21 พ.ย. 2019 เวลา 06:40 • ธุรกิจ
คุณค่าที่คู่ควร
วันก่อน ผมได้มีโอกาสฟังการสัมภาษณ์ Rock Star ทีดังที่สุดในปี 2541
อย่างคุณ โต Silly fools โดยคุณยุทธนา บุณอ้อม หรือ ป๋าเต็ด
ในช่อง YOUTUBE ชื่อ "ป๋าเต็ดTalk"
เห็นว่ามีประโยชน์ เลยจะขอเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกัน
คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า วงดนตรีที่ชื่อ Silly Fools ในยุค 2000 นั้น
เป็นวงร๊อคที่ โด่งดังสุดๆ ซึ่งคนที่ปัจจุบันอายุ 45-35 ปีลงมายังจำได้ดี
ไม่มีใครไม่รู้จักวงนี้ ใน เธค ผับ หรืองานต่างๆ วงดนตรี ต่างก็เอาเพลงของพวกเขาใว้เล่นกัน ทุกวง มีเพลงดังๆ มากมายอย่าง คิดถึง วัดใจ น้ำลาย
 
และเพลงเขา วัยรุ่น(ขณะนั้น) ทุกคน สามารถร้องตามได้
แม้ ในปัจจุบัน ก็ยังมีคนฟังเพลงของเขาอยู่
หนึ่งในนันก็คือผมคนหนึ่ง ที่เป็นแฟนเพลงของเขา
Silly fools อยู่ในจุดสูงสุด ราวๆปี 2549 มีอัลบั้ม ชื่อ King Size เป็นอัลบั้มสุดท้าย
สมาชิกวง Silly Fools
นักร้องนำที่ชื่อ โต Silly Fools ก็ประกาศยุติ และแยกวง
โดยเหตุผลที่เขา ให้คือ ขัดกับหลักศาสนา
ในเรื่องการที่วงต้องรับงานที่เล่น ในบาร์ในผับ หรือสถานที่ ที่มีเหล้า
โดยชี้แจง ว่า ไม่มีการทะเลาะกับคนในวงแต่อย่างใด
หลายคนอาจ คิดว่า ในเมื่อ เป็นถึง Rock Star แล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จมากมาย ทั้งชื่อเสียงและเงินทอง หลั่งไหลเข้ามา ไม่ขาดสาย มีทุกอย่าง ในสิ่งที่คนหลายคนไม่มี
แล้วทำไมถึงเขาถึง หันหลังให้กับความสำเร็จที่ตัวเองได้รับ
พี่โต ให้เหตุผล ในการหันหลัง ให้กับความสำเร็จเหล่านี้
พี่โต บอกว่า ตอนแรกที่แกทำเพลง ก็เพราะว่า แกต้องการที่จะส่ง ข้อความบางอย่าง และต้องการสื่อให้คนส่วนใหญ่ เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการบอก
คือ แกอยากให้คนไม่หลอกลวงกัน ทำดีต่อกัน และมีความสุข
สังเกตุดีๆ เพลงแกมักจะมีแต่เนื้อหา ประเภท คนหลอกๆ ลวงๆ แต่ต้องมี ฉัน-เธอ เพื่อให้ มันสามารถ เข้าถึงวัยรุ่นได้
เขาคิดว่า การทำเพลง อาจจะทำให้คนเข้าถึงได้ง่ายกว่า ถ้าเขา ใช้บทเพลง แต่แล้ว สิ่งทีแกคิด มันก็ไม่ได้เป็นไปตามนั้น
คอนเสริต ทุกที่ ที่เขาไปเล่น ก็มีแต่ คนเมา คนตีกัน มั่วยา บางคนเจ็บ
บางคนตายต่อหน้าต่อตา ก็ทำให้เขา รู้สึกแย่ และ มันสวนทางกับสิ่งที่เขา อยากจะสื่อและส่งข้อความไป แต่แรก
ไม่มีใครฟังในสิ่งที่แก ต้องการ จะสื่อ
คนเมาเหล้า เมายา ไม่มีทางเข้าใจ ในเพลงที่แกร้องและสื่อ ออกไป
แต่เป็นเสียงเพลง ต่างหาก ที่ทำให้เกิดอารมณ์ เหล่านี้
เขาคิดว่า ถ้าเขาไม่ไป ร้องเพลงตรงนั้น ไม่เร้าความรู้สึก อารมณ์ร่วมของคน ก็อาจจะไม่มีใครตาย ก็ได้
เมื่อเห็นแบบนี้เขาก็เลยรู้สึกว่าการที่เขาทำเพลงขึ้นมานั้น
มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการในตอนแรก มันกลับกลายเป็นผลร้าย
มากกว่าผลดี
แกจึงกลับมานั่งคิด เพราะตอนที่ ออกคอนเสริต แกบอกแกก็จะว่าง และอยู่แต่ในห้อง จึงมีเวลาว่าง ให้คิด มากมาย และเวลาว่างนั้น ก็ทำให้แก ได้คิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ
ขณะนั้น พี่โต ไม่คิดว่า สิ่งที่เขาประสบความสำเร็จ ในทุกวันนี้
คือจุดที่สูงสุดของเขา
ทั้งที่ในสายตาของคนอื่น คิดว่าเขาประสบความสำเร็จอย่างสูง
เวลาทำเพลง แกจะต้องเครียดตลอดเวลา บางที 4-5 เดือน
เขียนเพลง ไม่ได้ซักเพลง ก็มี
ทั้งๆที่ เวลา ทำเพลง หัวมันจะคิดตลอดเวลา
บางทีเอาไป ฝัน และตื่นมาก็ยังคิด ถึงเพลงตลอดเวลา
ทำให้แก ไม่มีความสุข และคิดว่า มันมี ความสุข ในแบบอื่น หรือเปล่า
ที่ แกยังไม่รู้จัก และไม่เคยได้ลองมัน
เขาจึงเลิก ประกาศลาออกจากวง ซึ่งแม้กระทั่งเพื่อนๆในวงก็ต่างช๊อคกันไปตามๆกัน แต่พี่โตบอกว่า เขาเริ่มรู้สึก แบบนี้ตั้งแต่ อัลบั้มJuizy
(ประมาณอัลบั้มที่ 4 ปี 2545)
เขาเริ่มพูดน้อยลงไปเรื่อยๆ คนในวงก็ไม่กล้า จะพูดคุยด้วย เท่าไร
แต่ก็คิดว่า ส่วนใหญ่ พี่โต คงใช้ความคิดในการแต่งเพลง
เขาเริ่ม เจอแนวทาง และเพื่อสนับสนุนแนวคิดของเขาว่า การประสบความสำเร็จในแบบของเขาในแบบอื่นซึ่งไม่ใช่ชื่อเสียง เงินทอง
เขาจึงหันเข้าหาศาสนา ซึ่งคือศาสนาอิสลาม
ป๋า เต็ด ถามว่า "ถ้าพระเจ้าให้พรสวรรค์ ด้านการทำเพลง ให้กับ โต แล้ว การที่หันหลังให้กับ พรสวรรค์ ที่พระเจ้าให้ เท่ากับการ ปฏิเสธ พระเจ้า หรือเปล่า"
เขาบอกว่า ในการทำเพลงนั้น แกต้องการสื่อสาร ข้อความไป แต่เมื่อมันไม่เป็นผลดี แกก็เลิก
แต่แกก็ยังทำเหมือนเดิม คือการสื่อสาร เพียงแต่เป็นสาร ที่คนอื่น ไม่อยากได้ยิน ก็เท่านั้นเอง
เพียงแต่การสื่อสารแบบหลัง ยั่งยืนและ สามารถช่วยเหลือ คนได้มากกว่า
แนวคิดของพี่โตคือ อยากให้คนดีต่อกัน ไม่หลอกลวงกัน อยากให้ทุกคนมีความสุข
แกบอกว่า คนเรา พอมันเจอสิ่งเร้ามากๆ ก็นึกเอาว่า ถ้าเรามีเงิน
เราก็อาจ มีความสุข
แต่จริงๆ แล้ว ความสุข ก็คือ "การได้รู้สึกดี" แค่นั้นเอง
คนเราสามารถมีความสุขได้ตลอดเวลา อย่าไปยึดติดว่าต้องมีเงิน
มีทอง มีชื่อเสียง แล้วถึงจะมีความสุข
ลูกน้องพี่โต เคยมาถามแกว่า เพื่อนผม ด่าผม ตลอดเวลา
ว่าตอนนี้ผม หันมาใช้เวลาอยู่กับแฟน เลยไม่ค่อยมีเวลาให้กับเพื่อน
ผมจะทำอย่างไรดีครับ
พี่โต "ก็ช่างเพื่อนมึงสิ" แล้วตอนนี้มึงแต่งงานรึยัง
ลูกน้อง "ยังคับพี่"
พี่โต "โอเค เดียวกู แต่งงานให้"
ลูกน้อง "เอาเลยเหรอพี่"
พี่โต "เอาเลยสิ"
ลูกน้อง "แต่ผมยังไม่มีเงินเลย นะครับ"
พี่โต "เอาเงินกูไป"
ว่าแล้วแกก็ นัดเวลา โทร ติดต่อพ่อ-แม่ ฝ่ายหญิง
แล้ว ไปขอผู้หญิง ให้เลย
ในความ งง นั้น แกก็บอกว่า มึงจะคิด นู่ นี่ นั่น ทำไม
ทำไมจะต้อง คิดว่าคนอื่น จะคิดยังไงกับ เรา
คนที่มึง ควรแคร์ ก็คือ เมีย ของมึง
เพราะเมีย คือเพื่อนแท้ ของมึง
จะอยู่ไปโดยไม่แต่งงาน จะเอาเปรียบกันไปถึงเมื่อไหร่
เมื่อไหร่ถึงจะใว้ใจใครได้สักคน
หลังจากแต่งงาน ลูกที่จะเกิดขึ้นมา ก็จะเป็นความรับผิดชอบของมึง
แล้วมึงก็จะรู้ว่า มึงเกิดมาเพื่ออะไร
แล้วหลังจากนั้น มึงก็จะไม่สนใจ อะไรอีกเลย
ไม่ว่าใครจะด่าว่ามึงยังไง เพราะมึงมีหน้าที
ส่วนเพื่อนนั้นก็แค่ ช่วยเหลือกัน แต่พอถึงเวลาแล้ว
ทุกคนก็ต้อง ต่างคน ต่างไป ไม่จำเป็นต้องมา
คบกันตลอดเวลาหรอก
ตลอดการสนทนา ผมสามารถรับรู้ถึง ความต้องการ และความชัดเจนของ
พี่โต ที่ต้องการ สื่อสาร ให้คน หันมาทำความดี ต่อกัน ให้มากขึ้น
และมีความสุข ที่แท้จริง
แกไม่เคยเปลี่ยนจากแนวทางนี้เลย แกยังคงยืนหยัด ทำมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นนักร้อง หรือ ผู้สอนศาสนา แกก็ยังเป็นคนที่มั่นคงในแนวทางนี้ไม่เคยเปลี่ยน(ผมกลับไปดู วีดีโอเก่าๆ ในยูทูป) แกก็พูดเหมือนเดิมตลอด
มั่นคงในแนวทางนี้ไม่เคยเปลี่ยน
อาจจะจริงของแกว่า เราเสพย์เพลงของเแก แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ
ในความเป็นตัวตน จริงๆของแก ที่ต้องการสื่อออกมา
จากเรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าเปรียบเหมือนการลงทุน
พี่โตช่วง ที่เป็นนักร้อง คือช่วงที่ หุ้นร้อนแรง ราคาขึ้นไปสูง คนรุมแย่งกันซื้อ ทุกราคา เท่าไรไม่เกี่ยง
แฟนเพลงธรรมดา ไม่มีวันจะเดินเข้าไป พูดคุย จับมือ ขอถ่ายรูปได้
แต่พอวันที่แก ประกาศยุติ
ทุกอย่าง ก็กลับเข้ามาสู่พื้นฐาน คนที่ลงทุนไปตอนที่ราคาสูง ก็อาจขาดทุนได้ เช่น เสียใจ เศร้า ผิดหวัง ไปตามๆกัน เจ้าของค่าย ก็อาจจะเซ็ง
ส่วนตอนนี้ ถ้าคุณ อยากจับมือ พี่โต ขอถ่ายรูป หรือให้เซนต์ CD เพลงให้
ก็ไม่ใช้เรื่องยากเลย เพราะแก เป็นหุ้นที่ มีพื้นฐาน และราคาไม่แพง เวอร์เหมือนตอนเป็นนักร้องแล้ว แกยินดีพูดคุยด้วยเสมอ
สิ่งที่แกทำอยู่ทุกวันนี้ คือเป็นคนสอนศาสนา
เป็นเจ้าของบริษัทขายเนื้อ ที่ชื่อ Company B
(ผมเคยซื้อมาใส่ก๋วยเตี๋ยว อร่อยมากๆ)
แกบอกว่า มันอาจไม่ได้กำไร แต่สิ่งที่แกได้มันมีคุณค่า และมีความสุข
ยิ่งกว่าตอนที มีชื่อเสียงเงินทอง
เพราะคนที่รอบล้อมแก มีแต่คนที่จริงใจ ไม่เสแสร้ง และสะอาด
พี่โต ในตอนนี้ ถ้าจะเปรียบก็คือ หุ้นที่มีมูลค่าพื้นฐาน คนทีเชื่อในตัวแก ก็จะยังคงยอมรับแก ในแบบ ทีแกเป็น ไม่ว่า พี่โต จะตัดสินใจอย่างไร
ยังคอยติดตาม ผลงาน แนวคิด และข้อความ ที่แกอยากจะส่งให้ ต่อไป
ไม่ว่าแกจะอยู่ตรงใหน
พี่โต ก็จะยัง"สร้างคุณค่าได้เสมอ"
หนึ่งในนั้นก็คือผม หนึ่งคน
ขอบคุณที่อ่าน มาจนถึงบรรทัดนี้ครับผม
ขอขอบคุณ รูปภาพจาก
แมวโพง อยากลงทุน
21/11/62
โฆษณา