหุ้นทั้งหมดจะตกลงในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดการปรับฐาน มันจึงเป็นเหตุผลว่าทิศทางของตลาดจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เราจะต้องพิจารณาเพื่อทำเงินในตลาดหุ้น
คุณจะบอกได้อย่างไรว่าตลาดหุ้นจะไปในทิศทางไหน ?
คุณไม่จำเป็นจะต้องมีลูกแก้ววิเศษ กุญแจสำคัญคือการเรียนรู้ที่จะถอดรหัสการเคลื่อนไหวของตลาดแบบวันต่อวัน พูดง่ายๆ คือ ตอนนี้ตลาดกำลังทำอะไรอยู่
การลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่การติดตามการพยากรณ์ของเหล่ากูรูหรือการประเมินตลาดของนักวิเคราะห์ แต่เป็นการศึกษาตัวของตลาดโดยตรง
มีอินดิเคเตอร์เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่น่าเชื่อถือในการอ่านพฤติกรรมของตลาด
ในบทความนี้เราจะโฟกัสไปที่ตลาด Nasdaq S&P500 และ Dow Jones พวกเราจะแสดงให้เห็นถึงการใช้กราฟราคารายวันและปริมาณการซื้อขายเพื่อตีความสภาพตลาดในปัจจุบัน
บางครั้งนักลงทุนจำนวนมากถูกทำให้เข้าใจผิดโดยความเห็นและการพยากรณ์ต่างๆ การรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับตลาดเป็นสิ่งหนึ่งที่เสี่ยงที่สุดสำหรับนักลงทุน
สิ่งที่คุณต้องการคือ “ความจริง” ไม่ใช่ “ความคิดเห็น”
หากจะมีบทเรียนซักบทเรียนหนึ่งที่สำคัญที่สุดจากตลาดหมีครั้งใหญ่ในช่วงปี 2000 มันคือการโต้เถียงกับความจริงว่าตลาดเป็นขาลงแล้วคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุดจากคำพยากรณ์ เพราะนั่นน่าจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเลยที่คุณจะหมดตัวจากตลาดหุ้น
เรามาเริ่มต้นด้วยการดูกิจกรรมของตลาดและคุยเกี่ยวกับสิ่งที่มันพยายามจะบอกคุณกันดีกว่า
ปฏิสัมพันธ์ของราคาและปริมาณการซื้อขาย
ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวด้วยแรงเดียวกันกับหุ้นรายตัว นั่นคือ แรงของอุปสงค์และอุปทาน
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของตลาดวอลล์สตรีท วิธีที่ดีที่สุดในวัดสภาวะและทิศทางจองตลาดนั่นคือการดูกราฟราคารายวันและปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นกับดัชนีหลักทั้งสาม นั่นคือ ดาวโจนส์ เอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก การพุ่งขึ้นของปริมาณการซื้อขายในดัชนีหลักแสดงให้เห็นถึงการซื้อขายของสถาบันและนักลงสถาบัน ซึ่งเป็นแรงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่จะกำหนดทิศทางตลาดและทำให้ตลาดเคลื่อนไหว
ในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น โดยปกติแล้วคุณต้องการจะเห็นราคาและปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นตามกันไป สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าตลาดกำลังมีการสะสมพร้อมปริมาณซื้อที่มากกว่าปริมารณขาย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี ในวันที่ตลาดลง โดยส่วนใหญ่แล้วคุณจะเห็นปริมาณการซื้อขายที่ลดลง แสดงให้เห็นว่าไม่มีการขายจาก big player ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ดี แต่ให้จำไว้ว่าเมื่อราคาของตลาดพุ่งสูงขึ้นจนเบรคจุดสูงสุดใหม่แต่ปริมาณการซื้อน้อย มันแสดงให้เห็นว่าขาดการซื้อจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งนี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือน
แม้ในช่วงที่ดีที่สุดของตลาดกระทิง จะมีวันที่แรงขายชนะแรงซื้อโดยเมื่อตลาดปิดลงด้วยปริมาณการซื้อขายที่มากกว่าวันก่อนหน้า สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงการกระจายและการขายของรายใหญ่ และมันอาจจะเป็นอันตรายได้ถ้าพฤติกรรมแบบนี้ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง
การกระจายของเพียงวันเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ตลาดขาขึ้นกลายมาเป็นตลาดขาลง แต่เราสามารถใช้มันเป็นสัญญาณให้เราเริ่มดูตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป วัฏจักรของตลาดตลอดช่วงระยะ 50 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าถ้ามีการกระจายเกิดขึ้นสามถึงห้าวันในช่วงสี่สัปดาห์ตลาดจะเปลี่ยนสถานะจากขาขึ้นเป็นขาลง
การพังทลายของตลาดครั้งใหญ่ในปี 1929 หลายๆคนคิดว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน แต่ไม่ใช่เลย ในช่วงปลายปี 1929 ตลาดได้เกิดกระจายหลายครั้งก่อนที่ตลาดดาวโจนส์จะมีแรงขายครั้งใหญ่ ซึ่งพวกมันเป็นพฤติกรรมออกมาให้เรา “ออกจากตลาด”
.
คุณอาจจะสงสัยว่าตลาดในเกือบร้อยปีที่ผ่านมาจะมาเกี่ยวอะไรกับสภาพตลาดปัจจุบัน ?
คำตอบของผมคือ ในตลาดหุ้นเราจะเห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิมอย่างต่อเนื่อง เพราะธรรมชาติของมนุษย์ (ความหวัง ความโลภและความกลัว) ไม่เคยเปลี่ยน
นักลงทุนที่ไม่มีความยืดหยุ่นในช่วงที่ตลาดเริ่มมีการปรับฐานและคิดจะสู้กับข้อเท็จจริงของตลาดที่เป็นขาลงมักจะได้รับผลกระทบจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
เกมของตลาดหุ้นเป็นเกมของการรักษากำไรที่คุณสร้างขึ้นในช่วงที่ตลาดเป็นกระทิง ไม่ใช่การได้กำไรแล้วเสียมันกลับไปในช่วงที่สภาพตลาดไม่เป็นใจ
หุ้นนำตลาด
อีกวิธีในการถอดรหัสตลาดคือการศึกษาสภาพและสภาวะของหุ้นนำตลาด จำไว้ว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา สามในสี่ของหุ้นทั้งหมดในตลาดจะตกลงไปพร้อมกับตลาดขาลง เมื่อคุณเห็นว่าหุ้นที่ดีที่สุดและแข็งแรงที่สุดในตลาดมีการตกลงด้วยปริมาณซื้อขายหนาแน่น สิ่งนี้จะบอกอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในตลาดกับคุณ หน้าที่ของคุณไม่ใช่การไปรู้เหตุผลว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น แต่เป็นการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและรู้ว่าคุณควรทำอะไรเกี่ยวกับมัน
อะไรที่เป็นตัวกำหนดหุ้นนำตลาด?
หุ้นนำตลาดคือบริษัทที่มีอิทธิพลเหนืออุตสาหกรรมของมันในแง่ของการวัดผลทางปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคที่สำคัญ ในส่วนของปัจจัยทางพื้นฐาน หุ้นนำตลาดจะมีผลกำไรที่ยอดเยี่ยมและยอดขายที่เติบโตพร้อมกับค่า ROE ที่สูงหรือ NPM ที่แข็งแกร่ง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมักจะเป็นผลที่เกิดมาจากการขายนวัตกรรมหรือบริการที่ยอดเยี่ยมและล้ำสมัยซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและธุรกิจอื่นๆ
ในอีกด้านหนึ่งของผู้นำคือปัจจัยทางเทคนิค ซึ่งผมหมายถึงความแข็งแกร่งทางด้านราคาของบริษัท ตามคำจำกัดความแล้ว หุ้นผู้นำจะ outperform ทางด้านราคาหรือมีความแข็งแกร่งมากกว่าหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด
สังเกตว่าในคำจำกัดความของหุ้นนำตลาดในความหมายของผมไม่ใช่หุ้นอันดับหนึ่งในด้านของชื่อเสียงหรือแบรนด์ของบริษัท สิ่งนี้ไม่ใช่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาเกี่ยวกับหุ้นนำตลาด พวกคุณควรจะไปรับอิทธิพลจากการโฆษณาของบริษัท
เมื่อตลาดหุ้นถึงจุดต่ำสุดและเกิดการ break high มันจะดีที่สุดที่คุณจะลืมหุ้นเก่าๆ ที่คุณคุ้นเคยไป
จากการศึกษาประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าจะมีเพียงหนึ่งในแปดของหุ้นผู้นำในอดีตนั้นจะสามารถเป็นหุ้นผู้นำตลาดในรอบถัดไปของตลาดขาขึ้นได้
.
จงติดตามผู้นำเป็นหลัก
หลังจากการชะลอของขาลงที่เกิดขึ้น ตลาดจะพยายามที่จะขึ้นที่บริเวณใดบริเวณหนึ่ง แต่ในช่วงสองสามวันแรกที่ตลาดมีการพยายามจะขึ้นนั้นอาจจะไม่เพียงพอที่ตลาดจะกลายเป็นขาขึ้นได้ สิ่งที่คุณต้องทำคือการรอ Follow-through day ซึ่งเป็นการคอนเฟิร์มว่าตลาดกำลังจะเป็นขาขึ้นรอบใหม่
Follow-Through day ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงวันที่สี่ถึงสิบหลังจากที่ตลาดเริ่มหยุดตก โดยที่ดัชนีจะปิดวันด้วยค่าที่เพิ่มขึ้น 1-2% และมีปริมาณซื้อขายมากกว่าวันก่อนหน้า ในช่วงที่ตลาดเกิดการ follow-through หุ้นกลุ่มแรกๆ ที่เคลื่อนไหวทะลุจุดสูงสุดใหม่จากฐานราคาที่แข็งแกร่งด้วยปริมาณซื้อขายหนาแน่นมักจะเป็นหุ้นนำตลาดในตลาดกระทิงรอบใหม่ พวกมันมักจะไปได้ไกลและไปได้เร็วกว่าหุ้นตัวอื่น แม้ว่าในภายหลังหุ้นพวกนั้นจะแสดงความแข็งแกร่งขึ้นมา
คุณจะต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเพื่อรอหุ้นผู้นำรอบใหม่ที่จะขึ้นจากฐานราคาที่เหมาะสมในช่วงสามเดือนหลังจากตลาดเกิด Follow-Through day
ในช่วงเวลานั้น ระบุหุ้นผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมให้ได้ แล้วนำมันใส่ watch list ไว้แล้วคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวในแต่ละวันของพวกมัน ดูว่าหุ้นเหล่านั้นมีการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบันหรือไม่ และคอยดูหุ้นที่ทำจุดสูงสุดใหม่และจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์ เพื่อแยกหุ้นนำตลาดออกจากหุ้นที่ล้าหลัง
คอยติดตามราคาและปริมาณซื้อขายของหุ้นผู้นำและดัชนีของตลาดหลักเข้าไว้ เมื่อคุณเห็นหุ้นเหล่านั้นทะลุจุดสูงสุดใหม่และดัชนีของตลาดพุ่งสูงขึ้นด้วย มันแสดงให้ถึงความแข็งแรงของการขึ้นของตลาด ในเวลาเดียวกันเมื่อคุณเห็นว่าหุ้นผู้นำส่วนใหญ่เริ่มลง มันอาจจะบอกใบ้คุณว่าตลาดอาจจะกลับเป็นขาลงได้
เมื่อตลาดเริ่มเป็นขาลง หุ้นผู้นำในรอบที่ผ่านมามักจะเป็นหุ้นลงมากที่สุด จากการศึกษาตลาดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมาพบว่าหุ้นนำตลาดจะตกจากจุดสูงสุดของมันกว่า 75% เฉลี่ย มันจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมคุณควรที่จะมีวิธีในการที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าสามารถบอกสถานะของตลาดได้ และป้องกันตัวเองเมื่อตลาดเป็นขาลง
.
สิ่งที่คุณควรทำในปัจจุบัน
ติดตามและสังเกตพฤติกรรมของหุ้นเติบโตคุณภาพดีที่ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน คุณควรจะเฝ้าตลาดอยู่ตลอด
จงอดทนและตื่นตัวในการวิเคราะห์หุ้นและตลาด อย่าปล่อยให้ความคิดเห็นหรือการคาดคะเนของใครมาทำให้คุณไขว้เขวจากความเป็นจริง อย่าให้อารมณ์ของคุณมารบกวนการตัดสินใจของคุณได้ และจงเฝ้าดูความจริงเหล่านี้ไว้
- พฤติกรรมราคาและปริมาณซื้อขายของดัชนีตลาดหลัก
- เปรียบเทียบพฤติกรรมของหุ้นส่วนใหญ่กับพฤติกรรมของหุ้นผู้ชนะว่ามันเคลื่อนไหวอย่างไร
ด้วยการที่คุณทำสิ่งเหล่านี้ มันจะทำให้คุณมีความเข้าใจในพฤติกรรมของตลาดที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้ คุณจะสามารถเรียนรู้ที่จะจดจำสัญญาณที่เกิดขึ้นซึ่งมันสามารถทำให้คุณวางแผนการเทรดที่แข็งแกร่งโดยเป็นแผนที่เกิดจากข้อเท็จจริงของตลาด
“Personal opinions can frequently be wrong, whereas markets seldom are.”
William O’Neil, the founder of William O'Neil & Co. Inc., The original Market Wizards
ลองอ่านดูแล้วคิดว่านำมาปรับใช้กับตลาดไทยได้อย่างดีครับ สามารถอ่านเรื่องราวของปู่ได้ในหนังสือ How to make money in stocks และ Market Wizards เล่มแรก หรือในเว็บของ Investor Business Daily ได้ครับ
ถ้ามีโอกาสจะเอามาเขียนสรุปให้อีกครับ มีอยู่เยอะมากเหมือนกันที่คุณภาพและสามารถนำมาปรับใช้ได้
ชอบไม่ชอบอย่างไรฝากกด like + share หรือ comment ด้วยนะครับผม
โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
Humble Trader Diary
สามารถติดตาม Humble Trader Diary ได้ที่
โฆษณา