17 พ.ย. 2019 เวลา 04:19 • กีฬา
เรื่องราวของตำนานแห่งทีมชาติสเปน ดาบิด บีย่า จากกองหน้าจอมถล่มประตู กลับต้องยอมรับบทพระรอง เพื่อเป้าหมายในการผลักดันให้ลีโอเนล เมสซี่ ก้าวสู่จุดสูงสุด
หลังจากบาร์เซโลน่า ในยุคของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า กวาดทุกแชมป์ที่ขวางหน้าในฤดูกาล 2008-09 พอเข้าซีซั่นใหม่ พวกเขากลับเจอปัญหา นั่นคือฟอร์มโดยรวมของทีมดร็อปลง
ฤดูกาล 2009-10 บาร์ซ่าได้แชมป์ลีกก็จริง แต่ในโกปาเดลเรย์ ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ขณะที่ในแชมเปี้ยนส์ลีก ก็ตกรอบรอง ไปแพ้อินเตอร์ มิลาน ของโชเซ่ มูรินโญ่
3
ส่วนจำนวนประตูที่ยิงได้ ก็ลดลงจากปีก่อน ความเฉียบคมหน้าปากประตูหายไป
สาเหตุสำคัญที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับฟอร์มที่ดร็อปลง คือการย้ายเข้ามาของซลาตัน อิบราฮิโมวิช สู่บาร์เซโลน่าในช่วงซัมเมอร์ ซึ่งดีลนี้ประธานสโมสรโจน ลาปอร์ต้า เป็นคนจัดการเองโดยไม่ได้ถามความสมัครใจจากเป๊ป กวาร์ดิโอล่า โค้ชที่เป็นคนใช้งานจริง
เมื่อซื้อซลาตันมาแล้ว โค้ชก็ต้องเอาไปใช้ ซึ่งเป๊ปจึงจำใจวางอิบราในตำแหน่งหัวหอกตัวเป้า ซึ่งส่งผลให้เขาต้องถ่างลีโอเนล เมสซี่ ไปเล่นตำแหน่งอื่น ปีกขวาบ้าง มิดฟิลด์ตัวรุกบ้าง ตามแต่สถานการณ์ ซึ่งนั่นไม่ใช่ตำแหน่งที่ดีที่สุดของเมสซี่
จนในที่สุดฤดูกาล 2009-10 จบลง อิบราฮิโมวิช เตรียมย้ายทีมไปเล่นให้เอซี มิลาน เช่นเดียวกับเธียร์รี่ อองรี ที่จะย้ายไปอเมริกา
นั่นทำให้ กวาร์ดิโอล่า ได้โอกาสที่จะเซ็ตแผนที่เขาต้องการจะเล่นจริงๆขึ้นมา
ในสายตาของกวาร์ดิโอล่า เมสซี่่ คือจิ๊กซอว์ที่สมบูรณ์แบบของแผนติกี้ตาก้า ถ้าหากจับเขามายืนเป็นกองหน้าตัวเป้า เพราะเมสซี่ จะเล่นในสไตล์ False 9 คือยืนหน้าสุดก็จริง แต่เขาไม่เคยยืนค้ำให้เสียตัวฟรีๆอยู่แล้ว เมสซี่จะถอยลงมาเชื่อมเกมกับกองกลางโดยอัตโนมัติ นั่นทำให้การต่อเกมของบาร์เซโลน่าจะไหลลื่น จนใครๆก็จับไม่ได้
ถ้าเมสซี่ยืน False 9 เวลาถอยลงมา เขาจะเล่นต่อบอลตรงกลางร่วมกับ ชาบี เอร์นันเดซ และ อันเดรส อิเนียสต้า และจะเกิดสามเหลี่ยมปีศาจขึ้นมา ซึ่งไม่มีใครแย่งบอลไปจากเท้าของสามคนนี้ได้
1
แต่เมื่อมีซลาตัน แผนนี้ใช้ไม่ได้ เพราะเมสซี่ต้องไปยืนตรงส่วนอื่นของสนาม แล้วปล่อยให้อิบรายืนหน้าเป้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อซลาตันมีเจตจำนงจะย้ายไป กวาร์ดิโอล่าก็แสดงความตั้งใจชัดเจนว่า บาร์ซ่าในซีซั่น 2010-11 ต้องเล่นแผนนี้เท่านั้น คือต้องมี "เมสซี่" เป็นศูนย์กลาง
1
เป๊ปได้ไอเดียแล้ว แต่เอาจริงๆปัญหาก็ยังมีอยู่ เพราะด้วยระบบ 4-3-3 แบบ False 9 ของเป๊ป มีปัญหาอยู่หนึ่งข้อ นั่นคือ ใครจะยืนปีกซ้าย-ขวาล่ะ?
2
คนเล่นปีกทั้งสองฝั่งของบาร์ซ่า ต้องเป็นคนที่มีความเข้าใจเกมสูงมาก ในยามปกติต้องเล่นริมเส้น แต่ทันทีที่เมสซี่ ถอยลงไปเชื่อมเกมตรงกลาง เขาต้องหุบมาเล่นหน้าเป้าแทน
ว่าง่ายๆ ปีกซ้าย - ขวา ของบาร์ซ่า จำเป็นต้องมีความครบเครื่องมากๆ คือคล่องตัว เคลื่อนที่เก่ง เล่น 2 ตำแหน่งได้ และที่สำคัญต้องจบสกอร์ได้ดี
ฝั่งขวา บาร์เซโลน่าโชคดี ที่มีดาวรุ่งจากอคาเดมี่ชื่อเปโดร โรดริเกวซ แจ้งเกิดขึ้นมาพอดี
เปโดร แย่งตำแหน่งจากเธียร์รี่ อองรีมาได้ตั้งแต่ซีซั่นก่อน และลงเล่นต่อเนื่อง จนได้ติดทีมชาติสเปนชุดใหญ่ โดยในฟุตบอลโลก 2010 รอบชิง ที่สเปนชนะฮอลแลนด์ 1-0 เกมนั้นเปโดร ก็ได้ลงตัวจริงด้วย
ฝั่งขวาโอเค ใช้เปโดรได้ไม่มีปัญหา แต่คำถามคือฝั่งซ้ายนี่ล่ะ ชอยส์ที่มีอยู่ อย่างเจฟเฟรน ซัวเรซ หรือโบยาน เคร์คิช ก็ยังคลาสไม่ถึงพอ ที่จะเป็นตัวจริงได้
ดังนั้นทำให้บาร์เซโลน่า จำเป็นต้องลงตลาดซื้อขาย เพื่อซื้อนักเตะสักคนที่จะเข้ามาเติมเต็มจิ๊กซอว์ของกวาร์ดิโอล่าให้สมบูรณ์ ใครสักคนที่จะช่วยส่งเสริมให้ลีโอเนล เมสซี่ ได้เฉิดฉายที่สุด
หลังจากพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ในที่สุด บาร์เซโลน่ามีชอยส์ในใจแค่ 1 คนเท่านั้น ที่เหมาะสมกับแผนของกวาร์ดิโอล่า
คนคนนั้นคือดาบิด บีย่า กองหน้าทีมชาติสเปนจากบาเลนเซีย
จริงๆถือว่าเป็นชอยส์ที่แฟนๆก็มีคำถามเหมือนกัน เพราะบีย่าอายุ 28 ปีแล้ว ซึ่งก็ถือว่าอายุเยอะกว่าทั้งเมสซี่ และเปโดร พอสมควร (เมสซี่กับเปโดร ย่าง 23 ปี เท่ากัน) เท่ากับว่าจะใช้งานกันได้ก็แค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น ไม่กี่ปี เดี๋ยวก็โรยราแล้ว
อย่างไรก็ตาม ด้วยสไตล์การเล่น และความคมหน้าปากประตู รวมถึงการเป็นกองหน้าตัวจริงทีมชาติสเปน นั่นก็เพียงพอแล้วที่บาร์ซ่าจะทุ่มตัวซื้อ
1
ทีมชาติสเปนนั้น มี บุสเกตต์ ,อิเนียสต้า,ชาบี ,เปโดร ลงเล่นเป็นตัวจริงอยู่แล้ว ลองคิดดูว่า ถ้าหากมีดาบิด บีย่า ซึ่งปกติก็เป็นตัวจริงทีมชาติเช่นกันมาเล่นอีกคน มันจะยิ่งเข้าข้ากันมากแค่ไหน
ในทีมชาติก็เล่นด้วยกัน ในสโมสรก็เล่นด้วยกัน ความเข้าใจย่อมสูงกว่านักเตะทีมอื่นแบบคนละเรื่อง ถ้าได้บีย่ามา แล้วเติมจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายอย่างเมสซี่เข้าไปในตอนจบ มันจะกลายเป็นภาพที่สมบูรณ์จริงๆ
ยิ่งเมื่อรวมกับผลงานในซีซั่นที่ผ่านๆมา นักเตะอย่างบีย่าไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว ผลงาน 108 ลูกใน 166 เกม ตลอดการเล่นที่บาเลนเซีย ตอบคำถามได้ทุกข้อ
1
ขณะที่ในฤดูกาลที่เพิ่่งจบไป เขายิงได้ 21 ลูกในลาลีกา ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่ธรรมดา
ในที่สุดบาร์เซโลน่ายื่นข้อเสนอ 40 ล้านยูโรให้บาเลนเซีย บีย่าได้อนุญาตให้เจรจาได้ และการย้ายตัวก็เกิดขึ้นเรียบร้อย บีย่าเป็นนักเตะคนแรกในตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์ 2010-11 ของบาร์ซ่าอีกด้วย
"ผมภูมิใจที่ได้ย้ายมาที่นี่" บีย่ากล่าวตอนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน "ใครก็ตามที่ได้ย้ายมาก็ต้องดีใจทั้งนั้น เพราะเหมือนที่เขาว่ากันนั่นล่ะ บาร์เซโลน่าคือทีมที่ดีที่สุดในโลก"
นักข่าวถามต่อว่า แล้วคุณจะเอาอะไรมาเพิ่มเติมให้ทีมนี้ บีย่าตอบกลับไปว่า "ผมเป็นคนทำงานหนัก และมีความต้องการจะช่วยทีมให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีก"
ขณะที่บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เฮดโค้ชทีมชาติสเปน ก็ยินดีกับการย้ายตัวครั้งนี้ โดยยืนยันว่า "ในโลกนี้ชั่วโมงนี้ ไม่มีกองหน้าคนไหนดีไปกว่าดาบิด บีย่า"
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่บีย่าเองยังไม่รู้ในตอนนั้น คือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า อยากได้เขาจริง แต่ไม่ใช่ในตำแหน่งหน้าเป้าที่เขาถนัด แต่เป็นปีกซ้ายที่เขาแทบไม่เคยเล่นเลยต่างหากล่ะ
บีย่า ในฟุตบอลโลก 2010 คว้ารางวัลลูกบอลทองแดง ในฐานะนักเตะอันดับ 3 ที่เยี่ยมที่สุดในรายการ , คว้ารางวัลซิลเวอร์บู้ท ในฐานะรองดาวซัลโวเป็นรองแค่โทมัส มุลเลอร์คนเดียว และติดทีมออลสตาร์ของฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอีกด้วย
ที่สำคัญบีย่า มีดีกรีแชมป์ยูโร และแชมป์โลก พ่วงติดตัวมาอย่างยิ่งใหญ่ เก่งอย่างเขา ไปอยู่ทีมไหนก็ได้เล่นตำแหน่งหน้าเป้าที่ตัวเองถนัดหมด
1
อย่างไรก็ตาม กับที่บาร์เซโลน่าไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อกวาร์ดิโอล่าไม่สนใจว่าบีย่า จะมีดีกรีมาจากไหน ในไอเดียของเขาหน้าเป้าคือเมสซี่เท่านั้น และบีย่าก็จำเป็นต้องโดนโยกไปยืมริมเส้นด้านซ้าย แล้วจากนั้นก็ต้องรอ ว่าเมสซี่ถอยลงต่ำเมื่อไหร่ เมื่อนั้นล่ะจะสามารถหุบมายืนในลักษณะกองหน้าตัวเป้าได้
บีย่า เมื่อต้องโดนไปโยกยืนซ้าย สิ่งที่เขาต้องพยายามทำคือ "ปรับตัว" คนที่เล่นหน้าเป้ามาทั้งชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนตำแหน่ง แต่เขาก็รู้ดีว่า ถ้าเขาไม่ปรับตัวยืนตำแหน่งนี้ให้ได้ เขาจะไม่ได้รับตำแหน่งตัวจริงเช่นกัน
เกมแรกที่บีย่าลงเล่นในลาลีกา คือนัดเปิดซีซั่น เจอกับราซิ่ง ซานตาแดร์ ในนาทีที่ 62 บอลอยู่ที่เมสซี่ สวนกลับเร็วขึ้นมา บีย่าฉีกไปปีกซ้ายตามหน้าที่ เมสซี่จ่ายบอลออกขวาให้แดเนียล อัลเวสที่โอเวอร์แล็ปขึ้นมา ครอสบอลลึกถึงเสาสอง มาให้บีย่าที่รออยู่ตรงนั้นพอดีเป๊ะ ยืนโหม่งง่ายๆเข้าไปเลย
เกมนั้นบาร์ซ่าชนะ 3-0 และบีย่า ออกสตาร์ตด้วยการยิงทันที
บีย่าถือว่าปรับตัวได้เร็วมาก ในบางเกมที่เมสซี่มีอาการบาดเจ็บ เป๊ปก็จะส่งเขาเป็นกองหน้าตัวเป้าแทน อย่างในเกมชนะสปอร์ติ้ง กิฆ่อน 1-0 บีย่าเล่นเป็นหน้าเป้า และยิงประตูชัยให้ทีมได้ด้วย
แต่แน่นอน พอเมสซี่กลับมาเขาก็ต้องมายืนฝั่งซ้ายเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตามยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ ทักษะของบีย่าก็สูงขึ้นตามไปด้วย พลังของเขาตอนอยู่ฝั่งซ้ายถือว่าน่ากลัว และอันตรายมากๆ
เกมที่บาร์ซ่าถล่มเรอัล มาดริด 5-0 เขาเป็นคนแอสซิสต์ลูก 2-0 ให้เปโดร โดยกระชากหนีเซร์คิโอ รามอส หายก่อนตบเข้ากลางให้เปโดรชาร์จง่ายๆ
จากนั้นลูก 3-0 และ 4-0 คล้ายๆกัน คือลีโอเนล เมสซี่ได้บอลตรงกลาง ก่อนแทงคิลเลอร์พาสให้เขาด้านขวา แล้วยิงผ่านมืออีเกร์ กาซียาสเข้าไป
จะเห็นได้ชัดเลยว่า บีย่า ดูตอบโจทย์มากๆกับแผนของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า
"มันไม่ง่ายเลยนะ ที่ต้องปรับตัวกับระบบของบาร์เซโลน่า และบีย่าก็เพิ่งมาอยู่ได้ 5-6 เดือน แต่เวลาเขาเล่นในสนามเหมือนว่าอยู่กับเรามา 5-6 ปี" ชาบี เอร์นันเดซ กล่าวชื่นชมบีย่า
บีย่าไม่มีอีโก้ใดๆ และเข้าใจดีว่าทำไมกองหน้าระดับดาวซัลโวอย่างเขา ต้องถ่างมาเล่นริมเส้นแบบนี้ ทุกอย่างมีเหตุ มันจึงมีผล และเขาก็ยอมรับได้ แม้จะต้องเปลี่ยนตำแหน่งก็ตาม
ยิ่งเล่นไปเรื่อยๆ บีย่า ยิ่งต้องรับบทบาทพระรอง มาถึงตรงนี้เขาต้องยอมรับแล้วว่า หน้าที่หลักของเขา คือการช่วยเปิดพื้นที่ให้ลีโอเนล เมสซี่เล่นได้ง่ายที่สุด
ในซีซั่น 2010-11 เมสซี่ยิงไป 53 ลูก ในทุกรายการ ขณะที่บีย่า ลงเล่นเท่ากับเมสซี่เป๊ะ แต่ยิงได้แค่ 23 ลูก น้อยกว่ากัน 30 ลูกเต็มๆ
ซึ่งจะว่าไปก็แปลกดี เพราะในซีซั่นก่อนที่จะย้ายมา ตอนเขาเล่นอยู่กับบาเลนเซีย เขายิงได้ถึง 28 ลูก แต่พอย้ายมาบาร์ซ่าที่มีตัวจ่ายระดับโลกเต็มไปหมด เขากลับยิงได้น้อยลงกว่าเดิมเสียอีก
แต่คำอธิบายก็ไม่ได้ตอบยาก นั่นเพราะบีย่า ทำหน้าที่เหมือนเปโดร คือปั่นป่วนริมเส้น และพยายามเปิดโอกาสให้เมสซี่ได้พื้นที่ว่างในการจบสกอร์ เขาต้องลดความเป็นฮีโร่ลง และเล่นเพื่อทีมมากขึ้น
แน่นอน การเล่นเพื่อทีมมันก็ดี รวมพลังทำให้ทีมชนะ มันไม่ดีตรงไหน
แต่ถ้าเจาะลึกไปมองในแง่ผลงานส่วนตัว ทางบีย่าเองก็ผิดหวังมากๆเหมือนกัน
เพราะการไม่ได้จบสกอร์ด้วยตัวเองบ่อยๆ ทำให้เมื่อถึงจังหวะต้องเป็นคนยิงจริงๆ เขากลับซัดด้วยความไม่มั่นใจ จนมันไม่เกิดสกอร์ขึ้นมา
ไม่น่าเชื่อว่า ครั้งหนึ่งคนอย่างบีย่า จะโดนสื่อแซวว่าจอมฝืดได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วในช่วงปลายๆฤดูกาล
บีย่า ยิงไม่ได้ 11 เกมติดต่อกัน และใน 17 เกมสุดท้ายของฤดูกาล มีแค่ 2 เกมเท่านั้น ที่มีชื่อเขาบนสกอร์บอร์ด
ขณะที่คู่แข่ง ก็เริ่มจับทางการยืนของบีย่าได้มากขึ้น บรรดาทีมเขี้ยวๆ จะประกบเหนียวแน่นไม่ให้บีย่า ไปประสานงานร่วมกับเมสซี่ได้
ในโกปา เดลเรย์ นัดชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2010-11 โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือเรอัล มาดริด ดักจับบีย่าได้เด็ดขาด จนบาร์เซโลน่าเจาะเข้าทำไม่ได้ ก่อนมาดริดจะขึ้นนำ 1-0 จากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในช่วงต่อเวลา
บีย่าโดนเป๊ปเปลี่ยนออกทันที เขาเล่นไม่ออกเลยจริงๆ แต่สุดท้ายก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี บาร์ซ่าแพ้ 1-0 ในนัดนั้น
แน่นอน เมื่อช่วยทีมไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น ทำให้บีย่าเองก็มีความกดดัน
อย่างไรก็ตาม กวาร์ดิโอล่า ไม่เคยต่อว่าอะไรบีย่าเลยที่ยิงไม่ได้ นอกจากนั้นยังเติมความเชื่อมั่นให้บีย่ารับรู้ว่า การเล่นของเขาแบบนี้ ส่งผลดีกับทีมโดยรวมมากกว่า
"เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คือโค้ชที่พิเศษจริงๆ คุณสามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองไปกับเขาได้เลยระหว่างการเล่น" บีย่าเล่า
"ผมคิดว่าตัวเองเป็นนักเตะที่ดีขึ้นนะ ผมต้องขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อผมจริงๆ"
เข้าสู่เกมสุดท้ายของบาร์เซโลน่าในฤดูกาล 2010-11 นั่นคือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศ ที่สนามเวมบลีย์
กวาร์ดิโอล่า ยังคงเชื่อใจดาบิด บีย่าเหมือนเดิม แม้เขาจะฝืดมากๆก็ตาม แต่เป๊ปก็มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อย โดยสลับตำแหน่งบีย่า กับ เปโดร ให้บีย่ามายืนฝั่งขวาแทน
ในครึ่งแรก เปโดรโชว์ผลงานแจ๋ว ยิงให้บาร์ซ่านำไปก่อน 1-0
ก่อนจะโดนเวย์น รูนี่ย์ ตีเสมอให้แมนฯยูไนเต็ดเป็น 1-1
จากนั้นครึ่งหลังแนวรุกอีกคน เมสซี่ ยิงไกลให้บาร์ซ่าขึ้นนำเป็น 2-1
เท่ากับว่าสามตัวบน เปโดรยิงแล้ว เมสซี่ยิงแล้ว เหลือแต่บีย่าที่จบสกอร์กี่ครั้งก็ไม่ได้เสียที
บาร์ซ่ายังปิดเกมไม่ลง ถ้าเป็นแบบนี้แมนฯยู ยังมีสิทธิจับพลัดจับผลูมาตีเสมอได้ เกมฟุตบอลมันไม่เคยแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงโหมหนัก นวดไปเรื่อยๆ เพื่อบดให้แมนฯยูจนแต้มให้ได้
1
สำหรับบีย่าเกมนี้เขาได้ยิงไปถึง 6 ครั้ง เป็นผู้เล่นที่สร้างโอกาสได้เยอะที่สุดในสนาม แต่ไม่ติดบล็อค ก็ยิงออกไปเอง ความคมดุจเพชฌฆาตที่เคยมีหายไปไหนก็ไม่รู้
อย่างไรก็ตาม เป๊ปไม่เปลี่ยนบีย่าออก และเชื่อมั่นต่อไป จนถึงนาทีที่ 69 ในขณะที่กองหลังแมนฯยู กำลังปั่นป่วน บีย่า หาพื้นที่ว่างให้ตัวเอง ยืนอยู่ตรงหัวกะโหลกของแมนฯยูไนเต็ด จากนั้นรอให้บุสเกตต์จ่ายคืนหลังมา
ปีย่า จับบอลหนึ่งจังหวะอย่างใจเย็น และง้างเท้ายิงหนที่ 7 ในเกมนี้ ในระยะ 20 หลานอกเขตโทษ บอลพุ่งวาบผ่านเอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์เข้าประตูไปอย่างหมดจด ให้บาร์ซ่านำ 3-1 ในที่สุดเขาก็ทำได้สักที
สำหรับสกอร์ 3-1 นี้ทุกคนก็รู้ว่าเกมจบแล้ว แมนฯยู ไม่มีพลังจะคัมแบ็กได้ในช่วงที่เหลือ และในที่สุดทีมของเป๊ป ก็กลับมาคว้าแชมป์ยุโรปได้อีกครั้ง หลังวืดไปในฤดูกาลที่แล้ว
และสำหรับบีย่า จริงอยู่แม้เขาอาจไม่ยิงเลยในช่วงท้ายๆซีซั่น แต่ทว่าก็ยังพิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะเล่นริมเส้นบ่อยแค่ไหน แต่ความคมในฐานะหัวหอกอาชีพก็ยังคงติดตัวอยู่ และมันเป็นอาวุธสำคัญสำหรับตัดสินเกมแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงด้วย
จบฤดูกาล 2010-11 ปีแรกของดาบิด บีย่า กับบาร์ซ่า ได้ 2 แชมป์ คือลาลีกา และแชมเปี้ยนส์ลีก นี่เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับมาอย่างคู่ควร
บีย่า จริงๆก็ถือเป็นขวัญใจของแฟนบาร์ซ่าในช่วงหนึ่ง แต่พอเข้าฤดูกาล 2011-12 เขาบาดเจ็บกระดูกหัก ต้องพักนาน 9 เดือน ซึ่งพอกลับมา ก็ฟอร์มดร็อปลงไป เล่นได้ไม่เหมือนเดิมอีกหากเทียบกับปีแรก
นั่นทำให้พอใช้งานไปแล้ว 3 ปี บาร์เซโลน่าปล่อยบีย่าต่อให้แอตเลติโก้ มาดริด จากนั้นบีย่า ก็พเนจรไปที่เมลเบิร์น ซิตี้ ในออสเตรเลีย ตามด้วยนิวยอร์ก ซิตี้ ในสหรัฐฯ ก่อนปิดฉากชีวิตค้าแข้งกับวิสเซล โกเบ ในเจลีก ประเทศญี่ปุ่น
บีย่า ปิดฉาก การค้าแข้งในวัย 37 ปี โดยคำอำลาที่เขาพูดในการประกาศแขวนสตั๊ดก็คือ "มันคงจะดีกว่า ถ้าผมอำลาฟุตบอล มาก่อนที่ฟุตบอลมันจะอำลาผมไปเอง"
ด้วยวัยที่มากขึ้น เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บหนักง่ายขึ้น ดังนั้นเมื่อมีช่องทางให้เลิกเล่นฟุตบอลได้อย่างสง่างาม ดาบิด บีย่า จึงรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ
ในสายตาของแฟนบอลทั่วโลก ดาบิด บีย่า คือนักเตะที่ยอดเยี่ยม ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย และมีผลงานประจักษ์แจ้งชัดเจนว่าเก่งจริง
ตอนอยู่บาเลนเซียถ้าเขามาทันยุคราฟาเอล เบนิเตซ บางทีอาจจะได้แชมป์ลีกไปแล้วก็ได้ตั้งแต่ตอนนั้น
ขณะที่กับทีมชาติไม่ต้องพูดถึง บีย่าเป็นนักเตะที่ทำประตูให้ทีมชาติสเปนมากที่สุดตลอดกาล ที่จำนวน 59 ประตู
ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยสีสันมากมาย และยิงประตูสำคัญมาแล้วนักต่อนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามเจ้าตัวว่า ประตูไหนในอาชีพที่เขาชอบมากที่สุด บีย่าตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า เป็นประตูนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2011
"นี่เป็นประตูที่รวมทุกอย่างเอาไว้" บีย่าบอกไว้แบบนั้น ซึ่งก็เข้าใจได้
เพราะการยิงแมนฯยู นอกจากจะสวยงามและทำให้ทีมชนะแล้ว มันยังเป็นประตูที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังคมกริบเสมอแม้จะยืนตรงไหนของสนามก็ตาม และเป็นการบอกให้โลกรู้ว่า เขาจะเล่นหน้าเป้า ทำไมจะเล่นไม่ได้ แต่เขายอมถ่างไปเล่นริมเส้นเพื่อให้ทีมแข็งแกร่งขึ้นต่างหาก
สำหรับ ดาบิด บีย่า นี่เป็นนักเตะที่ไม่มีคนเกลียด เขาทำให้คนเห็นถึงความมุ่งมั่นมาตลอดตั้งแต่เริ่มค้าแข้ง จากลูกชายคนงานเหมือง ก้าวมาติดทีมเยาวชนของสปอร์ติ้ง กิฆอน และไต่เต้ามาเรื่อยๆ จนไปถึงจุดสูงสุด ทั้งระดับทีมชาติ และระดับสโมสร
บีย่า ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในฟุตบอลโลกนัดชิง และได้อยู่กับบาร์เซโลน่าชุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์
สำหรับนักฟุตบอลคนหนึ่ง คงไม่ขออะไรมากไปกว่านี้แล้ว
#DavidVILLA
โฆษณา