19 พ.ย. 2019 เวลา 05:03 • ประวัติศาสตร์
บันทึกว่าด้วยความโหดร้ายของ "พระเจ้าเสือ"
“พระเจ้าเสือ” เป็นพระนามกษัตริย์สมัยอยุทธยา
เหตุที่กษัตริย์พระองค์นี้ถูกเรียกขานว่า “พระเจ้าเสือ” เพราะทรงมีพระอุปนิสัยโหดร้าย ดังที่พระราชพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ที่ชำระในรัชกาลที่ ๑ วิจารณ์ว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพอพระทัยเสวยน้ำจัณฑ์ แล้วเสพสังวาสด้วยดรุณีอิตถีสตรีเด็กอายุ ๑๑- ๑๒ ปี ถ้าสตรีใดเสือกดิ้นโคลงไป ทรงพระโกรธ ลงพระราชอาชญาถองยอดอกตายกับที่ ถ้าสตรีใดไม่ดิ้นเสือกโคลงนิ่งอยู่ ชอบพระอัชฌาสัย พระราชทานบำเหน็จรางวัล ประการหนึ่งถ้าเสด็จไปประพาสมัจฉาชาติฉนากฉลามในชลมารคทางทะเลเกาะสีชังเขาสามมุข แลประเทศที่ใด ย่อมเสวยน้ำจัณฑ์พลาง ถ้าหมู่พระสนมนิกรนางในแลมหาดเล็กชาวที่ ทำให้เรือพระที่นั่งโคลงไหวไป มิได้มีพระวิจารณะ ปราศจากพระกรุณาญาณ ลุอำนาจแก่พระโทโส ดำรัสสั่งให้เอาผู้นั้นเกี่ยวเบ็ดทิ้งลงไปกลางทะเล ให้ปลาฉนากฉลามกินเป็นอาหาร ประการหนึ่งปราศจากพระเบญจางคิกศีล มักพอพระทัยทำอนาจารเสพสังวาสกับภรรยาขุนนาง แต่นั้นมาพระนามปรากฎเรียกว่า พระเจ้าเสือ”
หลวงสรศักดิ์ จากละครบุพเพสันนิวาส แสดงโดย จิรายุ ตันตระกูล
พระราชพงศาวดารฉบับที่ชำระหลังจากนี้ ยิ่งวิจารณ์พระเจ้าเสืออย่างรุนแรงมากขึ้น เช่นระบุว่าทรงโปรดการเสด็จประพาสทรงเบ็ดคล้องช้างล่าสัตว์ กระทำบาปผิดราชประเพณีหลายประการ
“ครั้งนั้นสมเดจ์พระเจ้าแผ่นดินมิได้เสดจ์อยู่ในพระนครนาน เสดจ์อยู่แต่เดือนหนึ่งบ้าง สิบห้าวันบ้าง แล้วเสดจ์ด้วยเรือพระธินั่งแวดล้อมไปด้วยเรือข้าทูลองงทุลีพระบาททังปวง เที่ยวประพาษไปในท้องแถ้วนัดทัชีตราบเท่าถึงเมืองสมุทรประการ แลทรงเบจ์ตกนานามัจฉาชาติทังปวงต่างๆ ทรงส้างแต่อักศลทุจริตผิดราชประเพณีย์มาแต่ก่อน แลพระองค์ฆ่าเสียซึ่งหมู่มัดฉาชาติทังหลาย ด้วยเบจ์แลข่าย ล้มตายเปนอันมาก บางทีเสดจ์ด้วยช้างพระธินั่งแวดล้อมไปด้วยช้างท้าวพญาข้าราชการเปนอันมาก เที่ยวประพาดไปในอรัญประเทศ แลให้ช้างดั่ง ช้างกัน แลช้างเชือกบาทไล่ล้อมหมู่ช้างเถื่อนในป่า แลซัดเชือกบาทคล้องช้างเถื่อนได้เปนอันมา แลเสดจ์ไปตั้งล้อมช้างเถื่อนในป่าแขวงเมืองถ้าโรงครั้งหนึ่ง นะ ป่าเพชบูรีครั้งหนึ่ง บางทีเสดจ์เที่ยวประพาษไปในท้องทุ่ง ทรงพระแสงปืนนกสับยิงต้องนาๆ สัตวมฤคคะณาทวิชาติทังหลายล้มตายเปนอันมาก”
.
ครั้งหนึ่งเสด็จไปล้อมเถื่อนในป่ายางกองทองในแขวงเมืองนครสวรรค์ โปรดให้ตั้งค่ายล้อมช้างเถื่อนในป่า ครั้งนั้นเป็นฤดูฝน “ฝนตกน้ำนองท่วมไปทังป่า คนทังหลายซึ่งทำค่ายนั้น ลุยน้ำทำการเร่งรัดกันค่ายล้อมทังกลางวันแลกลางคืน จนเท่าเปื่อยทนทุกขลำบากเวทนาป่วยเจ็บทุพลภาพมาก อดอาหารซูบผอมล้มตายก็มาก”
ครั้งนั้นโปรดให้พระโอรสทั้งสองคือกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (พระเจ้าท้ายสระ) และพระบัณฑูรน้อย (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ถมบึงเป็นทางเสด็จให้เสร็จใน ๑ คืน พอวันรุ่งขึ้นเสด็จไปแล้วช้างพระที่นั่งเหยียบจมลงไป ทรงพระพิโรธถึงกับเอาพระแสงของ้าวจะฟันพระเศียรกรมพระราชวังบวรฯ แต่พระบัณฑูรน้อยทรงเอาด้ำพระแสงขอรับไว้ได้แล้วพาพระเชษฐาหนีไป แต่ถูกจับกลับมาได้ทั้งสองพระองค์
“จึ่งมีพระราชตำหรัสสั่งให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยนสมเดจ์พระเจ้าลูกเธอทังสองพระองค์นั้นไว้ยกหนึ่ง ๓๐ ที่แล้วให้พันทนาเข้าไว้ด้วยสังขลิกพันท์ แล้วดำหรัสสั่งว่าให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยนรับเสดจ์เพลาเช้ายกหนึ่งเย็นยกหนึ่ง เปนนิจทุกวันๆ ไปอย่าได้ขาดกว่าจะเสดจ์พระราชดำเนีรกลับลงไปพระนคร”
เนื่องจากกรมพระเทพามาตย์ซึ่งเป็นพระราชมารดาเลี้ยงเสด็จมาทูลขอ จึงโปรดพระราชทานอภัยโทษให้ แต่ก็มีพระราชดำรัสกับกรมพระเทพามาตย์ว่า “เจ้าคุณจงเอามันทั้งสองลงไปเสียด้วยเถิด อย่าให้มันอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่เลย ถ้าแลจะเอามันไว้ที่นี้กับข้าพเจ้าด้วยไซร้ มันก็จะคิดการขบถฆ่าข้าพเจ้าเสียอีกเป็นมั่นคง”
.
อีกตอนหนึ่งได้วิจารณ์เรื่องพฤติกรรมมักมากในกามคุณไว้อย่างรุนแรงว่า โปรดเสพสังวาสกับเด็กผู้หญิงที่ยังไม่มีประจำเดือน ตรงกับพฤติกรรมในภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Pedophelia
“ครั้งนั้นสมเดจ์พระจ้าวแผ่นดิน มีพระราชหฤทัยกักขะละหยาบช้าทารุณร้ายกาจปราศจากกุศลสุจริต ทรงประพฤฒธิ์ผิดพระราชประเพณีย์ มิได้มีหิริโอตัปะ แลพระไทยหนาไปด้วยอกุศลลามก มีวิตกในโทษโมะมูลเจือไปในพระสันดานนิรันตะระมิได้ขาด แลพระองค์ทรงเสวยน้ำจันขาวอยู่เปนนิจ แล้วมักยินดีในการสังวาศด้วยนางกุมารีอันยังหมีได้มีระดู ถ้าแลนางใดอุสาหอดทนได้ ก็พระราชทานรางวัลเงีนทองผ้าแพรพรรณต่างๆ แก่นางนั้นเปนอันมาก ถ้านางใดอดทนหมีได้ไซ้ ก็ทรงพระพิโรธแลทรงประหารลงที่ประฉิมมุราประเทศให้ถึงแก่ความตาย แล้วให้เอาโลงขาวมาใส่ศภนางนั้นออกไปทางประตูพระราชวังข้างท้ายสนมนั้นเนืองๆ แลประตูนั้นก็เรียกว่าประตูผีออก มีมาตราบเท้าทุกวันนี้”
.
หากปรารถนาในหญิงใดแล้ว บางครั้งแม้แต่สมเด็จพระเพทราชาผู้เป็นพระราชบิดาก็ไม่ทรงเกรง ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่าเมื่อพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตถวายพระราชบุตรีมาเป็นบาทบริจาริกาสมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระเพทราชาโปรดให้แต่งเรือไปรับ แต่พระเจ้าเสือซึ่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลกลับมีพระราชบัณฑูรให้ไปรับตัวพระราชบุตรีนั้นมาไว้ที่วังหน้า แล้วเข้าวังหลวงไปกราบทูลขอพระเพทราชาทีหลัง (หลักฐานดัตช์ระบุว่าทั้งสองอภิเษกในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๗๐๒)
พระเจ้าเสือ จากภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง "พันท้ายนรสิงห์" แสดงโดย วันชนะ สวัสดี
แม้น่าเชื่อว่าพระราชพงศาวดารที่ชำระในสมัยรัตนโกสินทร์หลายตอนถูกชำระโดยมีนัยยะทางการเมืองเพื่อวิจารณ์พระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุทธยาตอนปลายว่าเป็นสาเหตุของความเสื่อมทรามทางการปกครองจนนำมาสู่การเสียกรุง แต่เรื่องพระอุปนิสัยด้านลบของ “พระเจ้าเสือ” นี้ยังปรากฏในหลักฐานร่วมสมัยของต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งให้ข้อมูลสอดคล้องกับพระราชพงศาวดาร
โคล้ด เดอ แบซ (Claude de Bèze) บาทหลวงคณะเยซูอิตชาวฝรั่งเศส ที่อาศัยอยู่ในสยามช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ถึงช่วงการ “ปฏิวัติ” ยึดอำนาจของออกพระเพทราชา บันทึกว่าเมื่อพระเจ้าเสือยังทรงเป็นออกหลวงสุรศักดิ์ (หรือสรศักดิ์) หลังจากจับออกญาวิไชยเยนทร์ (คอนสตันซ์ ฟอลคอน) เสนาบดีชาวกรีกไปประหารแล้ว มีความประสงค์จะได้ครอบครองนางมารี กีมาร์ (Marie Guimar) หรือมาดามคอนสตันซ์ ภรรยาม่ายของฟอลคอน ด้วยการใช้กำลังระรานอย่างรุนแรง
“เรารู้ว่าเธอต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างเหี้ยมโหดของออกหลวงสรศักดิ์บุตรชายของเพทราชานั้นหนักหนาเพียงใด บุคคลผู้นี้ไม่รอให้เธอได้ซับน้ำตาให้แห้งเสียด้วยซ้ำไปก็ปรารถนาจะให้เธอยินยอมรับสนองกามคุณอันน่าบัดสีของตน ทั้งๆ ที่โลหิตของสามีของเธอที่เขาสั่งให้บั่นคอเสียนั้นยังอุ่นๆ อยู่แท้ๆ เมื่อให้คำมั่นสัญญานานาประการและแสดงความรักใคร่ใยดีไม่เป็นผลสำเร็จแล้วก็ทรมานเธอด้วยประการต่างๆ”
อย่างไรก็ตาม ออกหลวงสุรศักดิ์ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงเกินไปเพราะยังเกรงออกพระเพทราชาผู้เป็นบิดาอยู่ “ด้วยว่าถ้าเจ้าคุณผู้ใหญ่รู้เรื่องที่เขาทรมานมาดามก็องสตังซ์เข้าแล้ว ก็จะเกิดความใหญ่ เพราะว่าเมื่อไม่นานมานี้เอง เขาได้บังอาจไปฉุดคร่าธิดาของนักบวชใหญ่ชาวมลายามา เมื่อเพทราชาได้รับคำฟ้องร้องจากนายพลชาตินั้นแล้ว ก็เอาตัว (ออกหลวงสรศักดิ์) ไปขังไว้แล้วคาดโทษว่าจะตัดหัวเสียทีเดียวถ้าไปทำทารุณกรรมกับหญิงคนใดอีก เพราะเขารู้ดีว่าบุคคลผู้นั้น (ออกหลวงสรศักดิ์) เป็นที่เกลียดชังของพวกขุนนางอยู่ด้วยได้ไปประกอบกรรมอันบัดสี (ต่อลูกเมียของพวกเขา) อยู่เนืองๆ”
พอออกพระเพทราชาได้ครองราชสมบัติ และสถาปนาออกหลวงสุรศักดิ์เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็เตรียมการจะพาตัวมาดามคอนสตันซ์เข้าไปอยู่ในวัง เดอ แบซ ถึงกับบันทึกว่า “มีแต่เพทราชาผู้เดียวที่จะยับยั้งความบ้าระห่ำของบุตรชายไว้ได้” แต่เนื่องจากเป็นทรงพระเจ้าแผ่นดินแล้วพวกบาทหลวงฝรั่งเศสจึงเข้าถึงพระองค์ได้ยาก สุดท้ายมาดามคอนสตันซ์ต้องหนีไปอาศัยอยู่กับกองทหารฝรั่งเศสที่บางกอก
.
เอกสารคำให้การขุนหลวงหาวัดที่เรียบเรียงจากปากคำเชลยอยุทธยาสมัยเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ ก็มีเรื่อง “มุขปาฐะ” ใกล้เคียงกันว่า ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ออกหลวงสุรศักดิ์ (คำให้การเรียกว่า ‘เจ้าพระยาศรีสุรสักดิ์’) ลอบเข้าไปลักพาตัวธิดาเจ้าพระยาราชวังสรรค์จางวางกรมอาสาจาม จนกิตติศัพท์เลื่องลือว่า
“บรรดาใครที่มีบุตรีแต่น้อยๆ ก็ต้องแต่ให้มีผัวเสีย จะเอาไว้ก็กลัวพระยาศรีสุรศักดิ์จะมาลักบุตรีไปด้วยฤทธากล้าหาญชาญชัย ลางทีสตรีมีคู่เพิ่งเข้าหอใหม่ ถ้ารู้ว่ารูปงามทรามวัยก็ไปลักล่วงประเวณี ถึงเจ้าผัวจะรู้ก็กลัวไม่อาจที่จะว่าได้ มีแต่จะเอาตัวพาหนีไป ถ้าแลรูปทรงส่งสัณฐานนั้นพานจะพอดี พระยาศรีสุรศักดิ์ไม่ลักไป เสน่หาไปลูกสาวพระยาราชวังสรรค์ เป็นคนขยันแล้วลักเอาไปได้”
สอดคล้องกับพงศาวดารที่ระบุว่า “มักพอพระทัยทำอนาจารเสพสังวาสกับภรรยาขุนนาง”
.
หลักฐานร่วมสมัยของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Vereenigde Oostindische Compagnie; VOC) ที่กล่าวถึงพระอุปนิสัยในทางลบของพระเจ้าเสือหลายชิ้น เช่น รายงานของ โตมัส ฟาน ซอน (Thomas van Son) หัวหน้าสำนักงานของ VOC ในสยามส่งไปยังเมืองปัตตาเวียใน ค.ศ. ๑๖๙๖ (พ.ศ. ๒๒๓๙) ระบุว่าพระเจ้าเสือที่เป็นกรมพระราชวังบวรฯ เป็นที่รู้กันว่าทรงมีความตัณหาในหญิงสาวและโปรดที่จะนำหญิงสาวเหล่านั้นมากระทำการ “ซาดิสม์” (ภาษาอังกฤษใช้คำว่า ‘sadistic’) ซึ่งรวมไปถึงบุตรสาวของคนที่ทำงานอยู่ในสำนักงาน VOC รวมถึงที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงด้วย แต่บริษัทไม่อาจให้การปกป้องหญิงสาวเหล่านี้ได้ แม้ว่าพ่อแม่ของหญิงเหล่านั้นจะร้องขอก็ตาม
.
ในช่วงต้นรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ดัตช์คิดว่าพระเจ้าเสือไม่ได้เป็นที่พอพระทัยของสมเด็จพระเพทราชามากนัก แต่จากราชงานของ กิเดโยน ตันต์ (Gideon Tant) หัวหน้าสำนักงานของ VOC ในสยามที่เขียนในวันที่ ๒๙ มกราคม ค.ศ. ๑๗๐๓ (พ.ศ. ๒๒๔๖) ก่อนสมเด็จพระเพทราชาสวรรคตเพียง ๑ สัปดาห์ แสดงความมั่นใจว่าพระเจ้าเสือจะได้รับราชสมบัติสืบต่ออย่างแน่นอน เพราะในระยะหลังทรงวางพระองค์อย่างดีจนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญผิดจากในอดีต “ทุกแห่งทราบถึงพระเมตตากรุณาและความดีงาม ใช่ แม้ว่าคนทั่วไปยังคงหวาดกลัว (พระองค์) ในอดีต”
.
แต่เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ ก็ปรากฏถึงหลักฐานความโหดร้ายของพระองค์อีก ปรากฏใน จดหมายของมงเซนเญอร์หลุยส์ ช็องปีอ็อง เดอ ซีเซ่ (Mgr. Louis Champion de Cicé) พระสังฆราชแห่งซาบูล ประมุขมิสซังสยามส่งถึงผู้อำนวยการคณะมิสซังต่างประเทศกรุงปารีส (Missions étrangères de Paris) ที่เขียนในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๗๐๓ ว่า (แก้การสะกดคำเป้นปัจจุบัน)
“ปอลิติกในเมืองชนิดนี้ ไม่แรงพอที่จะคุ้มครองเมืองซึ่งมีกษัตริย์อันมีนิสัยเต็มไปด้วยโทสะโมหะ และยิ่งมีอำนาจเด็ดขาดที่จะทำตามโทสะได้ทุกอย่างแล้ว ก็เป็นอันไม่ได้อยู่เอง การที่พระเจ้าแผ่นดินทรงบีบคั้นพระอนุชาซึ่งเป็นรัชทายาท [เจ้าพระขวัญ-ผู้เขียน] ผู้ที่สมควรจะครองราชสมบัติโดยแท้อย่างแสนสาหัส และทรงบีบคั้นขุนนางข้าราชการที่เข้ากับพระอนุชาจนลงท้ายได้ห่าเสียหมดทุกคน ถึงพวกข้าราชการผู้ใหญ่แลพระสงฆ์จะกราบทูลทัดทานเท่าไรก็ไม่ฟังนั้น ทั้งการที่ทรงลงพระอาญาอย่างร้ายกาจแก่พระราชบุตรทั้ง ๒ ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ไม่ไว้พระทัย และทรงลงพระอาญาเฆี่ยนอยู่เสมอนั้น ก็ทำให้เห็นได้ชัดว่า คงมีบุคคลบางจำพวกที่จะไม่ยอมทนไปได้นานสักเท่าไร และจำเป็นที่พระองค์จะต้องกลับใจเสียโดยเร็ว การทั้งปวงเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าหนักใจเป็นอันมาก เพราะข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้มิได้รักชอบพวกเราเลย ข้าพเจ้าจึงเกรงว่าถ้าไม่มีเรือพ่อค้าฝรั่งเศสมาตามพระราชประสงค์แล้ว ก็น่ากลัวจะทรงถือว่าเป็นการที่ฝรั่งเศสดูถูก และคงจะทรงแก้แค้นกับพวกเราในโรงเรียนเป็นแน่”
.
จดหมายอีกฉบับที่เขียนในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ยังระบุว่า “ตามที่ข้าพเจ้าได้เล่าถึงความเดือดร้อนของเมืองนี้ ถึงความไม่แน่นอนของรัฐบาลปัจจุบันนี้ ถึงพระนิสัยของพระจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ อันจะเชื่อพระวาจาไม่ได้นั้นเป็นสิ่งที่จริงทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์นี้ ต้องร้อนพระทัยด้วยยังต้องทำศึกสงครามอยู่ก็จริง แต่ถึงดังนั้นก็ยังคงโหดร้ายและทรงกริ้วกราดอยู่เสมอเท่ากับไม่มีเรื่องอะไรมากวนพระทัยเลย”
อีกตอนหนึ่งระบุว่า พระเจ้าเสือโปรดให้ไปจับเด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงเข้ามาในพระราชวัง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่ทางบาทหลวงฝรั่งเศสต้องช่วยป้องกันไว้ด้วย
“พระเจ้าแผ่นดินองค์นี้โปรดนัก ในการที่จะไปแย่งชิงเด็กทั้งหญิงและชาย เพื่อเอาไปเป็นทาสสำหรับไว้ใช้ในวัง เมื่อสองสามวันนี้เองได้มีพวกญวนและไทยเข้ารีตซึ่งตั้งบ้านเรือนใกล้กับโรงเรียนได้ตื่นตกใจวิ่งมาขอให้เราช่วย เพราะเจ้าพนักงาน ได้มาจดชื่อเด็กลูกของคนเหล่านี้ จึงเกรงว่าเด็กพวกนี้จะต้องถูกจับเข้าไปในวัง พวกนี้คิดจะบอกเจ้าพนักงานว่าตัวเขาและลูกเป็นทาสขายตัวอยู่กับพวกบาทหลวง เพราะฉะนั้นพอรุ่งขึ้นพวกนี้ก็ได้ไปทำหนังสือยอมตัวเป็นทาสของบาทหลวงตามที่คิดไว้ แล้วได้พาลูกมาขอให้เรารับไว้ ซึ่งเป็นการที่เราจะไม่ยอมไม่ได้ เพราะถ้าจะคิดถึงส่วนประโยชน์ของเด็กเหล่านี้แล้ว ถ้ามาอยู่กับเราอาจที่จะหันให้นับถือศาสนาคริสเตียนได้ แต่ถ้าจะขืนปล่อยตามลำพังแล้ว เด็กพวกนี้คงจะประพฤติตามเยี่ยงอย่างของผู้ใหญ่ ส่วนเด็กผู้หญิงซึ่งจะต้องระวังมากกว่าผู้ชายนั้น เราได้เอาไปเที่ยวฝากไว้กับผู้หญิงแก่ ๆ ที่เข้ารีตและผู้หญิงเหล่านี้ได้จัดการซ่อนเด็กผู้หญิงไว้อย่างดีที่สุดที่จะซ่อนได้ แต่ถึงเราได้จัดการป้องกันเด็กเหล่านี้ไว้ก็จริง แต่เราจะอวดอ้างไม่ได้ว่าเด็กเหล่านี้จะพ้นอันตรายแล้ว ถ้าไทยยกพวกมาจับเด็กเหล่านี้แล้วเราก็จะเดือดร้อนมาก”
.
หลังพระเจ้าเสือสวรรคตไปแล้ว ความโหดร้ายของพระองค์ยังเป็นที่จดจำได้ของชาวต่างประเทศ ดังที่ปรากฏในจดหมายเมอซิเออร์เกดีถึงมงเซนเญอร์เมโกรที่เมืองปอนดีเชอรีใน ค.ศ. ๑๗๑๑ (พ.ศ. ๒๒๕๔) เรียกขานพระเจ้าเสือว่า “พระเจ้าแผ่นดินองค์ดุร้าย”
บรรณานุกรม
- เดอะ แบส, บาทหลวง. บันทึกความทรงจำของบาทหลวง เดอะ แบส เกี่ยวกับชีวิตและมรณกรรมของ ก็องสตังซ์ ฟอลคอน. พิมพ์ครั้งที่ ๒. นนทบุรี: ศรีปัญญา, ๒๕๕๐.
- ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยารวม ๓ เรื่อง. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : แสงดาว, ๒๕๕๓.
- ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๗ เรื่องจดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยา ตอนแผ่นดินพระเจ้าเสือแลแผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ ภาค ๔. พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๙.
- พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น. นนทบุรี : ศรีปัญญา, ๒๕๕๓.
- พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน). ๒๕๕๘
- Bhawan Ruangsilp, Dutch East India Company Merchants at the Court of Ayutthaya: Dutch Perception of the Thai Kingdom, c 1604-1765, Leiden:Brill, 2007.
หมายเหตุ : บทความทั้งหมดเรียบเรียงโดยผู้ดูแลเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ ผู้ดูแลเพจขอสงวนสิทธิไม่อนุญาตให้นำข้อมูลที่เผยแพร่ในเพจไปแก้ไข คัดลอก ดัดแปลง ทำซ้ำ เผยแพร่ต่อ และห้ามนำไปแสวงหาผลกำไรทางพาณิชย์โดยเด็ดขาด หากมีความประสงค์จะขอบทความของเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ไปเผยแพร่ต่อด้วยวิธีการใดๆ ก็ตามต้องได้รับการยินยอมจากผู้ดูแลเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ในทุกกรณี ยกเว้นแต่การ "แชร์" ที่สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตครับ
โฆษณา