23 พ.ย. 2019 เวลา 09:44 • ธุรกิจ
บทความ วิลเลียม โจเซฟ โอนีล และระบบการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ตลาดหุ้น ตอนที่ 1
เรื่องนี้เป็นเรื่องนึงที่หลายคนในไทยน่าจะรู้จักกัน เพราะมีหลายแหล่งได้สรุปและเผยแพร่เกี่ยวกับคุณโอนีลและระบบที่เขาใช้ คราวนี้ลองมาอ่านเกี่ยวกับคุณโอนีลในแบบฉบับของ Humble Trader Diary กันบ้างครับ บทความนี้เป็นบทความตอนยาว 3 ตอนนะครับ เพื่อไม่ให้บทความยาวจนเกินไป
ฝากกดไลค์ กดแชร์เป็นกำลังใจให้ทางเพจด้วยนะครับ
วิลเลียม โจเซฟ โอนีล (บิล โอนีล) (ในบทความนี้ผมขอย่อว่า WON นะครับ)
หนึ่งในพ่อมดตลาดหุ้นและผู้เขียนสุดยอดหนังสือการลงทุนอย่าง How to make money in stock ที่ขายดีมากกว่าสี่ล้านเล่มทั่วโลก WON เริ่มเข้าสู่วงการตลาดหุ้นในช่วงปลาย 50’s ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุนที่ Hayden, Stone & Company (ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ Richard Donchian เข้าไปใน Hayden Stone ในฐานะ Director of Commodity Research )
ในช่วงแรกของการลงทุน WON ก็เหมือนกับนักลงทุนทั่วไปที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น แต่ด้วยความอุตสาหะและความไม่ย่อท้อ WON ศึกษาวิธีการลงทุนอย่างหนัก จุดเปลี่ยนของ WON คือเขาศึกษาจนไปพบผลงานกองทุนของ Jack Dreyfrus สุดยอดผจก.กองทุนที่ทำผลงานระดับสุดยอดในช่วงยุค 50’s รวมถึงการได้อ่านผลงานของ Gerald Loeb และ Jesse Livermore ทำให้เขาพัฒนาการของเขาเป็นไปอย่างก้าวกระโดด อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญของ WON ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จคือ WON ไม่ได้เพียงแค่ศึกษาแค่เพียงเทรดเดอร์และนักลงทุนระดับสุดยอดในตลาดเท่านั้น แต่เขาศึกษาหุ้นทุกตัวที่เคยทำผลงานระดับสุดยอดในหน้าประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นวอลสตรีทอีกด้วย (ถ้าสงสัยว่าWON ให้ความสำคัญกับการศึกษาหุ้นผู้ชนะขนาดไหน ลองเปิดหนังสือ How to make money in stocks หน้า Introduction จะมีเขียนอยู่ด้านบนของบทนำซึ่งเป็นคำสอนแรกของสุดยอดหนังสือหุ้นเล่มนี้ว่า “You must learn and benefit from America’s 100 Years of Super Winners” )
จนมาถึงช่วงปี 1962-1963 ที่เขาทำผลงานระดับสุดยอดโดยการซื้อหุ้น Syntex, Chrysler และชอร์ตหุ้น Korvette ทำให้พอร์ตส่วนตัวของเขาขึ้นจาก $5000 เป็น $200,000 ในระยะเวลา 18 เดือน (ผลงานอาจจะดูเว่อร์ไป แต่ถ้าถามว่าเป็นไปได้มั้ย จากที่ผมศึกษา ด้วยนิสัยของ WON ที่ชอบเล่นกับการบริหาร margin และใช้แบบเต็มสูบเมื่อถูกทางและดูจากกราฟหุ้นของสามตัวนี้แล้วคิดว่าพอเป็นไปได้ครับ) แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเขาได้เริ่มมีปัญหากับทาง Hayden Stone เพราะดันแนะนำให้ลูกค้าที่ตัวเองดูแลทั้งหมด Short หุ้น Certain-teed ที่ทางโบรคแนะนำให้ซื้อ (แต่สรุป Certain-teed ลงยับ WON เป็นฝ่ายแนะนำถูก) จากเหตุการณ์นี้พร้อมกับเริ่มมีเงินแล้ว WON ได้ออกจากHayden Stone และทำตามความฝันในการเป็นเจ้าของธุรกิจโดยการ เปิด William O’Neil+Co., incorporated (WON จบป.ตรี Business จาก Southern Methodist University และศึกษาต่อที่ Harvard Business School ) จากนั้นต้นปี 1964 WON สร้างประวัติศาสตร์โดยการเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถซื้อที่นั่งในห้องค้าของตลาด NYSE ได้ด้วยวัยเพียง 30 ปี
จากที่เล่าตั้งแต่แรกมาจนถึงตอนนี้วิธีการของ WON ถูกเรียกว่า OM (O’Neil Methodology) ซึ่งยังไม่ใช่ CANSLIM นะครับ (อธิบายเพิ่มหน้าอื่นๆ) ต่อจากนั้นเขาก็เริ่มซื้อเทคโนโลยีหลายอย่างเข้าบริษัทของตัวเองเพื่อพัฒนาต่อยอดวิธีเทรดของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษา quantitative และ qualitative analysis กับหุ้นผู้ชนะในอดีตและการหา market timing ที่ในช่วงต้นเขาไม่สามารถทำได้จากข้อจำกัดทางกำลังทรัพย์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังนั้น innovation products ของ WON ก็ออกมาเยอะมาก ทั้ง Data graphs, Daily Graphs (MarketSmith ในปัจจุบัน) จนมาถึงการก่อตั้งหนังสือพิมพ์การลงทุนอย่าง Investor’s Business Daily (IBD)ในปี 1984
จนมาถึงช่วงปี ค.ศ. 1988 สุดยอดหนังสืออย่าง How to make money in stocks (HTMS) ก็ถูกเขียนขึ้นมาพร้อมกับระบบที่เป็นtrademark ของ WON อย่าง CAN-SLIM ก็ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ หนังสือเล่มนี้ที่ถูกแปลเป็นภาษาไทยจะเป็นหนังสือ HTMS Edition ล่าสุดคือ Edition ที่ 4 ซึ่งถ้าจะให้ผมแนะนำสำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่าน ผมแนะนำว่าไม่ว่าคุณจะลงทุนในหุ้นสไตลล์ไหนก็ตาม คุณจะได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้แน่นอนไม่มากก็น้อย หรือถ้าใครอ่านฉบับไทยอย่างเดียวแล้วสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้ ผมแนะนำว่า “ซื้อต้นฉบับเถอะครับ” ดีแน่นอน
ในความคิดของผมแล้วหนังสือ HTMS เป็นเหมือนกับหนังสือของนิสิตนักศึกษาปีที่ 1 คือเป็นความรู้ภาพรวมทำให้เรารู้พื้นฐานและ core ของวิชา ถ้าคุณไม่ได้อินกับการลงทุนแบบนี้ก็ศึกษาเบื้องต้นพอแล้วไปศึกษาอย่างอื่นต่อ แต่ถ้าคุณชอบแล้วต้องการใช้มันจริงๆ ผมแนะนำว่าคุณควรศึกษาเพิ่มจากแหล่งการลงทุนที่ในหนังสือเขาแนะนำอยู่ตลอดทั้งเล่ม และหนังสือที่เป็นหนังสืออื่นๆ ของ WON หรือเหล่าบรรดาลูกศิษย์ เอาตามตรงคือ ศึกษาหลายปีกว่าจะหมด แค่ที่อยู่ในหน้านี้ก็หนังสือ 12 เล่ม, คอร์สสัมมนา(ซึ่งไม่ฟรี), และแหล่งความรู้ดีดีที่จะทำให้เราต่อยอดวิธีการลงทุนแบบ CAN SLIM อย่างเข้าใจ ซึ่งทุกวันนี้แอดมินก็ยังเทคคอร์สกับหลายๆท่านอยู่ ถ้ายังไงก็ลองศึกษาดูนะครับ
หลายๆคนอาจจะเข้าใจผิดว่า CANSLIM คือระบบที่ WON ใช้ตั้งแต่แรกและทำให้เขาประสบความสำเร็จจนซื้อที่นั่ง NYSE ได้ตั้งแต่อายุ 30 แต่จริงๆแล้วระบบนี้มาในภายหลังนะครับ อย่างที่ผมได้เกริ่นไปในหน้าประวัติคือเขาใช้วิธีที่เรียกว่า OM จนตั้ง William O’Neil+Co จนศึกษาและพัฒนาระบบของตัวเองขึ้นมาหลังจากนั้นในช่วงปี 1971 ทาง WON ได้ออกหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า “The Model Book of Greatest Stock Winners” ซึ่งศึกษาหุ้นผู้ชนะที่สามารถทำผลตอบแทนสูงกว่า 100% ในเวลาหนึ่งปี ตั้งแต่ช่วงปี 1952 ถึงปี 1971 หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนกับต้นแบบของหนังสือ HTMS ในปัจจุบัน ในช่วงนี้โอนีลมักจะเรียกวิธีของตัวของเขาเองว่า Historical Precedent Analysis (วิธีการวิเคราะห์หุ้นผู้ชนะในประวัติศาสตร์) จนมาถึงช่วงก่อนออกหนังสือไม่นาน HTMS จึงได้มีการยก CAN-SLIM ขึ้นมาซึ่งมันเป็นอักษรที่ลงตัวพอดีกับระบบของเขา หลังจากนั้นก็เรียกว่าระบบ CANSLIM มาโดยตลอด จากที่ผมได้อ่านบทสัมภาษณ์หลายคนคนที่เรียนกับโอนีลในช่วง 30 ปีที่แล้วพบว่าในช่วงแรกไม่มีการยกคำว่า CANSLIM ขึ้นมาเลย เราจะพบแต่คำว่า OM หรือ Historical Precedent Analysis เท่านั้น แต่มาเปลี่ยนช่วงหลัง ซึ่งชื่อนี้ก็ติดหูจริงๆครับ คนในไทยยังเรียกชื่อหนังสือว่า CAN-SLIM มากกว่า HTMS เลย
ในส่วนของหนังสือ HTMS ซึ่งมีมาแล้ว 4 edition ถามว่าแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ผมมีฉบับที่ สอง สามและสี่ อันนี้ลองเอาสารบัญของฉบับที่สองและสี่มาให้ดู หนังสือเนื้อหาหลักจะคล้ายๆกันแต่เล่มที่สี่จะละเอียดกว่าและขายของให้ใช้ Product ของเขามากกว่า ถ้าใครไม่ได้อะไรมากอ่านฉบับล่าสุดพอ ถ้าใคร Hype ก็ลองหาฉบับเก่ามาอ่านดู จริงๆก็มีข้อมูลสำคัญหลายๆอย่างที่ฉบับล่าสุดตัดไป และกฎการซื้อและการขายต่างๆ หลายๆ อันก็แตกต่างจากฉบับล่าสุด ซึ่งไม่น่านานตัวแอดมินเองก็คงจะซื้อฉบับแรกมาอ่านเหมือนกัน
เกริ่นมาซะเนิ่นนานมาเข้าเนื้อหาของ WON กันต่อ อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ช่วงแรกว่า CANSLIM ไม่ใช่ระบบที่ WON ใช้ในการประสบความสำเร็จในช่วงแรกของอาชีพ แต่เขาได้ทำการศึกษาหนึ่งในกองทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในช่วงยุค 50’s ที่คุณ Jack Dreyfus (JD) เป็นผู้บริหาร สิ่งที่ WON ทำคือการนำสรุปผลของกองทุนที่ JD บริหารในช่วง 1957-1959 นำมาพลอตลงในกราฟแล้วสังเกตเห็นว่าหุ้นที่กองของคุณ JD บริหารทุกตัวมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ราคาที่เป็นจุดสูงสุดใหม่ของฐานราคา สิ่งนี้ทำให้ WON เกิดความสนใจแล้วเข้าไปขอความรู้กับตัวคุณ JD เอง ในความคิดของผมเอง ถ้าใครสนใจว่า WON ได้รับอิทธิพลหรือมีความคล้ายคลึงกับนักลงทุนท่านไหนมากที่สุด ผมแนะนำให้คนที่สนใจไปศึกษา JD อย่างละเอียดครับ ซึ่งพอจะหาข้อมูลได้และมีหนังสืออัตชีวประวัติอยู่ หลังจากเหตุการณ์นั้น WON ก็ได้เปลี่ยนกลยุทธ์ของเขาใหม่ซึ่งมีรากฐานสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่
1. หุ้นที่อยู่ในพอร์ตจะต้องมีราคาไม่น้อยกว่า $20 ซึ่งเป็นราคาที่น้อยที่สุดที่บางนักลงทุนสถาบันสามารถเข้ามาซื้อได้
2. บริษัทที่เข้าไปลงทุนจะต้องมีผลประกอบการย้อนหลังที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกปี ตลอดห้าปีที่ผ่านมาและในไตรมาสล่าสุดจะต้องมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า
3. ทำการเข้าซื้อหุ้นเมื่อหุ้นทะลุจุดสูงสุดใหม่จากฐานราคาที่แข็งแกร่ง และการทะลุของฐานราคานั้นจะต้องมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน
จากกฎสามข้อหลักนี้โอนีลก็เทรดและจดบันทึกประสบการณ์และความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและพัฒนาจนเป็น The O’Neil Methodology จนเขาประสบความสำเร็จในช่วงต้นของอาชีพและอาศัยวิทยาการที่ทางบริษัทของเขาคิดค้นขึ้น Develop หลักการของมันจนมาเป็น CAN SLIM ที่ทุกคนรู้จัก
อย่างที่บอกตั้งแต่แรกคือ WON ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาประวัติศาสตร์ของหุ้นผู้ชนะและตลาดทุนมาก ฉะนั้นระบบการลงทุน ที่ต่อยอดจากแนวคิดนี้ ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์สำคัญ 2 อย่าง คือ
1. เพื่อหา Tomorrow big winners หรือหุ้นผู้ชนะในอนาคตจากสมมุติฐานของประโยคที่ว่า “History repeats itself” โดยหาปัจจัยร่วมกันในอดีตของหุ้นผู้ชนะในรอบกว่าหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา เพื่อหวังจะตักตวงผลประโยชน์สูงสุดให้กับพอร์ตการลงทุน
2. เพื่อหาสถานะของตลาดโดยรวมว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลงให้เราสามารถปรับกลยุทธ์จัดพอร์ตการลงทุนเพื่อใช้สร้างความได้เปรียบในการลงทุน/การเทรด
สรุปแล้วผลของการทดลองที่เกิดขึ้น WON สามารถสรุปมันออกมาได้อย่างลงตัวด้วยตัวอักษรย่อ 7 คำ คือ C A N S L I M
ในส่วนของคำอธิบายแต่ละคำ ผมว่าคนที่อ่านสามารถหาได้เอง ว่าแต่ละตัวคืออะไร จากการสรุปของหลายๆที่ หรือทางตัวหนังสือเอง ซึ่งส่วนตัวของผม ผมสนับสนุนให้ทุกคนอ่านเนื้อหาจากในเล่มและอย่าพยายามอ่านแค่ว่าอักษรแต่ละตัวคืออะไรสั้นๆ เพราะมันไม่ทางจะเป็นไปได้เลยที่เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนเพียงเพราะเรารู้ว่าอักษรแต่ละตัว ย่อมาจากคำว่าอะไร ถ้ายังไงลองอ่านเนื้อหาของแต่ละตัวอักษรในเล่มดูนะครับ
สำหรับหลายท่านที่อ่านทำความเข้าใจเกี่ยวกับ CANSLIM แล้วมันดูซับซ้อนหรือยากเกิดไป ผมแนะนำให้ลองหาหนังสือ How to Make Money in Stocks Getting Started: A Guide to Putting CAN SLIM Concepts into Action ของคุณ Matthew Galgani มาอ่านดู ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะอธิบายวิธีการใช้งาน CANSLIM ในทางปฏิบัติ เจ้าของผลงานหนังสือเล่มนี้คือคุณ Galgani ที่มีประสบการณ์สูงในจัดรายการ IBD Investing Show และเป็นโค้ชที่ฝึกฝนให้นักลงทุนรายย่อยใช้ CANSLIM อย่างถูกวิธี สิ่งที่คุณ Galgani สอนในการใช้หลักการของ CANSLIM คือให้คุณคิดถึงหินก้อนใหญ่สามก้อนให้ขึ้นใจก่อน แล้วอย่างอื่นค่อยตามมา หินสามก้อนใหญ่นั้น ประกอบไปด้วย (ในรูปผมใช้เป็น Gem เพราะอินกับ Avenger นะครับ ฮาฮา)
1. ซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นเท่านั้น และป้องกันตัวเองเมื่อตลาดเป็นขาลง (จริงๆแล้วไม่ใช่เราไม่สามารถซื้อหุ้นเลยถ้าตลาดเป็นขาลง แต่ในหนังสือนี้เป็นเหมือนการแนะนำนักลงทุนมือใหม่ เขาเลยแนะนำแบบนี้ก่อนครับ สำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์แล้วก็สามารถซื้อได้ แต่ไม่ควรซื้อเต็มจำนวนจนกว่าพอร์ตของตัวเองจะเริ่มแสดงกำไรแล้ว)
2. โฟกัสการลงทุนในบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่เติบโต มีสินค้าหรือบริการที่แปลกใหม่
3. เข้าซื้อหุ้นเมื่อหุ้นตัวนั้นมีการซื้อจากนักลงทุนสถาบันหรือรายใหญ่ และหลีกเลี่ยงการซื้อขายในหุ้นที่นักลงทุนสถาบันหรือรายใหญ่เทขาย (นักลงทุนสายนี้มีความเชื่อที่ว่าคนที่คุมเกมทั้งหมดคือนักลงทุน หรือกองทุนที่มีอำนาจทางการเงินสูงที่จะสามารถผลักราคาของหุ้นแต่ละตัวไปได้ไกล)
ซึ่งจากสามข้อที่ว่ามานี้มันคือการสรุปออกมาได้โดยให้เราโฟกัสไปที่หินก้อนแรก นั่นคือ “Market” หินก่อนที่สองคือ “Fundamental Analysis” และหินก้อนที่สามคือ “Technical Analysis” ในการใช้หลักของ CANSLIM นั้นจะต้องมีองค์ประกอบครบทั้งสามอย่าง จึงจะใช้มันออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในส่วนต่อไปเป็นเรื่องของจุดเข้าซื้อในการเทรดหุ้น CANSLIM
WON นั้นมีความเชื่อว่าการประสบความสำเร็จในตลาดทุนจะต้องใช้ในด้านของศาสตร์และศิลป์ทั้งสองด้าน ในด้านของทางศาสตร์ WON เชื่อในด้านของการทดลองและการเก็บบันทึกข้อมูลทางสถิติทุกอย่างเราสามารถประเมินและหาค่ามันได้เพื่อใช้ในการหาหุ้นที่ดีที่สุดในตลาด ส่วนในด้านของศิลป์ WON เชื่อในด้านของทรงกราฟ การเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณซื้อขายในรายสัปดาห์ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหน้าประวัติศาสตร์ของตลาดวอลสตรีท
ฉะนั้นจุดเข้าซื้อหลักของ WON จะได้มาจากการอ่านฐานราคาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งได้แก่ ฐานราคา Cup with/without handle, Flat Base, Double Bottom, Ascending Base, Base on top of a base, High Tight Flag
โดยสามารถกำหนดจุดเข้าซื้อได้ 3 ประเภท นั่นคือ
1. Early Buy Point หรือจุดเข้าซื้อก่อนจุดเข้าซื้อหลัก
2. Main Buy Point จุดเข้าซื้อหลักจากฐานราคา
3. Add-up Buy Point จุดที่ใช้ในการเข้าซื้อเพิ่ม
โดยแต่ละแบบผมจะมาอธิบายอย่างละเอียดในครั้งต่อๆไป แต่ถ้าใครอยากอ่านเบื้องต้น ผมได้เขียนบทความเกี่ยวกับ Cup With Handle ไว้ในบทความนี้ครับ https://bit.ly/2TBwHn6
สำหรับบทความตอนบทนำก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ครั้งต่อไปผมจะมาพูดถึงสไตลการเทรดสาย CANSLIM ในแต่ละแบบ เริ่มจากแม่แบบอย่างคุณโอนีลก่อน ซึ่งน่าจะลงให้ได้อ่านในช่วงสุดสัปดาห์นี้ไม่ก็สัปดาห์หน้าครับ
ชอบไม่ชอบยังไงฝาก Comment เพื่อติชมพัฒนางานเขียนของผมต่อไปด้วยนะครับ
ฝากกด like กด Share บทความของทางเพจด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
Humble Trader Diary
สามารถติดตาม Humble Trader Diary ได้ที่
โฆษณา