18 พ.ย. 2019 เวลา 05:06 • ธุรกิจ
Audience(ผู้ชม) คือ ทรัพย์สิน
มีคำกล่าวที่ว่า “เจ้ามือที่แท้จริงในตลาดหุ้น ก็คือ กำไร”
เราลองมาวิเคราะห์ดู ว่ามันจะเป็นไปตามนั้น หรือเปล่า
ลองคิดว่า อะไรถึงทำให้ราคาหุ้น ขึ้นไปได้
การที่ราคาจะขึ้นก็เพราะมีคนรุมซื้อ แล้วที่คนรุมซื้อเพราะว่าอะไรหล่ะ
การที่คนรุมซื้อก็เพราะมีเชื่อว่า ของสิ่งนั้นมีคุณค่าและราคา
ที่เขาเชื่อว่ามันจะไม่ต่ำกว่าที่เขายอมจ่ายไป
สังเกตว่า Keyword คือ "ความเชื่อ"
ผม สมมุติว่า มีร้านหมูปิ้ง ร้านหนึ่ง ซึ่งหมูปิ้งนี้ เป็นสิ่งที่ยังไม่มีอยู่ในโลก และไม่เคยมีใคร สามารถทำได้มาก่อน
จนมีคนมารุมซื้อหมูปิ้ง จนแม่ค้าปิ้งแทบไม่ทัน
 
การที่คนยอมต่อคิวซื้อ ก็อาจเป็นเพราะเชื่อว่า จะมีความสุข
ที่จะได้กินของอร่อย คนขายจะใส่ใจในคุณภาพ อร่อย
และมีคุณค่าทางโภชนาการ ปิ้งหมูไม่ ไหม้เกรียม จนเกินไป
ทำจากหมูสด ทุกวัน และที่สำคัญราคาไม่แพงมากนัก
จนเป็นเหตุให้เกิดคนหัวใสขึ้น เสียสละไม่ยอมไม่กินหมูปิ้ง
ยอมลงทุนต่อแถว ซื้อไม้ละ 3 บาทเป็นวันๆ เพื่อเอาไปขายต่อไม้ละ 5 บาท และคนที่ซื้อไป 5 บาทก็อาจเอาไปขายต่อ 7,8,9 บาท เป็นต้น
อันนี้จึงทำให้ราคาของหมูปิ้งขึ้นไป เกือบ3เท่า จาก 3 บาทเป็น 9 บาท
สิ่งนี้เรียกว่า “การเก็งกำไร”
ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับ การขายหมูปิ้งเลย ถ้าวันนี้ไม่มีร้านหมูปิ้ง
มันก็อาจเป็นสินค้าอื่น เช่น ลูกชิ้น ปลาทับทิมทอด ส้มตำ ก็ได้
ขอแค่มีคนเชื่อเหมือนๆกัน ว่าราคา มันจะขึ้น ทุกคนที่อยู่ในวงจรนี้
ก็พร้อมที่จะให้ราคา โดยไม่ได้สนใจ ว่ามันจะเป็นสินค้าอะไร
มีคุณภาพที่ควรจะเป็น หรือไม่
ดังนั้น ราคาหุ้นที่แท้จริง มันควรจะต้องมีพื้นฐานรองรับ
นั่นคือ การที่บริษัท ดำเนินกิจการ มีกำไร ไม่ขาดทุน เอากำไร ส่วนหนึ่ง
มาแบ่งให้ผู้ร่วมถือหุ้น และส่วนหนึ่งเอาไปลงทุนในกิจการต่อ หมุนวนไปเรื่อยๆ
แบบนี้จึงเรียกว่า “พื้นฐาน”
การคงอยู่ของร้านหมูปิ้ง ก็ยังคงอยู่ต่อไป ยังขายหมูปิ้งเหมือนเดิม
ราคาหมูปิ้งก็ อาจขยับขึ้นเป็น 3.5 บาท ,4 บาท ตามภาวเงินเฟ้อ
แต่ถ้าตราบใด ที่ยังคงมีลูกค้า อยากกินหมูปิ้งอยู่ ธุรกิจ นี้ก็ยังดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะมีผลกระทบอะไร อย่างข่าวร้าย เช่น หมูเป็นโรค
ก็อาจมี ผลกระทบ ให้คน ไม่กินหมู ในช่วงนั้น ส่งผลให้
ร้านอาจต้องลดราคาลงมา ถูกกว่าความเป็นจริงหน่อยแต่ก็เป็นเพียงระยะ สั้นๆ พอเวลาผ่านไป คนก็กิน หมูปิ้งเหมือนเดิม และราคา ที่แท้จริง
ที่ควรจะเป็นก็จะกลับมาเหมือนเดิม
จากเหตุผลที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ จึงจะสนับสนุนคำกล่าวที่ว่า
“เจ้ามือที่แท้จริงในตลาดหุ้น ก็คือ กำไร” ได้
เพราะ “กำไร” จะเป็นตัวที่ทำให้ราคา ขึ้นไปในระยะยาว แบบมั่นคง
เอาละ ที่เล่ามาทั้งหมด ก็เพื่อจะโยงถึงหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งเคยรุ่งโรจน์ มากๆ
แทบจะเรียกได้ว่า เป็น SUPER STOCK ของกลุ่มสื่อ ก็ว่าได้
การออกอากาศ โฆษณา ทีหนึ่ง คิดกันเป็นนาที ละเป็นแสน
ซึ่งก็มีคนยอมจ่าย เพื่อจะให้ลูกค้าของเขา ได้เห็นสินค้า และเผื่อจะซื้อสินค้าของเขาบ้าง
มีดาราดังๆ เกิด ขึ้นกับช่องนี้ อย่างมาย ทำรายได้อย่างมหาศาล
จำได้ว่าสมัยเป็นเด็ก เคยไปดูทีวี บ้านญาติ ดูที เป็น 10 คน
เพราะแถวบ้าน ไม่มีใครมี ทีวี เลย และก็ต้องดูตามเจ้าของบ้าน
เขาดูอันใหนก็ต้องดูอันนั้น
แต่ปัจจุบัน หาได้เป็นอย่างนั้นไม่
เรามาลองวิเคราหะกันดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับ หุ้นตัวนี้
ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ ผมจะขอเรียกกลุ่มเหล่านี้ว่า “สื่อ” เพื่อความง่าย
การที่ “สื่อ” จะมีเงินเข้ามาได้ ก็มาจากการโฆษณา โดยเจ้าของผลิตภันท์ เป็นคนจ้าง และใครสามารถเป็นเบอร์หนึ่งของสื่อได้ ก็จะได้ส่วนแบ่งค่าโฆษณานี้ไป มากกว่าเพื่อน
กล่าวคือ ใครมีฐานคนดู คนฟังมากกว่ากันคนนั้นชนะ และเขาวัดกัน ตัวที่ เรียกว่า “เรทติ้ง” ซึ่งเป็นตัววัดที่ยังคลุมเครืออยู่
แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ ใช้วัด ดีที่สุด ในขณะนั้น
เราทั้งหลายคงเห็นแน้วโน้ม ช่วง 5-10 ปี มานี้ ว่า
เราดูทีวี น้อยลงไปหรือไม่ เราอ่านหนังสือ หรือหนังสือพิมพ์ น้อยลง
จากเมื่อก่อนเราต้องอ่านข่าวกันทุกเช้า และดูละครหลังข่าว 2 ทุ่ม ทุกวัน
เราเริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่อยุ่กับสื่อ Social media มากกว่า สื่อยุคเก่า กันแล้ว เนื่องจากรวดเร็วกว่า และสามารถโต้ตอบ กันได้อย่างทันท่วงที ที่สำคัญคือฟรี
คนธรรมดา ก็สามารถ ดังได้ โดยต้นทุนที่ต่ำมาก เช่น แค่อัดคลิป ลง ยูทูป ถ้ามีกระแสมากๆ อาจดังได้เลย บางทีแค่คลิปง่ายๆ อย่าง “หญิงลี” หรือ “ก้อง ห้วยไร่” เป็นตัวอย่าง ทั้งหมดนี้ ใช้ต้นทุนต่ำมาก และไม่ต้องมีสังกัด ไม่ต้องมีค่าย
ต่างจากอุตสาหกรรม สื่อในยุคก่อน(5-10) ปีก่อน ซึ่งการจะออกอากาศสด ครั้งหนึ่งต้องใช้รถ Mobile คันละหลายล้าน และทีมงานอีกโข
ตั้งแต่ช่างแต่งหน้า ช่างไฟ คนคุมอุปกรณ์
แต่เดี๋ยวนี้ ใช้มือถือเครื่องเดียว ราคา 3-4 พัน ถ่าย และไลฟ์สด ได้เลย ซึ่งตรงนี้ทำให้ต้นทุน ในการผลิตงาน ต่างกันมาก
อีกข้อเสียเปรียบหนึ่งของกลุ่มสื่อ ก็คือ Social media ไม่ต้องมีเวลาเป็นตัวกำหนด เช่นช่วงไพร์มไทม์ เมื่อก่อนจะแพงมาก
หรือแม้แต่การโฆษณา หน้าหนังสือพิมพ์ หนึ่งหน้า ต่องเสียเงินเป็นแสนบาท และไม่รุ้ว่า คนจะสนใจหรือไม่
แต่เดียวนี้แค่จ่ายหลักพันหลักหมื่น คนจำนวนเป็นแสน เป็นล้าน ก็สามารถเห็น โพส สินค้าและบริการ ของเราได้ และตรงกับกลุ่มเป้าหมายโดยตรงด้วย มิใช่เป็นการเหวี่ยงแห
และเมื่อเป็นอย่างนี้ จำนวน คนดู ซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สิน ของกลุ่มสื่อ
จึงลดลงเรื่อยๆ ไปอยุ่ใน social media แทน
สมัยก่อนคนจะซื้ออะไร ถ้าดารา สวยๆ หล่อๆ มาโฆษณาก็จะขายได้ แต่เดียวนี้ คนจะซื้ออะไรสักอย่าง เขาจะดูที่ รีวิว เป็นหลัก และ รีวิว ก็อาจมาจาก คนธรรมดาแบบเรา นี่แหละ
หรืออาจเป็น influencer ที่ดังๆ จากยูทูป เฟสบุค
ดังนั้น ค่าโฆษณา จึงตกไปอยู่ในกลุ่มเหล่านี้แทน หาใช่ อุตสาหกรรมสื่อแบบ ทีวี แบบเมื่อก่อนไม่
ความซวยจึงมา ตกถึง เบอร์หนึ่งของกลุ่ม ทีวี ยักษ์ใหญ่อย่าง เลี่ยงไม่ได้
เพราะรายได้ หดหาย และเมื่อ พลิกไปดู งบการเงินของ หุ้นตัวนี้ ในช่วง 5ปี มานี้ (58-62) พบว่า
1.รายได้ลดลง จาก 1.6 หมื่นล้าน เหลือ 1.1หมื่นล้าน
2.กำไร ลด อย่างน่าใจหาย จาก4พันล้าน เหลือ 61ล้าน และขาดทุน 300 กว่าล้าน ในปี 61
3.เงินทุน บริษัท ลดลงจาก 8พันกว่าล้าน เหลือ 4พันกว่าล้าน(หายไปครึ่งหนึ่ง)
4.กำไรสุทธิ ลดลง จาก 27% เหลือ ติดลบ -3.0%
5.มูลค่าของบริษัท ที่นักลงทุนเคยให้ถึง 1แสนล้าน(คนรุมแย่งกันซื้อ) แต่ตอนนี้ ลดลงเหลือ 9.1 พันล้าน (หายไป เกือบ 11 เท่า)
6.ราคาหุ้น จาก 51 บาท ลดลงเหลือ 6 บาท
7.เงินปันผล ไม่ต้องพูดถึง ไหลลดลงมาเรื่อยๆ จาก 6-7% ตอนนี้ ไม่มีปันผล เรียกว่าถือรอ ไปก่อน
(ก็นะ กำไรไม่มี จะเอาที่ใหนไปปันผล นอกจากกู้มาปันผล)
ช่วงที่มีละครย้อนยุคดังๆ ฉายอยู่ ราคาหุ้นตัวนี้ ก็วิ่งขึ้นมา เกือบ 10% ภายใน 1-2 เดือน
(ให้นึกถึงร้านหมูปิ้งข้างต้น) แต่พอละครจบ ราคาก็ไหลลงมา ต่อเนื่อง
ดูแล้วก็น่าใจหาย ซึ่งบริษัทสื่อ ยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ กำลังจะตาย
เพราะ เทคโนโลยี ที่มา disrupt เหมือนช้างที่จะตายเพราะ เท้าโดน เสี้ยนตำ
และมันกำลังจะเกิดขึ้นในหลายๆ sector ไม่เว้นแม้กระทั่ง ธนาคาร ที่ถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศนี้
ทั้งหมดนี้ จะเห็นว่าพื้นฐานของอุตสาหกรรมสื่อ ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว และด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมาทั้งหมด
อุตสาหกรรมนี้ อาจจะไม่กลับมาอีกเลย รวมถึงทีวี ดิจิตอล ที่ประมูลกันแพงๆ เมื่อก่อนด้วย และไม่รู้ว่าจะกลับมาได้หรือไม่
แต่ก็อาใจช่วย ในฐานะแฟน ทีวี คนหนึ่ง
ดังนั้น ร้านหมูปิ้งควรจะระวังให้มากก็คือ พฤติกรรม ของลูกค้า ได้เปลี่ยนไปหรือไม่ มีร้านพิซซ่า มาขายในเมือง หรือเปล่า และปัจจุบัน
ต่อไปในอนาคต คนยังจะกินหมูปิ้งอยู่ หรือไม่ อันนี้เป็นสิ่งที่จะกระทบต่อ ยอดขายและรายได้แบบถาวร และเป็นของจริง ที่จะต้องเผชิญ
เพราะคนที่เป็นฐานคนดูละคร ทีปัจจุบัน อายุ 50-60 ปี
ก็หนีไปอยู่ใน เฟสบุ๊ค แล้ว ไม่ต้องพูดถึงคน GEN X/GEN Y/GEN Z
ที่เขาหนีจาก facebook ไปอยู่ใน IG และ Tiktok เพราะหนีพ่อแม่ที่
ตามมาเล่น Facebook และเด็กว่านั้น 5-12 ปี(ลูกของ Gen Y) ก็หนีมาอยู่ใน Youtube
ถ้าหากผมจะกล่าวว่า “Audience(ผู้ชม) คือ ทรัพย์สิน” คงจะเป็นคำกล่าวที่ ไม่เกินจากความจริงนัก
ขอบคุณ ภาพสวยๆจาก pixabay
แมวโพงอยากลงทุน
18/11/62
โฆษณา