18 พ.ย. 2019 เวลา 10:00 • ประวัติศาสตร์
อภินิหารมงกุฎหนามศักดิ์สิทธ์
สืบเนื่องจากเหตุการณ์ไฟไหม้มหาวิหารในฝรั่งเศส วันนี้ผมเลยมีเกร็ดประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟังครับ.
เรื่องราวเกี่ยวกับ อภินิหารมงกุฎหนามศักดิ์สิทธิ์! (The Holy Crown of Thorns)
คืนก่อนจู่ๆผมก็เปิดไปเจอข่าวไฟไหม้มหาวิหาร Notre-dame de Paris เมื่อเดือนเมษายน 2019 ท่านผู้อ่านคงพอจำกันได้
ตัวผมเองยังไม่เคยไปที่นี่ แต่ก็พอจะทราบว่าวิหาร Notre-Dame นี้เป็นสถานที่เก็บวัตถุศักดิ์สิทธิ์ (Relics) ของศาสนาคริสต์ที่สำคัญอยู่ 2-3 ชิ้น คือ 1. มงกุฎหนาม 2. เศษเสี้ยวของไม้กางเขนองค์จริง (True Cross) และ 3. ตะปูศักดิ์สิทธิ์
วัตถุทั้งสามชิ้นนี้จัดอยู่ในหมวด Super rare items ที่เรียกว่า First class relics เพราะมันคือวัตถุที่สัมผัสโดนตัวพระเยซู "โดยตรง" อายุก็ประมาณ 2,000 ปีเท่านั้นเอง!
นั่งดูไปใจก็อดห่วงไม่ได้ แต่ทางการฝรั่งเศสก็ออกมาประกาศแล้วว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามปลอดภัย
เอาละ วันนี้ผมเลยเอาเรื่องราวประวัติของมงกุฎหนามมาแชร์กันครับ รับรองว่ายาวแน่นอน เพราะมันระเหเร่ร่อนเหลือเกิน
ย้อนกลับไปในตอนที่พระเยซูถูกกุมตัวโดยพวกโรมัน และถูกทรมานทรกรรมต่างๆนาๆ เจ้ามงกุฎหนามอันนี้แหละเป็นหนึ่งในสามสิ่งที่ทหารโรมันบังคับให้สวมใส่
สวมมงกุฎหนาม สวมผ้าคลุมสีแดงสด และบังคับให้ถือไม้คฑาอันหนึ่ง พร้อมกับล้อเลียนท่านว่า "ดูสิ นี่มันราชาของพวกยิว ทรงพระเจริญ!"
คือล้อก็ไม่ล้อเปล่า พวกคว้าไม้คฑาในมือของพระเยซูมา แล้วฟาดลงไปที่ศีรษะของท่านด้วย ยังความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเรื่องราวก็เป็นไปตามที่เราทราบ ท่านสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
ในช่วงแรกหลังจากสิ้นพระชนม์ มงกุฎหนามยังคงวนเวียนอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม (ประเทศอิสราเอล) และได้เปลี่ยนมือผู้เก็บรักษาไปหลายเจ้า จากหลักฐานที่แน่ชัดปรากฎว่าตัวมงกุฎถูกอารักขาไว้ที่ภูเขาไซออน จนกระทั่งปี คศ 870
แต่เอาจริงๆตัวมงกุฎก็ไม่ได้อยู่เป็นสุขเท่าไรหรอกที่เยรูซาเล็ม เพราะมีเรื่องเล่าว่าหนามของมงกุฎหลายชิ้นถูกหักออกจากมง และส่งไปเป็นของกำนัลแก่กษัตริย์รักรบชื่อดังในสมัยนั้นหลายต่อหลายคน
ทั้ง Charles The Bald, Duke of Frank, กษัตริย์ของพวก แองโกล-แซกซอนชื่อ Athelstan แต่ที่โด่งดังที่สุดคือ พระเจ้าชาเลอมาญมหาราช (Chalemagne the Great) โคตรคิงสายบวกแหลกของฝรั่งเศส
ว่ากันว่าหนามจากมงกุฎนี้มีอิทธิฤทธิ์ช่วยคุ้มภัยอันตราย ไม่ให้เสียเลือดได้ในยามออกศึก พวกเลยหากันใหญ่เลยทีนี้ แม้แต่หนึ่งพันปีต่อมา จักรพรรดินโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ยังต้องหามาบูชา
นั่นแหละครับ เมื่อชื่อเสียงขจรขจายไปไกล ภัยย่อมมาถึงตัวเข้าสักวัน เกิดสงครามครูเสดขึ้น และน่าเชื่อว่าตัวมงกุฎถูกชิงไปจากเยรูซาเล็ม เปลี่ยนไปอยู่ในการถือครองของอาณาจักร Byzantine ในปี 1063 (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน)
มงกุฎหนามได้พำนักอยู่ที่นี่อย่างสงบเป็นเวลา 175 ปี จนมาถึงรัชสมัยของพระเจ้า Baldwin ที่ 2 Byzantine ตอนนั้นประสบปัญหาเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เรียกว่าอยู่ได้ด้วยการกู้เงินจากสหภาพยุโรปที่สมัยนั้นเรียกว่า European Courts เป็นหลัก
เมื่อสถานการณ์บีบคั้นมากเข้า Young Baldwin จึงตัดสินใจ เอาสมบัติรักของบรรพบุรุษออกมาปล่อย และเอาไปเข้าจำนำกับพวก Venetian (นครเวนิซในปัจจุบัน) เป็นทองคำจำนวน 13,134 Hyperpyron ถือว่าเยอะมากๆเลยแหละ
พวก Venetian ทำกำไรได้อย่างงามจากดีลนี้ เพราะแน่นอนพระเจ้า Baldwin II ไม่มีปัญญาไปไถ่มงกุฎคืนมาหรอก ข่าวนี้รู้ไปถึงหูของพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส ที่เข้ามาไถ่เธอคืนมาเป็นทองคำจำนวนมหาศาลและนำมงกุฎสู่ดินแดนฝรั่งเศส
ท่านสั่งให้ช่างสร้างมหาวิหารชื่อแซงต์ แชแปล (Sainte-Chapelle) แล้วเสร็จในปี 1248 เพื่อใช้เก็บมงกุฎหนาม และของศักดิ์สิทธิ์ชนิดอื่นในอนาคต เรียกได้ว่าท่าน หลุยส์ที่ 9 นี่เป็นนักสะสมเครื่องรางของขลังตัวยงเลยล่ะ!
เมื่อตอนที่มงกุฎหนามมาถึงมือของพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 นั้น สิ่งแรกที่ท่านทำก็คือหักหนามส่วนใหญ่ออกจากมงกุฎทั้งหมด เอ้าา!? แล้วก็เอาตัวมงกุฎที่มีหนามติดอยู่เล็กน้อย ไปใส่ในวัตถุทรงกลมแปรสภาพจากมงมุฎ กลายเป็นรัดเกล้า (Circlet) ดังภาพ
ตัวหนามที่ถูกหักออกมาได้ถูกแจกจ่ายไปเป็นของกำนัลแด่ประเทศพันธมิตรต่างๆ รวมถึงคนในราชวงศ์หลุยส์ด้วย โดยแต่ละท่านที่ได้รับไป ก็จัดการสร้างเครื่องบรรจุอย่างสวยงามไว้
เวลาผ่านไป 553 ปี กระทั่งปี 1801 ฝรั่งเศสเกิดการปฎิวัติรัฐประหารขึ้น สมบัติที่เคยเป็นของราชวงศ์ก็ถูกรื้อค้นปล้นสะดมภ์กันเป็นการใหญ่ ในที่สุดก็ถึงคิวของมงกุฎหนาม
หลังจากถกเถียงกันเป็นเวลานานในที่สุดก็ตกลงกันว่า จะนำมงกุฎหนามนี้ไปเก็บไว้ ณ มหาวิหาร Notre-Dame ที่ไฟไหม้ไปเมื่อกลางปี
ก็น่าคิดนะครับ ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของเจ้ามงกุฎนี้หรือเปล่าที่ปัดเป่าภยันตรายให้กับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่นๆ แต่อย่างไรก็ต้องยกความดีความชอบให้กับทางการฝรั่งเศสด้วยในการเก็บรักษาเป็นอย่างดี
นี่ก็เสียใจเหมือนกัน เพราะก่อนที่ไฟจะไหม้ ทางการฝรั่งเศสก็ไม่ค่อยยกออกมาโชว์อยู่แล้ว ยิ่งเกิดเหตุแบบนี้ ไม่รู้จะได้ดูรัดเกล้าองค์จริงอีกเมื่อไหร่ ฮือออ แต่ปลอดภัยก็โอเคแล้วล่ะ
เพราะมันคือสัญลักษณ์ แห่งความเจ็บปวด ความอดทน และการให้อภัย ซึ่งเป็นสามสิ่ง ที่หาได้ยากเหลือเกิน ในโลกยุคปัจจุบัน.
-
-
เกร็ดเล็ก: มีเรื่องเล่าว่า ตัวหนามที่เคยทิ่มแทงศีรษะของพระเยซูนั้น ยังคงมีสีเขียวสด ราวกับว่ามันรักษาตัวเองให้ใหม่ขึ้นได้ทุกวัน
เกร็ดน้อย: หนามอันหนึ่งถูกส่งไปที่เกาะอังกฤษโดยที่ไม่มีใครรู้ และถูกเก็บรักษาไว้ในโรงเรียนแห่งหนึ่งเป็นเวลาหลายร้อยปี กระทั่งถูกค้นพบมาเมื่อไม่นานนี้เอง!
-Xyclopz
โฆษณา