เรื่องสั้นชุด "ชีวิตต่างแดน" ตอน "Bye Bye...Pat" โดย...ตุ๊กดุ๋ย เลิฟลี่....
Pat หรือ แพท เข้ามาอาศัยอยู่ที่ศูนย์ฯแห่งนี้พร้อมกับต้าร์ เพื่อนร่วมงานที่ร้านอาหาร
หลังจากนั้นอีก 2 อาทิตย์ ผมจึงถูกอัญเชิญมาที่นี่เช่นเดียวกัน และได้อยู่ห้อง C 4 ห้องเดียวกับแพท ส่วนต้าร์ได้อยู่อีกห้องหนึ่งคือ C 2
ด้วยความที่ภาษาอังกฤษของแพทอยู่ในเกณฑ์ดี ประกอบกับนิสัยส่วนตัวที่ชอบพบปะ พูดคุย สนทนา จึงทำให้แพทคุยกับเพื่อนๆ ในห้องหลายคน
ประเด็นหลักก็คือ ต้องการรู้ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับกฎหมายคนเข้าเมือง
โดยเฉพาะเมื่อเราต้องมาเป็นผู้ถูกควบคุมที่นี่ในฐานะคนต่างด้าว หรือเอเลี่ยน ซึ่งทำผิดในข้อหาอยู่ในประเทศเกินกำหนด หรือ Overstay นั่นเอง
เช่น อยากรู้ว่า เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราต้องทำอย่างไรต่อไป
เราจะขออยู่ประเทศนี้ต่อไปอีกได้หรือไม่
ถ้าได้ จะต้องทำอย่างไร และมีหลักเกณฑ์อย่างไร
ถ้าไม่ได้ จะต้องทำอย่างไร
เขาจะส่งหรือเนรเทศเรากลับประเทศตนเองอย่างไร โดยวิธีไหน มีขั้นตอน และใช้เวลานานเท่าใด
ขั้นตอนและรายละเอียดพวกนี้ ไม่สามารถหาข้อมูลได้ตามแหล่งต่างๆ ทั่วไป เพราะเป็นข้อมูลเฉพาะ ซึ่งมีผลต่อความมั่นคงของรัฐ จะรู้ได้เฉพาะผู้เกี่ยวข้องโดยตรงเท่านั้น
แพทจึงคร่ำเคร่งกับการคุยกับเพื่อนๆ หาข้อมูลสะสมไปเรื่อย ๆ
โดยเฉพาะพวกขาเก๋าที่อยู่มานาน จะมีข้อมูลประเภทคม ชัด ลึก แน่น อวบ อึ๋ม ให้จับต้องและศึกษา
ดังนั้น ระยะเวลา 2 อาทิตย์ ก่อนที่ผมจะเข้าไปสมทบกับแพทนั้น แพทได้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปเยอะแล้ว รวมทั้งได้เพื่อนฝูงครึ่งค่อนห้องเลยทีเดียว
แพท มาอยู่ที่อเมริกาได้ประมาณ 4 ปี เรียนรู้ ซึมซับชีวิตและการทำงานในต่างแดนไปพอสมควร
อยากจะอยู่ และทำงานให้ถูกต้องเหมือนกัน แต่การ Apply เป็น Green Card ในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ มันมีเงื่อนไขและขั้นตอนต่าง ๆ
ยุ่งยากมากมาย
ประกอบกับพ่อแม่ทางบ้านก็อายุมาก ต้องการคนดูแลใกล้ชิดมากขึ้น แพทจึงตัดสินใจที่จะกลับบ้าน และจองตั๋วกลับเมืองไทยไว้แล้ว กะว่าจะอยู่ทำงานอีกสัก 3 เดือน
พร้อมกับเที่ยวอีกนิดหน่อย
แต่สุดท้าย ต้องโดน จนท.ICE มาเชิญตัวไปปรับทัศนคติเสียก่อน
อีกคนหนึ่งคือ ต้าร์ ที่โดนควบคุมตัวในวันเดียวกัน
ต้าร์ยังไม่มีแผนที่จะกลับเมืองไทย แม้จะอยู่มาประมาณ 8 ปีกว่าแล้วก็ตาม เนื่องจากยังมีภาระส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งผมก็ไม่ได้ซอกแซกถามว่า มีมากกว่า 1 ครอบครัวเหรอ?
ถึงอยากจะอยู่ไปนานๆ แบบนี้
หรืออาจจะมีความสุข มีความสำราญบานฤทัยมไหศวรรย์ อัศจรรย์แห่งรักกับชีวิตที่นี่ !!
แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนล้วนมีเหตุผลบนความอิสระเสรีของตนเองทั้งนั้น และเราทุกคนได้เลือกมันแล้ว !!
เมื่อเป็นดังนี้ ประเด็นการต่อสู้ในกระบวนการตามกฎหมายคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา
ของแพทและต้าร์ จึงต่างกัน
ในกรณีของแพท เราไม่ได้ต่อสู้เพื่อให้ตนเองอาศัยอยู่ในประเทศอเมริกาต่อไป
แต่สู้ในประเด็นที่ว่า เราขอแค่อยู่ต่อจนถึงวัน เวลาที่เราซื้อตั๋วไว้แล้วเท่านั้นเอง
นั่นคือ อีก 3 เดือนข้างหน้า
เรามีความตั้งใจจะกลับประเทศตนเองอยู่แล้ว โดยดูได้จากเจตนาคือ การซื้อตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทยไว้ก่อนหน้านี้
แต่ในมุมข้อเท็จจริงในขณะนั้นคือ แพทได้อาศัยอยู่เกินกำหนดในประเทศอเมริกาแล้ว จะเกินกำหนด 1 วัน หรือ 1 ปี ก็ถือว่าได้ทำผิดกฎหมายคนเข้าเมืองแล้ว
เมื่อเข้าข่ายผิดกฎหมายคนเข้าเมือง จากนั้นไป จะมีระเบียบหรือกระบวนการอย่างไรต่อไป เราไม่อาจจะรู้ได้ เราถูกตีทะเบียนแปลงกายเป็น Aliens ที่ถูกควบคุมตัวโดยศูนย์สถานควบคุม
กักกันแห่งบัฟฟาโล (BFDF) แล้วเราก็ต้องทำตาม
ระเบียบกฏเกณฑ์ของเขาที่กำหนดไว้
เขาอาจจะกักตัวเราไว้ 3 เดือน จนกว่าจะถึงวัน เวลาที่เราซื้อตั๋วไว้
หรือเขาไม่สนเรื่องซื้อตั๋วของเรา เขาจะซื้อให้ใหม่ สายการบินไหนก็ได้ ขอให้มันบินถึงประเทศไทยก็แล้วกัน ตามวัน เวลาที่เขาเห็นสมควร และตามงบประมาณที่จะจัดหาให้เราได้ โดยในระหว่างนี้ เราก็ต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในศูนย์ฯแห่งนี้ตลอด และ ฯลฯ ที่เราเองก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร?
สรุป ธงการต่อสู้ของแพทจึงคือ การขออยู่ต่อในประเทศนี้ จนกว่าจะถึงวัน เวลาตามที่ซื้อตั๋วเครื่องบินไว้ในอีก 3 เดือนข้างหน้า โดยการอยู่ต่อนั้นหมายถึง การอยู่อาศัยตามปกติทั่วไป ไม่ใช่การอยู่โดยถูกควบคุมตัวไว้ที่ศูนย์ฯแห่งนี้
ส่วนในกรณีของต้าร์ ยังไม่ต้องการกลับประเทศไทย
พูดง่ายๆ ว่า ยังอยากอยู่ที่นี่ ทำงานหาเงินต่อ ประมาณนั้น
จึงตั้งธงที่จะขออยู่ต่อ
แต่จะอยู่แบบไหนล่ะ เพราะไม่ได้เป็น Citizen หรือพลเมืองของเขา ไม่ได้มี Green Card ซึ่งก็ถือเป็นพลเมืองอีกประเภทหนึ่ง ที่ถึงแม้จะไม่ได้มีสิทธิ์เทียบเท่ากับ
พวก Citizen ทุกอย่าง แต่ก็สามารถอยู่ในประเทศนี้ได้อย่างถูกกหมาย ทำงานได้ และเสียภาษีได้แบบถูกต้อง
ธงจึงมาลงที่การขอ Asylum Visa นั่นคือ การขอวีซ่าอยู่ในประเทศนี้ในฐานะ ผู้ลี้ภัย
ฟังดูเหมือนจะดี มีอนาคต แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่ ๆ
การลี้ภัย ก็คือ การหนีภัย หรือหลบภัยจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ปัญหาคือ จะพิสูจน์ให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่า
เรามีภัย หรือเราจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิตหากเราอยู่ที่ประเทศของเรา
อย่างไรก็ตาม แม้จะยากแสนยาก เราก็ต้องลอง เพราะไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ขอได้หรือไม่ได้ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ขอได้ก็อยู่ ขอไม่ได้ก็กลับ นั่นคือ ข้อสรุปสั้นๆ ในกรณีของต้าร์
ทั้ง 2 คนคือ แพทและต้าร์ โทรศัพท์ติดต่อคนข้างนอกศูนย์ฯ ทั้งเพื่อนและนายจ้างให้ดำเนินการหาทนายความเพื่อต่อสู้ในประเด็นที่ตนเองต้องการ
ต้าร์ได้ทนายความจากเมือง ซีราคิวส์ (Syracuse) เมืองใหญ่เมืองหนึ่งของรัฐ New York โดยนายจ้างเจ้าของร้านอาหารเป็นผู้ติดต่อให้ และทนายความก็ได้มาพบกับต้าร์ที่ศูนย์ฯเรียบร้อยแล้ว ตกลงคุยกัน เข้าใจตรงกันทุกอย่างแล้ว
สรุปว่า ในชั้นแรกนี้ เมื่อถึงวันนัดขึ้นศาล ทนายก็จะยื่นประกันตัวต้าร์ เพื่อไปขอต่อสู้คดีอยู่ภายนอกศูนย์ฯแห่งนี้
ส่วนวงเงินประกันนั้น ก็แล้วแต่ศาลจะใช้ดุลยพินิจเป็นรายๆ ไป ว่าจะให้ประกันในจำนวนเท่าใด ิซึ่งก็มีตั้งแต่ 1,000 – 20,000 ยูเอส ดอลลาร์
ส่วนแพทนั้น ยังไม่ได้ตกลงที่จะจ้างทนายความคนใด
เหมือนประเมินดูว่า เคสของตนเองนั้นดูง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
และเมื่อผมได้เข้ามาสมทบอยู่ในศูนย์ฯแห่งนี้ ก็คุยกันทุกวันถึงแนวทาง และความเป็นไปได้ต่างๆ ว่าจะเอายังไงกันดี
ในที่สุด ก็มาลงเอยกับทนายผู้หญิงคนหนึ่งจากเมืองบัฟฟาโล (Buffalo)
แนะนำโดยเพื่อนชาวตุรกีในห้องนั่นแหละ ซึ่งก็ใช้บริการทนายคนนี้ และก็เป็นทนายหนึ่งเดียวคนนี้ที่ศูนย์ฯ BFDF ภูมิใจแนะนำเช่นเดียวกัน
และสาธยายว่า มีความชัดเจนในการพูดคุย ให้คำแนะนำและเสนอแนวทางได้ดี
แถมราคาค่าจ้างก็ไม่แพงนัก โดยเคสของเขาที่เป็นคนตุรกีนั้น ต้องการที่จะอยู่ต่อที่อเมริกา เพราะมีแฟนอยู่ที่นี่ และก็อยู่มา 20 ปีแล้ว เขาขอประกันตัวเองออกไปเพื่อต่อสู้คดี และจะ Apply Green Card ให้ถูกต้อง
อืม...ผมก็สงสัยมันเหมือนกันว่า มึงทำอะไรอยู่มิทราบ ตั้ง 20 ปี !!
เมื่อแพท ตกลงใจที่จะจ้างทนายผู้หญิงคนนี้ จึงวานให้เพื่อนตุรกีติดต่อให้
และเธอ Anne E. Doebler หรือทนายแอนน์ ก็รับงานคดีของแพท (ซึ่งต่อมา ทนายแอนน์ คนนี้ ก็ได้รับงานคดีของผมเช่นเดียวกัน) โดยฝากบอกมาว่า แล้วเธอจะติดต่อมาที่แพทเอง ภายในไม่เกิน 1 อาทิตย์ ก่อนวันนัดขึ้นศาล
และ 4 วัน ก่อนวันขึ้นศาลของแพท ทนายแอนน์ ก็ติดต่อขอพบแพทตามระเบียบวิธีปฏิบัติของศูนย์ฯ
และเมื่อแพทได้ไปพบทนายความตามนัดหมายแล้ว
กลับเข้าห้องมา จึงได้เล่ารายละเอียดให้ผมฟัง
“Excellent !! ยอดเยี่ยมเลยพี่ไมค์” แพทบอกด้วยน้ำเสียงอันยินดี
“ยังไงอ่ะ?” ผมชงให้แพทร่ายยาว แล้วแพทก็ร่ายยาวจนสรุปได้ ดังนี้
ตามธงที่ตั้งไว้คือ ขออยู่ต่อในประเทศนี้ โดยใช้ชีวิตปกติทั่วไปภายนอกศูนย์ฯ จนกว่า
จะถึงวัน เวลาตามตั๋วเครื่องบินที่ซื้อไว้แล้ว
ประเด็นนี้ ทนายแอนน์บอกว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะมันแสดงถึงเจตนาและ
ความตั้งใจของเราที่จะกลับประเทศอยู่แล้ว แต่ศาลอาจจะให้มีหลักประกันบ้าง ในระหว่างที่อยู่นี้ คิดว่าคงจะเป็นการวางเงินประกัน (Bond) จำนวนหนึ่ง โดยเจ้าของเงินประกันต้องเป็น
Citizen หรือพลเมืองของสหรัฐอเมริกา
นอกนั้นก็ไม่มีอะไร เป็นเคสง่าย ๆ ทนายแอนน์บอกอย่างนั้น และงานนี้ ค่าทนายเพียง 1,500 ยูเอส ดอลลาร์
“โอ้ว..เหรอ...ก็ไม่แพงจริงๆ ด้วย”
ผมแปลกใจทีเดียว เพราะเคยได้ยินมาว่าค่าทนายความ
ในประเทศนี้มันเริ่มต้นที่ 3,000 ยูเอส ดอลลาร์โน่นแน่ะ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณเกือบแสนบาท ส่วนคนจ่ายก็แสนสาหัส และแสนระทมกันไป
“ใช่พี่ ไม่แพงหรอก อีกอย่างเคสผมก็ง่ายๆด้วย ก็เลยโอเคทุกอย่าง”
“ดีแล้วหละ พี่ก็คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร ศาลน่าจะอนุญาตตามร้องขอ และถ้าได้จริง มันก็จะเป็นเคสตัวอย่างให้พี่เดินตามด้วย” ผมพูดอย่างมีความหวังให้กับเราสองคน
ในเช้าของวันนัดขึ้นศาล
แพทดูตื่นเต้นเล็กน้อย
ประมาณ 9 โมงเช้า จนท.DO ประจำห้องแจ้งบอกพวกที่ต้องไปขึ้นศาลให้เตรียมตัวให้เรียบร้อย
แพทเดินแวะมาหาผมที่เตียง ก่อนลงไปข้างล่าง
ผมตบไหล่แพทเบาๆ และอวยพรให้เขาโชคดี
เมื่อวานนี้ ต้าร์ขึ้นศาล และได้รับข่าวดีไปแล้ว
คือศาลให้ประกันตัวในวงเงิน 7,000 ยูเอส ดอลลาร์
พร้อมทั้งให้มีบุคคลค้ำประกัน ซึ่งมีฐานะเป็น Citizen ของประเทศนี้อีกจำนวน 3 คน
ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ศาลจะเป็นผู้กำหนดว่า ให้ยื่นเรื่องที่จะขออยู่อาศัยต่อในประเทศนี้เมื่อไหร่ และอย่างไร โดยจะติดต่อผ่านทางทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจ และผู้ร้องขอเป็นลายลักษณ์อักษร
สรุปคือ ต้าร์ได้ออกจากศูนย์ฯแห่งนี้ไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว โดยมีการนัดแนะกับนายจ้างเจ้าของร้านและเพื่อน นำเงินประกันมาจ่ายที่ศาล พร้อมทั้งรับกลับบ้าน เมื่อจัดการ
เอกสารที่เกี่ยวข้องทุกอย่างเสร็จสิ้น
อาหารเที่ยงที่ห้องของเราดำเนินไปตามปกติ
แต่โต๊ะประจำของผมวันนี้ มีแต่ผมและหนุ่มใหญ่ผอมสูงจากจาไมกา ขาดก็แต่แพท ซึ่งยังไม่กลับจากการขึ้นศาล
อาหารเที่ยงผ่านไป ทุกคนแยกย้ายกันกลับที่ตั้งของตัวเอง ผมขึ้นบันไดมาชั้นบน และเดินมาที่เตียง
นั่งลงคิดอะไรเพลินๆ พร้อมรอคอยการกลับมาของแพท
ไม่นานนัก แพทก็โผล่มาที่ประตูห้อง แล้วเดินขึ้นบันไดมาชั้น 2 อย่างเร่งรีบ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนกับว่าผลการตัดสินคดีของเขานั้นไม่เป็นไปตามคาดหวัง และเมื่อแพทมายืนอยู่ตรงหน้าผมที่เตียง ผมผุดลุกขึ้นยืน และรีบถามอย่างร้อนรน
“เป็นไงแพท ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”
“ก็มันเหนื่อยรอนานน่ะสิพี่ มีคิวต้องรอกันหลายคน”
“แล้วโอเคมั๊ย?”
“ทุกอย่างโอเคพี่ ศาลให้ประกันวงเงิน 3,000 ยูเอส ดอลลาร์ แถมอนุญาตให้อยู่อีกตั้ง 120 วันแน่ะ” แพทเริ่มหายเหนื่อยและพูดด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ว..สุดยอดเลย พี่ดีใจด้วยว่ะ แต่หมายความว่าอะไรวะ อยู่ได้ 120 วัน” ผมถามด้วยความงุนงง
“อ๋อ...ศาลหมายถึง อนุญาตให้เราอยู่ในอเมริกาได้ตั้งแต่วันนี้นับไปอีก 120 วัน ซึ่งมันเลยวันที่เราซื้อตั๋วไว้ด้วยซ้ำ”
“อืม..คงให้เกินๆ ไว้หน่อย เผื่อมีการเลื่อนการเดินทางหรือฉุกเฉินกรณีอื่น ๆ”
“คงอย่างนั้นมั๊ง แต่ผมคงไม่เลื่อนหรอก ซื้อตั๋วแล้วก็กลับตามนั้นแหละ อยากกลับจะแย่อยู่แล้วเนี่ย”
แพทพูดพร้อมกับขอตัวไปเก็บของ เนื่องจากเพื่อนจะมารับ หลังจากจัดการเรื่องเอกสารและการประกันตัวเสร็จสิ้น
เกือบ 1 ชั่วโมงผ่านไป
“359 Get out of here !!”
จนท.DO ประจำห้องพูดเสียงดังฟังชัด ลอยมาถึงชั้น 2 ของห้อง เสียงฮือฮาของผู้คนในห้องตามมา พร้อมกับมีเพื่อนอีก 6-7 คน รวมทั้งผมเดินไปที่เตียงแพท
บางคนก็กุลีกุจอช่วยเก็บของ อีกคนก็รื้อปลอกหมอน และก็เอาผ้าปูที่นอนมาผูกเป็นถุงผ้า เพื่อใส่สัมภาระสิ่งของที่ต้องคืนแก่ศูนย์ฯไป
ส่วนเครื่องใช้ส่วนตัว พวกแป้ง โลชั่น สบู่เหลว
ยาสระผม ก็บริจาคต่อแก่ผู้ที่ต้องการ
แพทมีมาม่าและขนมอยู่หลายห่อ ก็ให้พวกเด็กๆ กัวเตมาลาไป ส่วนผม เลือกเอาสบู่เหลวชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นยาสระผมได้ด้วย
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น
เหมือนเป็นธรรมเนียมว่า เพื่อนต้องเป็นคนสะพายถุงผ้าให้ และไปส่งที่หน้าประตู
แน่นอนว่า..ไม่มีใครมาแย่งทำหน้าที่นี้ของผมเลยแม้แต่คนเดียว !!
ซึ่งก็ไม่แปลกใจนัก
เพราะทุกคนรู้ว่า เราคือเพื่อนไทยแลนด์ แดนสะตอหวานด้วยกัน
ผมกับแพท นั่งรอเจ้าหน้าที่อยู่ตรงปากประตูภายในห้อง
สักครู่หนึ่ง จนท.DO เดินสาย เปิดประตูเข้ามา พร้อมที่จะนำตัวแพทออกไปสู่เสรีภาพ
ผมกับแพท สวมกอดและร่ำลากัน ด้วยความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกัน
“โชคดีแพท แล้วเจอกัน” ผมพูดเบาๆ แบบใจหายเล็กน้อย ที่จะขาดเพื่อนไป
“โชคดีพี่ไมค์ แล้วเจอกันข้างนอก” แพทกล่าวอำลาผม
เสียงปรบมือให้กำลังใจจากทุกคนในห้องดังขึ้น เมื่อแพทขยับเดินออกจากห้องตามเจ้าหน้าที่ไป
การจากไปของแพท แม้จะทำให้ผมรู้สึกเศร้าไม่น้อยที่ต้องขาดเพื่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในกรณีของแพท คือรูปแบบและแนวทางที่เป็นคุณประโยชน์ต่อผม
เพราะเราต่อสู้ในแบบเดียวกัน ความต้องการเหมือนๆ กัน
แพทต้องการกลับประเทศไทย ผมก็เหมือนกัน
แพทอยู่ในการควบคุมของศูนย์ฯแห่งนี้ทั้งหมด 30 วัน ผมก็คงเหมือนกัน
โชคดีนะ...แพท....
โปรดติดตามตอนต่อไป ; "สิงห์ทะเลทราย (1)"
โฆษณา